ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 455 ฟางผิงจอมขี้อวด (1)
ตอนที่ 455 ฟางผิงจอมขี้อวด (1)
………………..
วันที่ 18 มีนาคม
ช่วงสาย
ประตูห้องโถงใหญ่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
ตาเฒ่าหลี่ชำเลืองมองฟางผิงแวบหนึ่ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “เธอเข้าด่านไม่ใช่หรือไง?”
สรุปแล้ว เธอแม่งเข้าด่านกี่วันเอง?
วันที่สิบสี่เข้าด่าน เมื่อวานออกมาแล้ว นี่เรียกว่าเข้าด่านได้ด้วย?
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ ยอดฝีมือก็เข้าๆ ออกๆ ด่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
ตาเฒ่าหมดคำจะพูด ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เธออย่ามาก่อเรื่อง!”
“อาจารย์มีความคิดแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะครับ?” ฟางผิงทำหน้าประหลาดใจ
ตาเฒ่าหลี่ถอนหายใจ เอ่ยอย่างเศร้าซึมอยู่บ้าง “ไอ้หนู คนเขามีบรรพบุรุษเก่งกาจ แค่เป่าลมฟู่เดียวก็พัดฉันตายได้แล้ว ฉันต้านไม่ไหวจริงๆ เข้าใจหรือเปล่า?”
ฟางผิงขมวดคิ้ว ไม่ได้รับบทสนทนา กลับเอ่ยอย่างงุนงง “ถึงขนาดนั้นเลย?”
เป่าลมฟู่เดียวก็พัดคุณตายได้แล้ว?
ตาเฒ่าหลี่ไม่ใช่คนประเภทถ่อมตัวเอง
“เธอคิดว่าไงล่ะ?”
ตาเฒ่าหลี่ช่วยอธิบาย “เธอคิดว่าเจ้าสำนักจ้าวซิ่งอู่สามารถฟันฉันตายในกระบวนท่าเดียวได้หรือเปล่า?”
ฟางผิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ไม่แน่เสมอไป อาจจะสักสามกระบวนท่ามั้งครับ?”
ตาเฒ่าหลี่หัวเราะว่า “น่าจะประมาณนั้น จ้าวซิ่งอู๋ถูกจัดในอันดับที่สี่สิบแปดของขั้นเก้า งั้นพูดถึงผู้อำนวยการหนานอีกที เธอคิดว่าผู้อำนวยการหนานจะสามารถฆ่าฉันในกระบวนท่าเดียวได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…น่าจะได้มั้งครับ”
“น่ากลัวขนาดนี้เลย?”
“น่ากลัวขนาดนี้แหละ!”
ตาเฒ่าหลี่พยักหน้า เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “แน่นอน ฉันไม่เคยเห็นขั้นสุดยอดลงมือมาก่อน แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น แค่ตาเฒ่าอู๋ชวนบอกว่าเคยเจอครั้งหนึ่ง ห่างชั้นกันอย่างมาก…”
“ผู้บังคับการอู๋…มักรู้สึกว่าเขาขายหน้าให้คนในกองตั้งมั่นทั้งสี่อยู่บ้างยังไงไม่รู้” ฟางผิงพึมพำ
ผู้บังคับการกองตั้งมั่นใหญ่ทั้งสี่ ยอดฝีมือระดับสุดยอดสองคน อีกคนหนึ่งถูกจัดอันดับที่สิบแปดของโลก พอถึงอู๋ชวนกลับตกมาเกือบร้อยอันดับ
เมื่อคำพูดนี้ออกมา คนด้านข้างก็มองเขาอย่างแปลกๆ อยู่บ้าง
ไอ้หนูนี่กล้าดูแคลนยอดฝีมือขั้นเก้าแล้ว?
อู๋ชวนไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นคงจะซัดเธอตายด้วยฝ่ามือเดียวด้วยซ้ำ
ตาเฒ่าหลี่ถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยว่า “อู๋ชวนถือว่าอายุน้อยในหมู่ขั้นเก้าแล้ว ความสามารถยังไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธวิเศษที่เขาใช้ก็ไม่เท่าไหร่ เพิ่งจะขั้นแปด ดังนั้นจึงดูอ่อนด้อยไปหน่อย คนอื่นๆ ที่อยู่อันดับข้างหน้าเขาส่วนมากล้วนมีอาวุธวิเศษขั้นเก้า”
ได้ฟังคำพูดนี้ พวกหลัวอี้ชวนก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
ตาเฒ่าหลี่ก็เหิมเกริมอีกคนแล้ว!
อาวุธวิเศษขั้นแปด พูดออกจากปากเขากลับกลายเป็นไม่เท่าไหร่เสียอย่างนั้น!
นายมีหรือเปล่าล่ะ?
แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นเก้าก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีได้
ตาเฒ่าหลี่กลับไม่สนใจเรื่องที่ตัวเองพูดเท่าไหร่ เอ่ยต่อว่า “อีกอย่างเธออย่าไปเย้าแหย่อู๋ชวนให้มาก หลายปีมานี้เขาเป็นปรมาจารย์ขั้นเก้าเพียงคนเดียวของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้พวกเรา มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สามารถพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนบางส่วนของเขาเหมือนกัน ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้ กองตั้งมั่นทางใต้และมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมาโดยตลอด หนึ่งในสี่กองตั้งมั่นใหญ่ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถึงได้มีอำนาจเพียงพอ เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้วครับ ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็คือผู้บังคับการอู๋สินะ?”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ถึงกับพูดแบบนั้นได้ กระทรวงการศึกษายังให้การสนับสนุนพวกเราไม่น้อย ต่อให้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีฝีมือขนาดไหน นั่นล้วนเป็นเรื่องของภายใน สำหรับภายนอกมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ของพวกเรายังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ล้วนอยู่ใต้สังกัดของกระทรวงการศึกษา สำหรับมหาวิทยาลัยอย่างพวกปักกิ่ง งั้นกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้ก็เป็นหนึ่งในไพ่ตายของพวกเราแล้ว แต่สำหรับหน่วยงานอื่นๆ หรือพวกสำนัก งั้นกระทรวงการศึกษาก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเรา เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้วครับ”
ฟางผิงพยักหน้า เรื่องนี้ไม่แปลก มีที่พึ่งเยอะ เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน
พูดคุยกันง่ายๆ ไม่กี่ประโยค ตาเฒ่าหลี่ก็วนกลับมาประเด็นเดิม “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว สิ่งที่ฉันจะบอกคือเธออย่าหาเรื่องให้ฉันเด็ดขาด เข้าใจหรือยัง?”
ฟางผิงทำหน้าหมดเรี่ยวแรง ผมยังไม่ได้บอกว่าจะหาเรื่องเลยเถอะ!
อีกอย่าง บรรพบุรุษคนเขาเก่งขนาดนั้น อยู่ดีๆ ผมจะไปหาเรื่องเขาทำไม?
“อาจารย์ ผมมาต้อนรับทีมแลกเปลี่ยน ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ นี่เป็นธรรมเนียมขั้นพื้นฐานมั้งครับ?”
ตาเฒ่าหลี่ชำเลืองมองเขา ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นสักพัก ตาเฒ่าหลี่ก็เอ่ยว่า “คนมาถึงแล้ว”
ข้างหน้านั้น รถบัสคันใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาจอดภายในมหาวิทยาลัย
—
บนรถบัส
ทีมแลกเปลี่ยนมาถึงเซี่ยงไฮ้เมื่อวาน ฝึกฝนอยู่หนึ่งวัน วันนี้เพิ่งจะมาถึงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
เจี่ยงเชามองสอดส่องไปทั่วผ่านหน้าต่างรถ เอ่ยอย่างเบื่อหน่ายอยู่บ้าง “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่เห็นจะคึกครื้นเลย แทบจะเห็นคนแค่ไม่กี่คน”
รัฐมนตรีหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะคึกครื้นขนาดนั้นไปเพื่ออะไรล่ะ”
เจี่ยงเชาไม่พูดมากอีก เอ่ยว่า “งั้นพวกเรามาถึงที่นี่ก็จะท้าประลองเลย?”
“ไม่รีบขนาดนั้น เข้าไปชมในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก่อนเถอะ”
รัฐมนตรีหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอไม่เคยเข้ามามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด แม้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะก่อตั้งไม่นานเท่ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่หลายปีมานี้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทั้งมีจุดที่ไม่เหมือนคนอื่น ทุกคนทำความรู้จักกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันสักหน่อยเถอะ”
เวลานี้ใกล้ๆ กับรถบัส มีนักศึกษาบางส่วนเดินผ่านทางมาเช่นกัน
รับรู้ถึงระดับปราณของนักศึกษาพวกนี้ มีคนอดเอ่ยออกมาไม่ได้
ขั้นหนึ่ง!
สำหรับพวกเขาเหมือนเป็นเรื่องที่ห่างไกลอย่างมาก
คนพวกนี้บางคนทะลวงด่านนานแล้ว สิบเอ็ดสิบสองปีก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ สิบห้าสิบหกปีเข้าสู่ระดับกลางมีให้เห็นถมเถไป
ตอนนี้พวกเขายังไม่ถึงสามสิบปี คนที่อายุเยอะหน่อยก็ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี อายุน้อยอย่างซูจื่อซู่ก็แค่ยี่สิบสี่ปี
แม้เทียบกับพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะเยอะแค่ไม่กี่ปี แต่ขั้นหนึ่งและขั้นหกแทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว
รัฐมนตรีหวังคลี่ยิ้มว่า “ยังไงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็เป็นแค่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่รับนักศึกษาจากทั่วประเทศ นักศึกษาส่วนมากจะเข้าเรียนตอนที่ยังไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จุดนี้ไม่เหมือนกับทุกคน นักศึกษาขั้นหนึ่งเป็นเรื่องปกติ”
เธอคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนพวกเธอกันหมดหรือไง?
น้ำแร่ชีวิตที่ปรมาจารย์ยังเห็นเป็นของล้ำค่า เอามาให้ใช้บ่มเพาะกระดูก?
ทั้งไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ซูจื่อซู่เอ่ยว่า “คนบางส่วนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก็มีเก่งกาจอยู่เหมือนกัน ฉันได้ยินว่าฟางผิงคนนั้น สองปีก่อนยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ทะลวงขั้นห้าสูงสุดแล้ว ลุงหวัง เป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่า?”
“เป็นแบบนั้นจริงๆ”
รัฐมนตรีหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่แค่ฟางผิง คนจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อื่นๆ เช่นกัน หวังจินหยางจากหนานเจียง จากคนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าในเวลาสามปีเหมือนกัน หลี่หานซงใช้เวลาสี่ปี แต่เขาเข้ามหาวิทยาลัยก็ทะลวงขั้นหนึ่งแล้ว เหยาเฉิงจวินก็ไม่ต่างกันมาก…”
พูดแบบนี้แล้ว วัยรุ่นในหน่วยทหารพวกนั้นกลับไม่หยิ่งผยองมากมายอีก
คนเขาเข้าสู่ขั้นห้าในเวลาสามสี่ปี ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิดขนาดนั้น
เจี่ยงเชาคำนวณเล็กน้อย จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “สองปีขั้นห้าสูงสุด เจ้าหมอนี้ทำได้ยังไง? ฉันสิบขวบเรียนวรยุทธ์อย่างเป็นทางการ อายุสิบสี่ปีเข้าสู่ขั้นหนึ่ง สิบแปดปีเข้าสู่ขั้นสี่ ยี่สิบขั้นห้า ยี่สิบสองถึงขั้นห้าสูงสุด ตอนนี้อายุยี่สิบหกแล้ว…”
รัฐมนตรีหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างพวกเขาสามารถโดดเด่นท่ามกลางคนมากมายในประเทศจีนได้ต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ล้วนอยู่ในช่วงเวลารุ่งโรจน์ ทะลวงด่านไวอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ”
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนี้ได้ จะเอาคนส่วนน้อยมาแทนคนส่วนมากไม่ได้
ไม่ถึงสองปี จากคนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าสูงสุด ฟางผิงทำลายสถิติมากมาย
แม้พวกเจี่ยงเชาจะอายุน้อย ระดับขั้นสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทะลวงด่านภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้
พวกเขามีเวลาคลุกคลีกับเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นเวลานาน ฝึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ส่วนการบาดเจ็บทางร่างกายและกระดูก เรื่องกังวลพวกนี้ พวกเขาแทบไม่มี
ไม่เหมือนคนอื่นๆ ตอนเด็กยังต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ ไม่กล้าฝึกวิชามากเกินไป
พูดไม่กี่ประโยคแล้ว เจี่ยงเชาก็ยื่นหัวออกไปมองนอกหน้าต่าง เอ่ยถามว่า “รัฐมนตรีหวัง ข้างหน้านั่นคือฟางผิงหรือเปล่า?”
รัฐมนตรีหวังไม่จำเป็นต้องยื่นหัวมองด้วยซ้ำ “ใช่ คนที่อายุน้อยที่สุดก็คือเขานั่นแหละ”
“เขานี่เอง! ไม่เห็นจะหล่ออะไรขนาดนั้นเลย”
เจี่ยงเชาพูดลอยๆ ออกไป หลี่เฟยที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วว่า “ดูตัวเองก่อนแล้วค่อยว่าคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกยุทธ์สนใจเรื่องหน้าตากันที่ไหน!”
เจ้าหมอนี้คิดในเรื่องที่ต่างจากทุกคนอย่างสิ้นเชิง ช่วงเวลาสั้นๆ ใครจะมองผู้ฝึกยุทธ์ที่หน้าตาบ้าง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้ชายอีก
ซูจื่อซู่ยื่นหัวออกไปมองเหมือนกัน เห็นฟางผิงในกลุ่มคนนั้นก็หัวเราะว่า “ไม่แย่เลย ดูดีทีเดียว แต่ว่า..ไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้อยู่บ้าง ฉันยังคิดว่าจะหล่อเท่เหมือนกับเจิ้งหนานฉีซะอีก”
ตอนนี้ฟางผิงที่อยู่ในฝูงชนเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เห็นรถบัสมาจอดแล้ว มีคนกำลังมองตัวเองก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มให้
เขายิ้มอย่างสดใส ตาเฒ่าหลี่ที่อยู่ด้านข้างกลับเตะเขาเบาๆ!
เจ้าเด็กนี้ยิ้มขึ้นมา…ปกติไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่
เขาไม่เกรงใจคนอื่น นั่นถึงจะเป็นเรื่องดี
———————
………………..