ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 452-2 ฟางผิงที่สมบูรณ์แบบ (2)
ตอนที่ 452 ฟางผิงที่สมบูรณ์แบบ (2)
………………..
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ หลัวอี้ชวน จางเจี้ยนหง เฉินเจิ้นหวา และหูหมิงเหอทั้งสี่คน ทุกเดือนสามารถไปยื่นเรื่องขอผลบ่มจิตใจคนละลูกจากกระทรวงการศึกษาไปจนกว่าจะหลอมรวมปราณและจิตใจเป็นหนึ่งได้”
นโยบายช่วยเหลือของรัฐบาลถูกปล่อยออกมาแล้ว
ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มียอดฝีมือขั้นหกสูงสุดหกคน ตอนนี้หลู่เฟิ่งโหรวทะลวงด่านเป็นปรมาจารย์แล้ว ถังเฟิงก็หลอมรวมปราณและจิตใจนานแล้ว ปัจจุบันกำลังมุ่งสู่ขั้นปรมาจารย์เช่นกัน
สี่คนอื่นๆ กลับยังไม่ถึงขั้นหลอมรวมปราณและจิตใจ ทั้งยังไม่ถึงขั้นที่ปลดปล่อยพลังจิตใจออกไปข้างนอกด้วยเช่นกัน
และนโยบายช่วยเหลือก็มีแค่สี่คนนี้ ถังเฟิงไม่อยู่ในนั้น
“ผลบ่มจิตใจ…”
ฟางผิงยังไม่รู้จักสิ่งนี้จริงๆ นี่น่าจะเป็นทรัพยากรกลยุทธ์ที่สำคัญของรัฐบาล ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่มี
ฟางผิงหันไปมองเฉินอวิ๋นซี “รู้จักผลบ่มจิตใจหรือเปล่า?”
เฉินอวิ๋นซีส่ายหน้า แต่ไม่นานก็กดโทรศัพท์ออกไป หลังจากนั้นสักพักก็เอ่ยว่า “ปู่บอกว่าผลบ่มจิตใจเป็นผลผลิตของถ้ำใต้ดินปักกิ่ง เวลานั้นหลังจากทำลายเมืองสองแห่งแล้ว รัฐบาลก็รวบรวมในสายแร่ใต้ดินได้ไม่น้อย มีส่วนช่วยในการบ่มเพาะพลังจิตใจ แต่ประสิทธิภาพยังคงมีอย่างจำกัด ไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่พลังจิตใจไม่ถึงขั้นปลดปล่อยไปข้างนอก หรือใกล้จะถึงขั้นนั้นแล้วใช้ผลบ่มจิตใจ ประสิทธิภาพยังคงไม่เลว รอหลอมรวมพลังจิตใจและปราณสำเร็จก็จะไม่ช่วยอะไรมากมายแล้ว ยังไม่ดีเท่าใช้พลังปราณของตัวเองมาบ่มเพาะ”
ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ได้บอกหรือเปล่าว่ามูลค่าเท่าไหร่?”
เฉินอวิ๋นซีส่ายหน้า ฟางผิงเห็นเธอคิดจะโทรศัพท์อีกครั้งก็รีบเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องถามแล้ว”
หากถามอีก เฉินเย่าถิงน่าจะอยากอัดเขาให้ตาย
คิดว่าอธิการบดีอย่างเขาว่างมากหรือไง?
เดี๋ยวถามประสิทธิภาพ เดี๋ยวถามมูลค่าราคา
ฟางผิงเคาะโต๊ะเบาๆ เอ่ยว่า “เธอส่งคนไปติดต่อกับหน่วยทหาร มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงทางรัฐบาลหน่อย ให้พวกเขาจัดสรรคู่มือภาคสนามของถ้ำใต้ดินอย่างละเอียดมาให้พวกเราสักฉบับหนึ่ง รวมถึงประโยชน์ ราคา และถิ่นกำเนิดของผลไม้พลังงานแต่ละชนิดด้วย…”
แต่ละถ้ำใต้ดินล้วนให้ผลผลิตที่ไม่เหมือนกัน
อันที่จริงน้อยนักที่ผู้ฝึกยุทธ์จะข้ามไปเขตถ้ำใต้ดินอื่นๆ เว้นแต่จะถึงระดับสูงแล้ว แต่ยอดฝีมือในระดับนี้ ปกติล้วนเรื่องรู้พวกนี้หมดแล้ว
เฉินอวิ๋นซีพยักหน้าระรัว จดลงในสมุดโน้ตทันที
“สี่คนที่อยู่ขั้นหกสูงสุดในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ทุกเดือนสามารถรับผลบ่มจิตใจสี่ลูก ก็ไม่รู้ว่าจะพอสามารถทำให้พวกเขาหลอมปราณและพลังจิตใจได้หรือเปล่า”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เอ่ยประชดว่า “รัฐบาลต้องยังมีของดีอีกแน่ ประสิทธิภาพของผลบ่มจิตใจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ น่าจะมีที่แข็งแกร่งกว่านั้น แต่ทำใจจัดสรรให้ไม่ได้ หรือว่าจะจัดสรรให้แต่หน่วยทหาร”
พูดแขวะออกมาแล้ว ยังเอ่ยต่อว่า “ดูท่าต่อจากนี้อาจจะเกิดเรื่องขึ้นราคายาบำรุง ตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้ออกนโยบายช่วยเหลือใหม่ ก็ไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะได้รับการจุนเจือบางส่วนหรือเปล่า หากปีนี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ขยายการรับนักศึกษาถึงสามแสนคน หลายปีต่อจากนั้น นักศึกษาในมหาวิทยาลัยน่าจะแตะถึงหลักล้านคน!”
ผู้ฝึกยุทธ์หลักล้านในมหาวิทยาลัย นี่เป็นจำนวนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
ฟางผิงพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็มองเอกสารนโยบายเรื่องอื่นๆ
เรื่องใหญ่คือสามเรื่องข้างบน ถัดจากนั้นไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่แล้ว
แต่ว่า…ฟางผิงยังเห็นเอกสารที่น่าสนใจเรื่องนี้
“สมาพันธ์ผู้ฝึกยุทธ์โลกเตรียมจัดการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาว…”
ฟางผิงกวาดตามองคร่าวๆ เขาไม่ได้สนใจการแข่งขัน ประเด็นอยู่ที่ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวอายุต่ำกว่าสามสิบลงไป ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ล้วนอายุยังน้อย การแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวทั่วโลก อันที่จริงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เท่าไหร่เหมือนกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ข้างหลังยังมีอีกหนึ่งประโยค ตอนนี้ประเทศจีนกำลังรวมกลุ่มเข้าร่วมการแข่งขัน
ครั้งนี้ไม่ได้ให้สมัครเป็นรายบุคคล แต่เป็นการเข้าร่วมทั้งประเทศ สมาชิกทีมเข้าร่วมแข่งขันจะเป็นคนที่รัฐบาลเลือกออกมา
ยังไงฟางผิงก็ไม่ได้รับข้อมูล ทั้งไม่ได้รับคำเชิญเหมือนกัน
เอกสารนั้นไม่มีอะไรมากกว่าไปให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เตรียมพร้อมการต้อนรับให้ดี แลกเปลี่ยนอย่างอบอุ่นเป็นมิตร
“ทีมเข้าร่วมแข่งขันถูกกำหนดแล้ว?”
ฟางผิงลูบคางตัวเอง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น่าสนใจ พูดแบบนี้ คนของพวกเราไม่อยู่ในรายชื่อเลยน่ะสิ? หรือจะเป็นปรมาจารย์ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีทั้งหมด?”
กระทั่งฟางผิงยังไม่ได้รับคำเชิญ อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยสังหารขั้นหกสูงสุดมาก่อน
อีกอย่างการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวทั่วโลก เขายังเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
กลับตั้งชื่อได้เจ๋งเป้งไม่น้อย แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า…เป็นการประลองที่มีความหมายซ่อนเร้นภายในยังไงไม่รู้?
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงจึงกดโทรออกไปอีกครั้ง
ไม่นานปลายสายก็กดรับ
หลี่หานซงที่อยู่ปลายสายพูดด้วยดวงตาแดงก่ำทันที “ฟางผิง อย่ามาหลอกฉัน พวกเราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นานมานี้!”
ฟางผิงมึนงงอยู่บ้าง ผ่านไปสักพักคล้ายจะคิดอะไรได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ นายก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเหมือนกัน เอาเถอะ วันนี้ฉันมาด้วยเรื่องอื่น รู้เรื่องการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวทั่วโลกหรือยัง?”
“อะไรนะ?”
“นายไม่รู้เรื่องเหมือนกัน?”
“การแข่งขันหนุ่มสาวอะไร?”
“ช่างเถอะ ถามนายก็ถามเสียเปล่า จริงสิ มีทีมไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งของพวกนายหรือเปล่า?”
หลี่หานซงเอ่ยอย่างงุนงง “ไม่รู้นะ”
“นายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยังไงกัน…ไร้ประโยชน์จริงๆ!”
ฟางผิงด่าออกมา หลี่หานซงประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ แทบไม่สนใจเรื่องอะไรเลย ยังจะมาสมาคมผู้ฝึกยุทธ์กับระดับสูงดูแลมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ร่วมกันอะไรอีก ไร้สาระสิ้นดี
หลี่หานซงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ฉันไม่รู้จริงๆ นายคิดว่าฉันเหมือนนายหรือไง กุมอำนาจในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หมดแล้ว
“นายลองกลับไปถามดูว่ามีหรือเปล่า อีกอย่างอยู่ดีๆ ทำไมถึงมาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของฉัน คิดว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ว่างมากหรือไง? แม่งเหอะ…คิดดูแล้วรู้สึกผิดปกติยังไงไม่รู้ คงไม่ใช่พวกลูกหลานคนมีอำนาจหรอกนะ?”
ฟางผิงแทบจะไร้เรี่ยวแรงประชดแล้ว ดูประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างนี่สิ อะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น ข้อมูลมีน้อย อยากจะหลอกยังไงก็หลอกได้ทั้งนั้น
“ช่างเถอะ กลับไปค่อยพูดกัน ถามอะไรไปนายก็ไม่รู้ทั้งนั้น คนอย่างนาย…ต่อให้พลังต่อสู้สูงแค่ไหนก็เป็นได้แค่ลูกน้องคนอื่น สหายเอ๋ย ต่อให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน สิ่งที่ควรเข้าใจยังต้องทำความเข้าใจ ความทุกข์ทมในเวลานั้นยังไม่พออีกหรือไง? นายอยากจะซ้ำรอยเดิมอีก?”
หลี่หานซงเงียบไป ฉันแทบไม่รู้ว่านายพูดเรื่องอะไร มักรู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าฟางผิง เขาก็เป็นแค่คนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“งั้นปีนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งรับนักศึกษากี่คน รู้หรือเปล่า?”
“…ไม่ได้ติดตาม…”
“ขั้นหกสูงสุดของมหาวิทยาลัยพวกนายมีเท่าไหร่ คงรู้แล้วสินะ?”
“แปดคน”
“ขั้นหกระดับอื่นๆ ล่ะ?”
“สี่สิบหกคน”
“อาจารย์ขั้นสี่และขั้นห้ามีเท่าไหร่?”
“ประมาณสามร้อยห้าสิบคนล่ะมั้ง ไม่ได้นับอย่างชัดเจน”
“…”
ทั้งสองคนผลัดกันถามตอบ หลี่หานซงรู้สึกเหมือนตัวเองย้อนกลับไปช่วงประถมอีกครั้ง อาจารย์ถามอะไร เขาก็ตอบอันนั้น
แต่การพูดคุยก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่บ้าง แทบไม่รู้อะไรเลย เทียบกับฟางผิงแล้ว เขาเหมือนไม่ได้เป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ซะงั้น
ส่วนความสามารถของอาจารย์ก็ไม่ได้นับว่าเป็นความลับยิ่งใหญ่อะไร หากจะคำนวณจริงๆ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็สามารถคำนวณออกมาได้ เขาคร้านจะปิดบังอะไรแล้วเหมือนกัน
แต่รอจนฟางผิงถามว่าคลังสินค้าของมหาวิทยาลัยปักกิ่งมีทรัพยากรเท่าไหร่ หลี่หานซงก็ปิดปากเงียบทันที
นายคิดว่าฉันปัญญาอ่อนหรือไง!
เรื่องนี้บอกนายได้ที่ไหนกัน?
ฟางผิงหัวเราะ ไม่ถามแล้วเหมือนกัน ท้ายที่สุดจึงเอ่ยว่า “ช่วงนี้สถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย เรื่องพิศวงงงงวยแทบจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ระวังตัวด้วยละกัน อีกอย่าง เรื่องเกี่ยวกับหวังจินหยางที่ฉันพูดกับนาย อย่าเอาไปเผยแพร่ข้างนอก อย่างมากก็บอกเหยาเฉิงจวินได้ แต่คนอื่นๆ ไม่ต้องพูดแล้ว”
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
“เจ้าหัวเหล็ก…เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว รีบฟื้นฟูหน่อยละกัน อย่างน้อยก็ต้องฟื้นฟูพลัง ส่วนความทรงจำฉันอยากให้เป็นแบบนี้ต่อไปมากกว่า”
ปลายสายนั้นหลี่หานซงจมดิ่งในความเงียบอีกครั้ง
ในตอนที่ฟางผิงจะวางสาย จู่ๆ หลี่หานซงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดแย้งว่า “เวลานั้น…เวลานั้นมีคนตายในสนามรบเท่าไหร่ กลับมาเกิดใหม่หมดเลยงั้นเหรอ?”
ฟางผิงเงียบไปพักหนึ่ง เขากำลังคิดว่าจะแต่งเรื่องต่อไปยังไงดี แต่งไม่ออกอยู่บ้าง
ผ่านไปสักพัก ฟางผิงก็ถอนหายใจ “ไม่ต้องถามแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ฉันคือฟางผิง นายคือหลี่หานซง นี่ก็พอแล้ว เอาล่ะ วางละนะ ไม่พูดแล้ว”
“…ได้…”
หลี่หานซงไม่ถามอีก วางสายโทรศัพท์แล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความกลัดกลุ้ม
—
“ฟู่!”
ฟางผิงโล่งใจเช่นกัน จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “จะแต่งเรื่องต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากพูดเหลวไหลอีก รัฐบาลจะสร้างปัญหาให้ฉันจริงๆ แล้ว!”
ฟางผิงสะบัดหัว มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันแค่ล้อพวกที่กลายพันธุ์เล่นเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ได้หลอกแบบนี้
เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ แต่งขึ้นงั้นเหรอ?
แม้เธอจะไม่ได้ฟังอย่างละเอียด แต่ก็ได้ยินน้ำเสียงที่ผิดปกติของหลี่หานซงเช่นกัน นี่ฟางผิงหลอกหลี่หานซงจนเป็นคนโง่แล้ว?
เวลานี้เฉินอวิ๋นซีเลื่อมใสขึ้นมาอยู่บ้าง
ฟางผิงเก่งจริงๆ!
พลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าพวกเขา ไอคิวก็ดีกว่าพวกเขา ทั้งฉลาดและกล้าหาญ!
ปู่พูดมาโดยตลอดว่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้เก่งแต่ใช้กำลัง ต้องมีความกล้าหาญและวางแผนเก่งถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง นี่คงหมายถึงคนอย่างฟางผิงสินะ?
ฟางผิงหาเงินฝึกวิชาเอง ทรัพยากรเยอะจนแทบใช้ไม่หมด ยังช่วยเหลืออาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย รักในสถาบันและมีความชอบธรรม
แม้ทุกคนจะยืม แต่เฉินอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ทั้งฟางผิงยังไม่ไปทวงหนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจช่วยเหลือคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกผิดในใจด้วย
เขากำลังคิดเพื่อทุกคน!
ยิ่งคิดลึกลงไปเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าข้อดีของฟางผิงเยอะมากมายจริงๆ…มากจนถึงขั้นเธอละอายใจตัวเองอยู่บ้าง
เทียบกับฟางผิงแล้ว เธอยังด้อยไปอยู่มาก
———————-