ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 467 ถามความลับ (1)
ตอนที่ 467 ถามความลับ (1)
………………..
สองวันหลังจากนั้น กลุ่มของหลี่เฟยยังไม่ได้จากไป แต่รั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต่อ
สองวันนี้ คนพวกนี้เริ่มขอคำชี้แนะข้อสงสัยและปัญหาในการฝึกวิชาบางส่วนจากอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เช่นกัน
ในบ้าน ในเมืองเจิ้นซิง แม้ว่าจะมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แต่ยิ่งสนิทสนมมากเท่าไหร่ยิ่งไม่อาจถามละเอียดได้มาก
เมืองเจิ้นซิงมีอัจฉริยะจำนวนมาก อัจฉริยะบางคนเข้าใจแล้ว คุณกลับไม่เข้าใจ เพราะเรื่องหน้าตาแล้ว ไม่เข้าใจก็ต้องแกล้งเข้าใจ
มามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ คนพวกนี้จึงไม่มีความกังวลเรื่องพวกนี้ ผลัดกันถามคำถามขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เห็นฉากนี้ หลี่โม่ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
บางที…เมืองเจิ้นซิงอาจจะต้องสมาคมกับโลกข้างนอกให้มากหน่อยแล้วจริงๆ
สถาบันผู้ฝึกยุทธ์อย่างมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ บางทีอาจให้เด็กๆ จากเมืองเจิ้นซิงบางส่วนเข้าเรียนได้เหมือนกัน
—
สองวันนี้ ฟางผิงก็ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
เพื่อให้คนพวกนี้ลืมความทุกข์ที่เสียอาวุธวิเศษไป ฟางผิงต้อบรับขับสู้ด้วยอาหารการกินอย่างดี ทั้งยังจัดอาจารย์กลุ่มหนึ่งให้คอยให้คำชี้แนะคนพวกนี้ เปิดกว้างทุกพื้นที่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ให้พวกเขา
เจ้าอ้วนเจี่ยงเชาชอบความคึกครื้น พอดีที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กำลังจัดการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ฟางผิงจึงให้คนพาเจี่ยงเชาเข้าไปเป็นกรรมการโดยเฉพาะ แทบจะทำให้ติดอกติดใจเป็นกรรมการ
หลี่เฟยและเจิ้งหนานฉีอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์ ฟางผิงก็ให้อาจารย์ขั้นหกมีกี่คนมาแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขา
เวลาสองวันผ่านไป ความสัมพันธ์ของทุกคนก็แน่นแฟ้นขึ้นมาก
—
ฟางผิงยุ่งตัวเป็นเกลียว บางคนกลับอารมณ์ขมุกขมัวอยู่บ้าง
วันที่ 22 มีนาคม
ตอนที่ฟางผิงกลับมาพักที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เห็นเฉินอวิ๋นซีเอาแต่เดินวนไปเวียนมาอยู่รอบๆ ก็อดยิ้มเจื่อนขึ้นมาไม่ได้ “เป็นอะไรไป?”
ฟางผิงครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยหยอกว่า “คงไม่ใช่เพราะว่าสองวันนี้ฉันผูกมิตรกับคนพวกนั้น มีผู้หญิงอยู่ในกลุ่ม เธอเลย…คิดอะไรบางอย่าง?”
“ไม่ใช่!”
เฉินอวิ๋นซีปฏิเสธทันที ฟางผิงกวาดสายตามองเธอ เหมือนจะไม่ได้หึงเหมือนกัน
ในเมื่อไม่ใช่ งั้นทำไมถึงอารมณ์ไม่ดี?
ฟางผิงสงสัยอย่างเห็นได้ชัด เฉินอวิ๋นซีขบริมฝีปาก ขัดแย้งในใจอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ฉันรับไม่ได้!”
“หืม?”
เฉินอวิ๋นซีอารมณ์พลุ่งพล่านไม่น้อย เอ่ยอย่างอึดอัดว่า “ฟางผิงที่ฉันรู้จักไม่เคยกลัวอะไร ไม่หวั่นเกรงในอำนาจ หยิ่งผยองถือตัว…แต่ตอนนี้…นาย…นายต้องก้มหัวให้พวกเขา ฉันรับไม่ได้”
ฟางผิงที่เธอรู้จักไม่ใช่แบบนี้
แต่เธอรู้ว่าฟางผิงไม่ใช่ก้มหัวเพื่อตัวเอง ฟางผิงที่เคยถูกคนมองว่าเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว วันนี้เพื่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กลับก้มหัวให้คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เขาคอยปรนนิบัติรับใช้ ยิ้มต้อนรับขับสู้ เรียกเมื่อไหร่ก็ไปหาเมื่อนั้น ไม่ใช่ว่าฟางผิงสู้พวกเขาไม่ได้!
แม้ฟางผิงจะสู้พวกเขาไม่ได้ เขาก็ไม่อาจรับใช้คนพวกนี้เพื่อตัวเองได้หรอก
แต่ตอนนี้…
สองวันนี้ เฉินอวิ๋นซีมองอยู่ตลอด ยากจะรับได้ในใจ
ผู้ชายอย่างเขาควรวางท่าทีสูงส่งถือตัว!
ฟางผิงหัวเราะออกมาทันที คลี่ยิ้มว่า “อะไรกันอีกล่ะเนี่ย? เดี๋ยวคนนั้นเดี๋ยวคนนี้ นึกไม่ถึงว่าจะรู้สึกไม่ดี่แทนฉันกันหมด”
“อาจารย์บอกว่าเขารู้สึกไม่ยุติธรรมแทนฉัน คิดว่าไม่ควรทำแบบนี้”
“เธอยังมาพูดอีกคนว่าฉันก็ไม่ควรทำ”
“แต่ในความเป็นจริง…ฉันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าคนหนึ่งเท่านั้น!”
ฟางผิงแค่นยิ้มว่า “พวกเธอมองฉันสำคัญขนาดนั้น? เพราะว่าฉันโม้มากเกินไป พวกเธอเลยคิดไปว่าฉันมีเกียรติมากกว่าขั้นเก้าขั้นสุดยอดไปแล้ว? ยังคิดว่ากระทั่งขั้นเก้าขั้นสุดยอดฉันยังสามารถหยิ่งผยองได้? เด็กโง่ ยอมขออย่างตรงไปตรงมาดีกว่าต้องยอมก้มหัว นั่นสำหรับคนระดับสุดยอด ฉันและเธอเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัตินั้น ถูกเหยียดหยามดูแคลนยังมีคนรับได้…ยังไงฉันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสินะ? พวกเจี่ยงเชาไม่มีใครออกคำสั่งอะไรกับฉันเหมือนกัน เป็นความต้องการของฉันเอง ถึงได้ประจบประแจงต้อนรับขับสู้ ทำตามที่พวกเขาต้องการ ฉันไม่ได้สูงส่งเหมือนที่พวกเธอคิดขนาดนั้น หรือเธอลืมไปว่าตอนแรกฉันและเธอไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้น พวกเราสนิมกันได้ยังไง? เพราะเธอมีเงิน ฉันถึงประจบเธอมากหน่อย หวังอยากจะขายยาบำรุงให้เยอะๆ แถมเธอยังเป็นคนโง่ที่มีเงิน เวลานั้นฉันหลอกเธอจนแทบไม่กล้าลงมืออยู่บ้าง…”
เฉินอวิ๋นซีหัวเราะคิกคักออกมา เอ่ยปิดบังทันที “ฉันไม่ได้โง่สักหน่อย!”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ เธอบอกว่าเธอไม่โง่ งั้นฉันก็จะมองว่าเธอไม่โง่”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เอ่ยต่อ “ฉันเป็นพวกวัตถุนิยม ฉันสนใจผลประโยชน์ในความเป็นจริงมากกว่า ไม่ได้ใส่ใจเรื่องหน้าตา หน้าตาทำให้กินข้าวอ่มหรือไง? หน้าตาทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น? ฉันแข็งแกร่งได้ถึงจะมีหน้าตา ไม่ใช่มีหน้าตาแล้วถึงจะแข็งแกร่ง เข้าใจหรือยัง?”
เฉินอวิ๋นซีฟังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเม้มริมฝีปาก “ก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี…รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนนาย ฟางผิง หรือรอพวกเราแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ซ้อมพวกเขาสักชุดเป็นยังไง?”
ฟางผิงปวดหัวขึ้นมา เธอมีความคิดแบบนี้ได้ยังไงกัน?
เฉินอวิ๋นซีครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่งั้น…รอพวกเขาไปแล้ว พวกเราแอบซ้อมพวกเขาระหว่างทางดีหรือเปล่า?”
“อวิ๋นซี เธอน่าจะมีปัญหาเรื่องทัศนคติแล้ว!”
ฟางผิงกล่าวเตือนว่า “พวกเขาล่วงเกินพวกเราหรือไง? มามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ครั้งเดียว เสียอาวุธวิเศษไปห้าชิ้น คนเขายังไม่ได้ซ้อมพวกเรา เธอจะซ้อมพวกเขาไปทำไม?”
“เกียรติของนายมีค่าแค่อาวุธวิเศษห้าชิ้นหรือไง!”
เฉินอวิ๋นซีเผยสีหน้าจริงจัง ยังไงเธอก็รู้สึกแบบนั้น
ฟางผิงปวดหัวแทบระเบิด ผู้หญิงคนนี้จะยึดติดเกินไปแล้ว!
ฉันมีเกียรติขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันแค่อาศัยหน้าตากินข้าวไปวันๆ เท่านั้น กินรวบอาวุธวิเศษห้าชิ้นในคราวเดียว…ให้เธอเหยียบสักสองสามทียังไม่ปัญหาด้วยซ้ำ
ระหว่างที่หมดเรี่ยวแรง ฟางผิงก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “คนเขาอยู่ขั้นหกถึงสิบคน ยังมีขั้นแปดคุ้มกันอีก ซ้อมไม่ไหว”
“งั้นหลังจากนี้ค่อยซ้อมพวกเขา!”
เฉินอวิ๋นซียึดมั่นอย่างยิ่ง ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “งั้นฉันไปฝึกวิชาล่ะ ฉันใกล้จะขั้นสี่ตอนกลางแล้ว รอวันไหนฉันแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ฉันจะช่วยนายอัดพวกเขา!”
เฉินอวิ๋นซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น เดินออกไปด้วยท่าทีมั่นคง เธอจะไปฝึกวิชาแล้ว
กินไป๋ชุ่ยหลายลูก นอกจากจะหลอมอวัยวะภายในบางส่วน ตอนนี้สะพานฟ้าดินทั้งห้าก็เชื่อมต่อกันแล้วสี่แห่ง ขาดแค่อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขั้นสี่ตอนกลางแล้ว
ถึงขั้นสี่ตอนกลาง เพราะกินผลไป๋ชุ่ยหลอมอวัยวะภายในล่วงหน้า การฝึกวิชาในขั้นสี่ตอนปลายของเธอจึงจะไวขึ้นอยู่บ้าง
ทั้งเฉินอวิ๋นซียังตั้งใจโทรหาเฉินเย่าถิงโดยเฉพาะ หลานสาวสุดที่รักอยากจะได้ผลไป๋ชุ่ยเยอะหน่อย
ส่วนปู่จะไปเอามาจากไหน…ตอนนี้เฉินอวิ๋นซีไม่คิดจะสนใจเช่นกัน
ยังไงสองวันนี้เธอก็แทบไม่รู้ว่าในใจเป็นความรู้สึกยังไง มักจะคิดว่าฟางผิงถูกคนรังแก ส่วนเรื่องที่ฟางผิงหลอกเอ่อาวุธวิเศษจากคนอื่น เด็กสาวกลับลืมไปเสียแล้ว
—
เฉินอวิ๋นซีไปฝึกวิชาด้วยใจที่ฮึกเหิม ฟางผิงก็เตรียมจัดการเรื่องสำคัญ
เขาไม่มีเวลาตีสนิทกับพวกเจี่ยงเชามากขนาดนั้น เรื่องที่ควรถาม ตอนนี้ก็ถามได้แล้ว
หากอีกฝ่ายไม่ยอมพูดจริงๆ นั่นก็ช่วยไม่ได้ อย่างมากก็ไม่ถามต่อแล้ว
—
โรงอาหารชั้นสอง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
วันนี้ฉินเฟิ่งชิงเลี้ยงข้าว
เจ้าหมอนี้เลี้ยงข้าวแค่สองคนเท่านั้น เจี่ยงเชาและซูจื่อซู่
ฟางผิงทำหน้าที่รับแขกเท่านั้น ฉินเฟิ่งชิงต่างหากที่เป็นเจ้าภาพ
สองวันนี้ฟางผิงยุ่งมาตลอด ฉินเฟิ่งชิงก็ยุ่งเหมือนกัน
ผลไม้พลังงานของเจี่ยงเชาและซูจื่อซู่ถูกเขาหลอกกินจนหมดแล้ว เจ้าหมอนี้จึงให้ฟางผิงเอาเงินมาหน่อย พาเจี่ยงเชาออกไปกินดื่มอย่างเต็มที่สักมื้อ เจี่ยงเชาที่อยู่มัวสนใจกับสิ่งที่ชอบกลับไม่ได้ตระหนักว่ามูลค่าอาหารหลายสิบมื้อแทบจะเทียบได้กับผลไม้พลังงานหนึ่งลูกเท่านั้น
ห้องส่วนตัวชั้นสอง
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “วันนี้พวกเรามากินของดีกันสักหน่อย เนื้อสุนัขปีศาจขั้นเจ็ด! เจ้านี้ฉันเป็นคนล่าที่ถ้ำใต้ดินด้วยตัวเอง รับรองว่าสดใหม่แน่นอน…”
“นายโล้น ยังจะโม้อีก?”
สองวันนี้เจี่ยงเชานับว่าสนิทกับเขาขึ้นมาแล้ว นับว่าเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวทำนองนั้น ได้ยินแบบนี้จึงเอ่ยอย่างดูแคลน “นายคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือไง? สัตว์ปีศาจตัวนั้นของพวกนาย ฟางผิงเป็นคนเอากลับมาเถอะ!”
ฉินเฟิ่งชิงชำเลืองมองฟางผิงแวบหนึ่ง เอะอะเสียงดังว่า “นายจะไปรู้อะไร นายถามฟางผิงสิ ฉันเป็นคนพาพวกเขาไปฆ่าสัตว์ปีศาจหรือเปล่า?”
———————-
………………..