ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 468-2 เปิดเผยออกมาเสี้ยวหนึ่ง (2)
ตอนที่ 468 เปิดเผยออกมาเสี้ยวหนึ่ง (2)
………………..
“เมืองเจิ้นซิงของพวกเราไม่ได้มาแวดวงสำนัก แน่นอนว่ามีความเกี่ยวข้องเล็กน้อย…เพราะตอนนี้สำนักที่เพิ่งสืบทอดได้ไม่นานบางส่วนก็มีผู้ฝึกยุทธ์จากเมืองเจิ้นซิงออกไปก่อตั้ง ประวัติความเป็นมาของพวกผู้อาวุโส…ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เดิมทีก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตนานเท่าไหร่แล้ว ยังไงจากที่ฉันรู้ผู้อาวุโสพวกนี้ก็อยู่ขั้นสุดยอด เฝ้าระวังอยู่ที่ทางเดินเขาต้านสมุทรมาโดยตลอด”
ฟางผิงเอ่ยอดไม่ได้ “หลายปีขนาดนี้ ยังอยู่ขั้นเก้าสุดยอด? เพราะเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธ์แล้วใช่หรือเปล่า?”
“น่าจะอย่างนั้นนะ”
เจี่ยงเชาเอ่ยอย่างไม่รับผิดชอบ “ฉันไม่ได้อยู่ขั้นเก้าสุดยอด จะไปรู้ได้ยังไง”
ฟางผิงไม่ถามเรื่องนี้อีก เอ่ยว่า “ความสามารถของเมืองเจิ้นซิงเป็นยังไง?”
เจี่ยงเชาเอ่ยอย่างแปลกใจ “นายถามเรื่องนี้ทำไม?”
“ถามดู อยากรู้ว่าความสามารถของมนุษย์เป็นยังไงบ้าง”
เจี่ยงเชาชำเลืองมองเขา เอ่ยออกไปว่า “ไม่ได้ถือเป็นความลับใหญ่อะไรเหมือนกัน นายไม่รู้เพราะนายฝีมือต่ำเกินไป หลายคนต่างรู้กันทั้งนั้น นอกจากผู้อาวุโสขั้นสุดยอดพวกนี้ ยังมีขั้นเก้าที่อายุไม่น้อยบางส่วน น่าจะสิบคนล่ะมั้ง…”
“นายบอกว่ามีห้าหกคนไม่ใช่หรือไง?”
เจี่ยงเชาเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ฉันบอกว่าไม่อยู่ในการจัดอันดับห้าหกคน นายคิดว่าพวกเราตัดขาดกับโลกภายนอกจริงๆ หรือไง? คนที่เหลือต่างรับหน้าที่ในฝ่ายต่างๆ ถึงอยู่ในการจัดอันดับ”
ฟางผิงข่มกลั้นความปรารถนาจะตบเขาให้ตายเอาไว้ เอ่ยต่อว่า “ขั้นเจ็ดขั้นแปดล่ะ?”
“ไม่เยอะ สิบสามตระกูลรวมเข้าด้วยกันก็ห้าสิบหกสิบคน”
“น้อยขนาดนี้เลย?”
ฟางผิงเผยสีหน้าตกใจ ตระกูลหนึ่งสี่ห้าคน?
เขานึกไม่ถึงอยู่บ้างจริงๆ!
จากความคิดของเขา เมืองเจิ้นซิงก่อตั้งมานานขนาดนี้ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ตระกูลนี้มีปรมาจารย์หลายสิบคนยังเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ?
ซูจื่อซู่อดไม่ได้ เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “น้อยอย่างนั้นเหรอ? ทะลวงถึงขั้นเจ็ดเป็นเรื่องยาก ปราณและจิตใจรวมเป็นหนึ่งด่านนี้หลายคนชั่วชีวิตก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้จะทำได้ พลังจิตใจปรากฏก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี…”
ฟางผิงพึมพำว่า “ไม่ถูกสิ หลอมปราณและจิตใจเป็นหนึ่ง ไม่ใช่ใช้เวลาอีกนิดหน่อยก็ทำให้พลังจิตใจปรากฏได้แล้วหรือไง?”
ซูจื่อซู่ตื่นตะลึงยิ่งกว่าเขา ส่ายหัวว่า “ไม่ใช่ หลอมปราณและจิตใจก็คือหลอมปราณและจิตใจ พลังจิตใจปรากฏถือเป็นด่านยากอย่างหนึ่ง มักจะมีคนติดอยู่ที่ขั้นนี้เยอะเหมือนกัน”
“ไม่ใช่มั้ง?”
ฉินเฟิ่งชิงลูบหัวล้านอธิบายว่า “ราชสีห์ถังหลอมพลังจิตใจและปราณไม่กี่วัน ตอนนี้ใกล้จะปรากฏพลังจิตใจได้แล้ว อาจารย์หลู่ก็เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องยากอยู่หรือไง?”
ทุกคนมองหน้ากัน ผ่านไปสักพัก ฟางผิงก็มองไปทางซูจื่อซู่ว่า “หลอมปราณและจิตใจไปถึงปรากฏพลังจิตใจ ยากขนาดนั้นจริงๆ?”
ซูจื่อซู่แทบจะอกแตกตายแล้ว เอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “ยากมากจริงๆ ลุงของฉันใช้เวลาในขั้นตอนนี้ถึงสิบสองปี”
ฟางผิงมองฉินเฟิ่งชิง ฉินเฟิ่งชิงก็มองเขา ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “อย่ามองฉัน น่าจะเพราะเมืองเจิ้นซิงอัดยาบำรุงมากไป อาจารย์ของพวกเราอาศัยความสามารถอย่างแท้จริงขัดเกลาขึ้นไป พลังจิตใจถึงขั้นหลอมกับปราณเป็นหนึ่งก็ไม่มีด่านยากอะไรแล้ว พูดแบบนี้…ฟางผิง พลังจิตใจของนายอาจปรากฏขึ้นยาก ติดอยู่กว่าสิบปีก็ได้”
ฟางผิงไม่สนใจเขา พึมพำกับตัวเอง “พูดแบบนี้ ความสามารถของเมืองเจิ้นซิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่ฉันคาดไว้ขนาดนั้น? ตระกูลเดียวมีปรมาจารย์สี่ห้าคน ฉันยังคิดว่าพวกนายมีขั้นเจ็ดขั้นแปดเดินเกลื่อนกลาดซะอีก…”
เจี่ยงเชาไร้เรี่ยวแรงจะแขวะแล้ว หากเป็นแบบนี้จริงๆ อาศัยแค่จำนวนคนก็ทับยอดฝีมือถ้ำพวกนั้นตายแล้ว จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง
ขั้นหกถึงขั้นเจ็ดเป็นด่านยากอย่างหนึ่ง
อีกอย่าง…ฉันบอกว่าเมืองเจิ้นซิงของพวกเรามีปรมาจารย์ห้าสิบหกสิบคน ปรมาจารย์ใหญ่เกือบสิบคน ทำไมไอ้เวรนี้ถึงคิดว่าพวกเขาอ่อนแอได้?
เจี่ยงเชาไม่เข้าใจอย่างมาก!
แข็งแกร่งขนาดนี้ แข็งแกร่งจนนายควรจะกลัวด้วยตัวสั่นด้วยซ้ำ
นึกไม่ถึงว่าจะคิดว่าพวกเราอ่อนแอ คิดยังไงกัน?
ไม่ใช่แค่ฟางผิงที่คิดว่าอ่อนแอ ฉินเฟิ่งชิงก็พึมพำเช่นกัน “ฉันก็คิดไปว่าพวกนายเจ๋งมาก น่าจะขั้นหกกันหมด ขั้นเจ็ดขั้นแปดคงจะมีเกลื่อนกลาด สรุปแล้วโม้มาครึ่งวัน มีแค่นี้ ตระกูลของนายมีปรมาจารย์สี่ห้าคน ไม่นับผู้อาวุโสของพวกนาย ยังจัดการมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ได้อีก ใช้ชีวิตยังไงกัน หากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีขั้นสุดยอด ตอนนี้น่าจะมีปรมาจารย์หลายร้อยคนแล้ว…”
เจี่ยงเชาเอ่ยอย่างหงุดหงิด “รัฐมนตรีจางอยู่ขั้นสุดยอด มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้และกระทรวงการศึกษานับเป็นหนึ่งเดียวกัน…”
ฉินเฟิ่งชิงเบะปากว่า “ใช่ ดังนั้นหลายปีมานี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถึงบ่มเพาะปรมาจารย์หลายสิบคน มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้รวมเข้าด้วยกัน ปรมาจารย์ของประเทศจีน ครึ่งใหญ่มากจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หลายร้อยคนจะเป็นปัญหางั้นเหรอ?”
เจี่ยงเชาส่ายหัว คำนวณกันแบบนี้?
เหมือนจะมีปัญหาที่ไหนสักแห่ง!
แต่ปัญหาอยู่ที่ไหนล่ะ?
ด้านข้างซูจื่อซู่กระซิบว่า “เมืองเจิ้นซิงของพวกเรามีน้อย สิบสามตระกูลไม่กี่สามพันคนเท่านั้น…”
เจี่ยงเชาเข้าใจขึ้นมาทันที เอ็ดว่า “พวกเราคนน้อย มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มีคนเยอะ!”
“พวกเราทรัพยากรน้อย”
“แต่คนก็มากอยู่ดี!”
“…”
ทั้งสองคนทะเลาะกันไปมา ฟางผิงปวดหัวอยู่บ้าง ตัดบทว่า “พูดเรื่องการแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวดีกว่า”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกนาย”
เจี่ยงเชาอธิบายว่า “ไม่เกี่ยวข้องจริงๆ แค่แย่งโควต้าของเขตหวงห้ามเท่านั้น ทางเขตหวงห้ามทุกสามปีพวกเราสามารถเข้าไปได้สามสิบคน เข้าไปประลองแข่งขันกับอัจฉริยะของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ แข่งยังไงฉันก็ไม่รู้ น่าจะต่อสู้นั่นแหละ แน่นอนว่ามีของดีอยู่แล้ว หลายคนทะลวงกลายเป็นปรมาจารย์ในเขตหวงห้าม ไอ้โรคจิตที่บ้านของฉันก็เหมือนกัน ตอนที่เขาไปอยู่ขั้นหกสูงสุด ออกมาก็เป็นปรมาจารย์ไปแล้ว”
เห็นฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงต่างจ้องเขาตาเป็นมัน เจี่ยงเชาก็อธิบายอีกครั้ง “พวกนายไปไม่ได้ โควต้าน้อยเกินไป สามปีแค่สามสิบคน ทั้งยังแข่งกันทั่วโลก ประเทศจีนน่าจะได้ไปประมาณสิบคน ผู้อาวุโสของพวกเราเฝ้าระวังอยู่แนวหน้า เมืองเจิ้นซิงเลยได้ส่วนแบ่งอยู่เล็กน้อย? รัฐบาลกลางและหน่วยทหารก็ได้กันอย่างละหน่อย…แบ่งจนสุดท้าย ตระกูลหนึ่งก็สองสามคนเท่านั้น นายว่ายังจะมีส่วนของพวกนายหรือเปล่าล่ะ? แถมไปแล้วก็ไม่ได้มีแต่ผลประโยชน์ ทุกครั้งที่ไปล้วนมีคนตาย”
“นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้…ก่อนหน้านี้ที่แข็งแกร่งก็ขั้นสี่ขั้นห้า ไปแล้วก็ตายฟรี ไม่มีประโยชน์ อย่าพูดว่าทำไมไม่บ่มเพาะพวกนายล่วงหน้า หากมีความสามารถนั้นจริงๆ หลังจากเรียนจบเข้าไปอยู่ในรัฐบาลหรือหน่วยทหาร พวกเก่งๆ คงไปอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ปกติแล้วพวกนายไม่รู้เท่าไหร่ รัฐบาลกลางและหน่วยทหารกลับรู้ดี ตอนนี้ปรมาจารย์บางส่วน อันที่จริงต่างเดินออกมาจากเขตหวงห้าม”
“นายหมายความว่ายังไง?” ฟางผิงเผยแววตาอันตรายขึ้นมา
เจี่ยงเชาอธิบายว่า “ฉันหมายถึงความน่าเชื่อถือ ทำนองว่าเกิดในตระกูลดีๆ มีหลักประกัน รัฐบาลกลาง หน่วยทหาร เมืองเจิ้นซิงล้วนน่าเชื่อถือ พวกนาย…มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นับว่าไม่ขาวสะอาดพอ ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือเปล่า เข้าใจความหมายฉันสินะ? หากนายอยู่ในหน่วยทหารตั้งแต่เด็ก หรือต้นตระกูลหลายรุ่นเป็นทหาร ไม่ก็ลูกกำพร้าของทหาร นั่นก็มีพื้นฐานที่ขาวสะอาดแล้ว…”
เจี่ยงเชาพูดจบยังเอ่ยเสริมว่า “พวกกลายพันธุ์อย่างพวกนาย ฐานะไม่ขาวสะอาดพอ ไม่ให้พวกนายไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“ฐานะไม่ขาวสะอาดพอ?”
ฟางผิงขมวดคิ้ว ยังมีผลที่ตามมาอยู่บ้างสินะ
“ไม่ไปก็ไม่ไป นายคิดว่าพวกเราจะสนใจ?” ฟางผิงแค่นเสียง ฉันไม่สนใจหรอก!
อย่างมาก…ครั้งหน้าก็ไปเอง!
เขาไม่สนใจ ฉินเฟิ่งชิงกลับลูบคาง พึมพำว่า “ฉันไม่ใช่พวกกลายพันธุ์ ฐานะขาวสะอาดพอหรือยัง?”
เจี่ยงเชาชำเลืองมองเขา ผ่านไปสักพักจึงพึมพำว่า “นายไม่ใช่พวกกลายพันธุ์ แต่นายอ่อนแอ!”
กระทั่งฉันยังสู้ไม่ได้ ไก่อ่อนตัวหนึ่ง นายจะไปตายฟรีหรือไง?
ฉันยังไม่กล้าไป นายไปสิ้นเปลืองโควต้าเปล่าๆ
คำพูดนี้…แทงใจจนฉินเฟิ่งชิงหน้าดำหน้าแดง!
ฉันอ่อนแอ?
เอาเถอะ ฉันอ่อนแออยู่บ้าง เพิ่งขั้นห้าตอนต้น เสียใจจริงๆ
ฟางผิงเอ่ยว่า “งั้นเรื่องภายในเขตหวงห้าม…”
“เรื่องนี้ฉันไม่ค่อยรู้เท่าไหร่จริงๆ เรื่องข้างนอกยังพอจะรู้บ้าง แต่เรื่องภายใน ฉันรู้แค่แบ่งเป็นสองฝ่าย เรื่องอื่นๆ ไม่กระจ่างชัดแล้ว”
เจี่ยงเชายักไหล่ว่า “ฉันแค่พวกกินๆ นอนๆ รอตายเท่านั้น ทุกคนจึงให้ฉันรู้ข้อมูลแค่เล็กน้อย ความลับสุดยอดฉันแค่แอบฟังมาบ้างเท่านั้น ทำบ่อยๆ ไม่ได้ นายคิดว่าฉันรู้เยอะขนาดนั้นเลยหรือไง?”
ด้านข้างนั้นซูจื่อซู่เห็นฟางผิงมองมาก็รีบเอ่ยว่า “ฉันรู้น้อยกว่าเจี่ยงเชาซะอีก ฉันไม่กล้าแอบฟังคนในบ้านพูดคุยกัน”
ฟางผิงขมวดคิ้ว มองฉินเฟิ่งชิงแวบหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงเข้าใจทันที เก็บเนื้อสุนัขออกไป
พวกนายสองคนรู้แค่นี้ เนื้อสุนัขกินไปนิดเดียวกะอแล้ว อย่าสิ้นเปลืองอีกเลย
นี่ไม่ใช่เนื้อสุนัขจริงๆ นี่คือเนื้อสัตว์ปีศาจขั้นเจ็ด ให้คนอื่นกินสามารถเพิ่มพลังงานได้
เจี่ยงเชาแทบจะระเบิดโมโห หมดประโยชน์แล้วก็เฉดหัวทิ้งทันที พวกนายจะโหดร้ายเกินไปแล้ว!
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยใบหน้าจนใจ “ให้พวกรุ่นน้องกินสักหน่อย พวกนายกินก็ไม่ช่วยการฝึกวิชาหรอก สิ้นเปลืองเกินไป กลับไปฉันจะเลี้ยงเนื้อย่างแทนละกัน กินสักพันไม้คงจะพอใจแล้วสินะ?”
เจี่ยงเชาหมดคำจะพูด โวยวายเสียงดังว่า “ก็ว่าแล้วพวกนายไม่ใช่ของดีอะไร ตั้งแต่ต่อสู้ก็วางแผนพวกเราทันที…แต่ช่างเถอะ ฉันรวย คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนาย หากพวกเนายแข็งแกร่งหน่อย จัดการถ้ำใต้ดินได้ งั้นพวกเรายังสามารถเสวยสุขได้หน่อย จัดการไม่ได้…พวกนายตายกันเองเถอะ ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน”
คำพูดนี้ของเจี่ยงเชาทำให้ฟางผิงเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อเขา อดเอ่ยไม่ได้ “น้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ ยังเป็นนายที่มองทะลุปรุโปร่ง ลูกหลานคนรวยเสวยสุขอย่างเงียบๆ ดีจะตายไป ครั้งหน้าไม่ต้องฝึกวิชาแล้ว ส่งทรัพยากรมาให้ ฉันถึงขั้นสุดยอดแล้วจะพานายหนีเอง!”
เจี่ยงเชากวาดสายตามองเขา เผยสีหน้าดูแคลน เชื่อนายกับผีน่ะสิ!
ฉินเฟิ่งชิงเห็นว่าสิ่งที่อยากพูดโดนฟางผิงแย่งพูดแล้วก็จนใจ เอ่ยเสริมว่า “เสี่ยวซู่เอาให้ฉันได้ ทุ่มทุนให้ฉัน ฉันถึงขั้นสุดยอด แต่งเธอเป็นภรรยาก็ไม่มีปัญหา…”
ซูจื่อซู่ใบหน้าขึ้นสี โมโหแล้ว!
คิดว่าฉันโง่หรือไง!
พูดเอะอะกันเสียงดัง ฟางผิงสรุปอยู่ในใจ ข้อมูลเขตหวงห้ามยังรู้ไม่เยอะเท่าไหร่
แต่…บางเรื่องพอจะมีเค้าโครงแล้ว
สรุปคืออาหารมื้อนี้ไม่ได้กินเสียเปล่า
ข้อมูลของระดับสูงถูกเปิดเผยออกมาเสี้ยวหนึ่งแล้ว
—————–