ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 463-2 พื้นที่เขตแดน ยุคสมัยผู้ฝึกยุทธ์โบราณ (2)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 463-2 พื้นที่เขตแดน ยุคสมัยผู้ฝึกยุทธ์โบราณ (2)
ตอนที่ 463 พื้นที่เขตแดน ยุคสมัยผู้ฝึกยุทธ์โบราณ (2)
………………..
รัฐมนตรีหวังไม่พูดอีก เปลี่ยนประเด็นใหม่ว่า “คณบดีหลู่ แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ไป คุณอยากสังหารอีกฝ่ายก็ไม่มีวิธีอยู่ดี รอวันไหนปะทุสงครามเต็มรูปแบบจริงๆ เวลานั้น…ตอนที่ต้องชำระแค้น ยอดฝีมือถ้ำที่เข่นฆ่ามนุษย์ชาติอย่างพวกเรา รวมถึงเจ้าเมืองพวกนั้นด้วย ท้ายที่สุดต้องถูกชำระหนี้แค้นทั้งหมด! หากเวลานั้นมาถึงจริงๆ ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำที่มือเปื้อนเลือดมนุษย์พวกนี้ อย่าคิดจะหนีพ้นแม้แต่คนเดียว!”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ถ้าอีกฝ่ายหลบอยู่ในเขตหวงห้ามไม่ยอมออกมาล่ะ?”
พูดจบก็เอ่ยว่า “นี่เป็นแค้นส่วนตัวของฉัน ไม่จำเป็นต้องรบกวนรัฐมนตรีหวัง ฉันทราบข้อมูลก็เพียงพอแล้ว”
รัฐมนตรีหวังได้ฟังก็ไม่พูดมากอีก ตาเฒ่าหลี่กลับลูบคางว่า “รัฐมนตรีหวัง พบเบาะแสของลุงหลู่บ้างหรือเปล่า?”
รัฐมนตรีหวังขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงส่ายหัวว่า “เขา…ไม่อยู่ทางเขาต้านสมุทร น่าจะเป็นอย่างนั้น เขาต้านสมุทรมีผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนของมนุษย์อยู่ ก่อนหน้านี้เจ้าอาวาสเจี้ยคงของวัดว่านซานอยู่ที่ส่วนลึกของเขาต้านสมุทรมาโดยตลอด อันที่จริงพวกเราพอจะรู้ข้อมูลเหมือนกัน แต่ปรมาจารย์หลู่…ไม่อยู่ทางนั้น”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยอย่างปวดหัว “ฉันคิดว่าลุงหลู่ไปเทือกเขาใจกลางซะอีก…ก็คือเขาต้านสมุทรนั่นแหละ ตอนนี้พวกนายบอกว่าไม่อยู่ งั้นเขาไปไหนกัน?”
หลี่โม่มองหลู่เฟิ่งโหรว เห็นเธอเผยแววตาซับซ้อน ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าเขาไม่ได้ไปเขาต้านสมุทร…งั้นอาจจะไปทะเลต้องห้าม”
หลู่เฟิ่งโหรวสีหน้าเปลี่ยน
ทะเลต้องห้าม!
ทะเลต้องห้ามที่ไม่มีคนรอดชีวิตกลับมา!
ถ้าพ่อของตัวเองไปเขาต้านสมุทร นั่นยังมีหวังรอดกลับมา แต่หากไปทะเลต้องห้าม เกรงว่าจะตายจริงๆ แล้ว
หลี่โม่ถอนหายใจ “ฉันแค่คาดเดา แน่นอนว่าไม่ตัดเรื่องที่พ่อของเธออาจจะยังเข้าด่านเก็บตัวอยู่เขตแดนเจ็ดทางใต้ที่ไหนสักแห่ง นี่เป็นไปได้เหมือนกัน หรือไม่ก็…อยู่ในพื้นที่เขตแดน”
“พื้นที่เขตแดน?”
ตาเฒ่าหลี่เกาหัวอย่างงุนงง ละล่ำละลักว่า “พื้นที่เขตแดนเป็นสถานที่ยังไง?”
“ก็คือพื้นที่ในม่านพลังงานระหว่างเขตแดนเล็กๆ แต่ละแห่ง”
หลี่โม่อธิบายว่า “ทางตะวันออกของดินแดนเจ็ดทางใต้ เดินไปสุดทางก็คือพื้นที่เขตแดน! แต่ช่วงระยะรอยต่อค่อนข้างกว้าง พื้นที่เขตแดนตะวันออกอยู่ไกลจากเมืองความหวังสามพันกว่ากิโลเมตร ทั้งยังต้องข้ามผ่านอาณาเขตของทะเลต้องห้ามก่อนถึงจะสามารถไปถึงที่นั่นได้ อีกอย่างทางตะวันออกมีพื้นที่หวงห้ามอย่างป่าร้อยอสูร ยังต้องผ่านอยู่สามเมือง แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าของมนุษย์ อยากเข้าไปก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ทางตะวันตกมีพื้นที่หวงห้ามอย่างทะเลทรายหมื่นมดขวางกั้น เดินไปสุดทางยังต้องข้ามอาณาเขตเล็กๆ ของเขาต้านสมุทรถึงจะไปถึงพื้นที่เขตแดนทางตะวันตกได้ พื้นที่เขตแดนอันตรายอย่างมาก หลู่เจิ้นอาจไม่อยู่ที่นั่นเสมอไป ยังไงตอนที่เขาไปก็เพิ่งจะขั้นเจ็ดสูงสุดเท่านั้น…”
หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมต้องไปที่พื้นที่เขตแดนด้วย?”
ผู้ฝึกยุทธ์ไม่เป็นฝ่ายรนหาที่ตายอยู่แล้ว
ไปเขตหวงห้าม ทะเลต้องห้าม อาจจะเพื่อหาประโยชน์สำหรับการทะลวงด่าน
งั้นพื้นที่เขตแดนมีประโยชน์อะไรที่ควรค่าพอให้พ่อตัวเองต้องไป?
หลี่โม่ครุ่นคิดเล็กน้อย “สถานการณ์ของพื้นที่เขตแดน อันที่จริงฉันไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ฉันไม่เคยไปมาก่อน อันที่จริงนอกจากผู้อาวุโสไม่กี่คน คนอื่นๆ ก็แทบไม่เคยมีใครเข้าไปเลย กระทั่งพวกผู้อาวุโสยังรู้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่ฉันเคยได้ยินผู้อาวุโสพูดว่า…พื้นที่เขตแดนบางทีอาจจะมีการคงอยู่ของซากอารยธรรมโบราณ!”
“ซากอารยธรรมโบราณ?”
“อืม ซากอารยธรรมโบราณ” ตอนนี้หลี่โม่พูดอย่างน้ำไหลไฟดับอยู่บ้าง อธิบายว่า “สถานการณ์ของถ้ำใต้ดิน อันที่จริงซับซ้อนกว่าที่พวกนายรู้ซะอีก ซับซ้อนจนแม้จะเป็นเมืองเจิ้นซิงก็ยังรู้ไม่มากเท่านั้น ความเป็นมาของเมืองเจิ้นซิงไม่ได้ยาวนานอะไร ก่อตั้งจนถึงตอนนี้ไม่ถึงสามร้อยปี บางเรื่อง…อันที่จริงสามารถไล่ย้อนไปถึงพันปีก่อนหน้านี้ ถึงกระทั่งนานกว่านั้น! แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้บางอย่างก็พูดไม่ได้ บางอย่างไม่อาจพูดออกมา แต่ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว งั้นฉันก็จะพูดให้มากหน่อย ซากอารยธรรมโบราณของพื้นที่เขตแดน อาจจะ…มียอดฝีมือมนุษย์บางส่วนหลงเหลืออยู่! บางทีอาจจะสามารถไล่ย้อนไปยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์โบราณได้”
“ยุคสมัยผู้ฝึกยุทธ์โบราณ?”
ตาเฒ่าหลี่ขมวดคิ้วว่า “นายมั่นใจ?”
“ไม่มั่นใจ”
ตาเฒ่าหลี่หมดคำจะพูด นายตอบได้ฉับไวจริงๆ
สิ่งที่เรียกว่ายุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์โบราณ นั่นหมายถึงช่วงเวลาเริ่มต้นของเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ นั่นแทบไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ยาวนานขนาดไหนแล้ว
ยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์โบราณ กระทั่งรวมถึงช่วงเวลาของตำนานเทพเซียนพวกนั้น นี่เป็นประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน
ต่อจากนั้นถึงเป็นยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่ของปัจจุบัน
ทั้งสำนักที่มีความเป็นมายาวนาน ไล่ย้อนกลับไปยังนานนับพันปีได้ ยุคสมัยผู้ฝึกยุทธ์โบราณอย่างน้อยก็เป็นเรื่องของพันปีก่อนแล้ว
ฉวยโอกาสที่หลี่โม่คนนี้เป็นคนที่รู้เรื่องราวภายในมาก ตาเฒ่าหลี่เอ่ยว่า “ก็หมายความว่า มนุษย์และถ้ำใต้ดินไม่ได้เพิ่งไปมาหาสู่ในปัจจุบัน แต่บางทีอาจรู้จักกันตั้งแต่พันปีก่อนแล้ว แถมพื้นที่เขตแดนที่นายพูดถึงมีการคงอยู่ของซากอารยธรรมโบราณบางอย่าง มีซากอารยธรรมของถ้ำใต้ดินและก็มีซากอารยธรรมของมนุษย์ด้วยเหมือนกัน ซากอารยธรรมที่นายพูดถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับยุคสมัยของราชาปีศาจใช่หรือเปล่า?”
หลี่โม่ส่ายหัวว่า “ไม่รู้ นายถามฉันก็ไม่มีประโยชน์ บางเรื่องพวกผู้อาวุโสก็ไม่บอกพวกเราเหมือนกัน”
ตาเฒ่าหลี่หัวเราะว่า “นายเอาแต่เรียกคนพวกนั้นว่าผู้อาวุโส นายก็อายุไม่ใช่น้อยเถอะ ฉันสงสัยแล้วว่าผู้อาวุโสพวกนั้นอายุเท่าไหร่กันแน่?”
หลี่โม่ส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่แน่ใจ ตอนที่ฉันยังเด็ก พวกผู้อาวุโสก็นั่งรักษาการณ์ที่เขาต้านสมุทรแล้ว หลายปีมานี้…อันที่จริงพวกผู้อาวุโสลำบากไม่น้อย ช่วงร้อยปีนี้กลับมาเมืองเจิ้นซิงไม่ถึงสามสิบครั้งเท่านั้น”
ระหว่างที่พูด หลี่โม่ก็ถอนหายใจ “เรื่องของผู้อาวุโสฉันคงไม่พูดมาก ส่วนหลู่เจิ้นไปพื้นที่เขตแดนจริงๆ หรือเปล่าก็พูดยาก บางทีอีกไม่นาน เขาอาจจะกลับมาก็ได้”
เรื่องที่ยอดฝีมือขั้นแปดไม่อยากพูด เค้นถามจนสมองแตกก็ไม่มีประโยชน์
ตาเฒ่าหลี่ฟังจบก็ไม่ซักไซ้ต่อ หันไปมองแวบหนึ่ง เห็นหลี่หานซงถูกดาบฟันตัวลอยออกไปพอดี ทั่วร่างชุ่มไปด้วยเลือด
แต่หลี่เฟย…ก็หอบหายใจหนักเช่นกัน ตะโกนด้วยใบหน้าแดงว่า “มาอีกสิ!”
สู้กับเจ้าหัวเหล็ก เขาแทบจะโมโหจนบ้าคลั่งแล้ว
อีกฝ่ายยั่วโทสะเขาอยู่ตลอด งัดกระบวนท่านับร้อยมาต่อสู้กับเขา
เขาสู้จนอีกฝ่ายตัวลอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่ากลับไม่อาจทำให้อีกฝ่ายเจ็บหนักได้ เจ้าหลี่หัวเหล็กอึดไม่น้อย พลังป้องกันก็แข็งแกร่ง ถูกอัดจนตัวลอยก็ยังกลับมาปล่อยพลังต่อได้
ตอนนี้จมูกของหลี่เฟยแทบจะยุบลงไป ถูกชกเข้ามาหนึ่งหมัดก็เกือบระเบิดหัวของเขาแล้ว
หลี่หานซงกระเด็นออกไปแทบมองหน้าตาไม่ออกแล้ว หัวแทบจะถูกซ้อมจนล้าน ตอนนี้เหลือผมแค่ไม่กี่เส้นเท่านั้น
หลี่หานซงอึดจริงๆ ครู่ต่อมาก็ลอยกลับมาอีกครั้ง เอ่ยเสียงดังว่า “มีความสามารถแค่นี้? มาสิ ฟันต่อเลย ฉันยังไม่ร้องไห้ด้วยซ้ำ ขั้นหกตอนปลายอย่างนายกลับร้องไห้ซะแล้ว ไม่อายคนบ้างหรือไง?”
ฉันร้องไห้งั้นเหรอ?
นายคิดว่าฉันขี้ขลาดเหมือนเจี่ยงเชา?
ฉันถูกนายต่อยเกือบจมูกหัก อดไม่ไหวจริงๆ น้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้
เห็นทั้งสองคนตะโกนใส่กันทำท่าจะเริ่มต่อสู้ยกใหม่ ตาเฒ่าหลี่กระแอมไอเบาๆ ว่า “เจ้าเด็กสองคนนี้แซ่หลี่เหมือนกัน พวกเราก็…ช่างเถอะ รอบนี้เสมอกันไป”
รัฐมนตรีหวังไร้คำจะโต้ตอบ นี่นับว่าเป็นเหตุผลอะไร?
พวกเราแซ่หลี่เหมือนกัน ถือว่าเสมอกันแล้ว เรื่องบ้าบออะไรกัน?
แต่การต่อสู้ดำเนินมาถึงตอนนี้แทบจะทุ่มกันสุดชีวิตแล้ว รัฐมนตรีหวังพยักหน้าเช่นกัน “งั้นก็เสมอเถอะ…”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ใบหน้าของหลี่โม่ก็ดูไม่ได้อยู่บ้าง เสมอกันอีกแล้ว!
สี่รอบ แพ้หนึ่งชนะหนึ่ง เสมออีกสอง ไม่มีความได้เปรียบแม้แต่น้อย
ประเด็นอยู่ที่อีกฝ่ายอยู่ขั้นห้าทั้งหมด!
รอบสุดท้ายชนะยังพอว่า นี่ถ้าแพ้อีก…งั้นคงขายหน้าแล้วจริงๆ
แม้จะชนะ แต่สู้มาจนถึงขั้นนี้ก็ขายหน้าอยู่บ้างแล้ว
หลี่โม่ไม่พูดอะไร รัฐมนตรีหวังไม่ชักช้าอีกเช่นกัน เอ่ยขึ้นว่า “การแข่งขันสิ้นสุดแค่นี้ ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน!”
หลี่เฟยโมโหแทบกระอักเลือด หลี่หานซงไม่เต็มใจเหมือนกัน ตะโกนเสียงดังว่า “ยังไม่จบสักหน่อย!”
เขาตกลงกับฟางผิงแล้ว ชนะถึงจะได้อาวุธวิเศษ
ตอนนี้เสมอกันนับเป็นเรื่องอะไร?
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลี่เฟยยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก!
ฉันยังไม่ได้พูดอะไร นายกลับเอ่ยขึ้นมาก่อนงั้นเหรอ?
นายคิดว่าฉันไม่มีวิธีฟันหัวหมูนั่นของนายได้จริงๆ หรือไง!
สิ้นเสียงของหลี่หานซง เหนือหัวของหลี่เฟยก็ปรากฏประตูซานเจียวขึ้นมาทันที เผยสีหน้าโมโหอย่างยิ่ง มาสิ อย่างมากฉันก็เปิดประตูบานหนึ่ง สู้กับนายอย่างถึงที่สุดเท่านั้น!
แต่…เจ้าหมอนี่อึดไม่น้อย
หลี่หานซงจำเป็นต้องยอมรับ หลี่เฟยดีกว่าคนก่อนหน้านี้อยู่บ้าง…โดยเฉพาะเจ้าอ้วนนั่น ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะไม่สู้ต่อแล้ว แม้หลี่เฟยคนนี้จะไม่ได้บาดเจ็บหนัก แต่ก็ไม่นับว่าเล็กน้อย สามารถสู้จนถึงตอนนี้ เขาก็อาศัยความได้เปรียบจากหัวเหล็กร่างทองของตัวเองเช่นกัน
ทั้งสองคนต่างอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ข้างล่างนั้นจู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “ทั้งสองคนอย่าบาดเจ็บถึงรากฐานเลย ทุกคนแลกเปลี่ยนความรู้กันเป็นหลัก พอกันแค่นี้เถอะ ยิ่งไปกว่านั้นฉันและรุ่นพี่เจิ้งก็นั่งรอมานานแล้ว ทั้งสองคนให้โอกาสพวกเราแสดงฝีมือบ้างเป็นยังไง?”
คำพูดนี้นับว่าคลี่คลายสถานการณ์อึดอัดให้ทั้งสองคน หลี่หานซงเอ่ยแก้ต่างว่า “เห็นแก่หน้าของฟางผิงละกัน ไม่งั้นล่ะก็!”
พูดจบ เจ้าหมอนี้ก็หมุนตัวกระโดดลงไป
ฟางผิงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง เจ้าหลี่หัวเหล็กเหิมเกริมจริงๆ!
สู้ต่อไป นายคงต้องคุกเข่าแล้ว ยังจะทำเป็นเสแสร้งอีก ตอนนี้แทบจะเป็นเพื่อนกับฉินเฟิ่งชิงได้แล้ว ถูกคนซ้อมจนผมไม่เหลือสักเส้น
เมื่อก่อนคิดว่าหลี่หานซงยังนับว่าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ตอนนี้…
ฟางผิงส่ายหัวเบาๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร เพราะแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่าถึงได้เหิมเกริมขนาดนี้?
ส่วนเรื่องที่เขาพาลงถ้ำใต้ดินด้วย…ฟางผิงไม่ยอมรับเด็ดขาด
เขาและหลี่หานซงไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เกี่ยวอะไรกับฉัน
——————–
………………..