ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 469-2 ปรมาจารย์หกคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ (2)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 469-2 ปรมาจารย์หกคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ (2)
ตอนที่ 469 ปรมาจารย์หกคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ (2)
………………..
ฟางผิงเห็นแบบนั้นก็หัวเราะว่า “ยินดีกับอาจารย์ถัง ยินดีกับปรมาจารย์คนใหม่!”
ส่วนค่าปรับ…ต้องถูกปรับอยู่แล้ว ครั้งนี้หากหัวสิงโตไม่ซ่อมแซมสถานที่ของมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อย จะปรับให้ตายเลยคอยดู!
กลางอากาศ เสียงระเบิดยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง
ข้างล่างนั้นพวกอาจารย์และนักศึกษาต่างดีใจ ส่งเสียงว่า “ยินดีกับปรมาจารย์ด้วย!”
ทุกคนต่างรู้สึกภาคภูมิใจ!
ช่วงเวลาสั้นๆ ในหนึ่งเดือน ‘ยินดีกับปรมาจารย์’ ถึงสองครั้งแล้ว น่าภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอะไรอย่างนี้!
“ยินดีกับปรมาจารย์!”
เสียงดังขึ้นติดต่อกัน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คึกคักขึ้นมาทันที!
เซี่ยงไฮ้ก็คึกคักขึ้นเช่นกัน!
ปี 2010 เดือนมีนาคม ยอดฝีมือสองคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์!
ฟางผิงทะยานขึ้นฟ้า คำรามเสียงดัง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีปรมาจารย์หกคน สมชื่อมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งแล้ว
“ยินดีกับมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”
“…”
เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดสาย เวลานี้เสียงร้องอย่างดีใจก็ดังขึ้นเช่นกัน!
—
“แข็งแกร่ง!”
ข้างล่างนั้น เห็นถังเฟิงยืนในอากาศอย่างทรงพลัง พวกเจิ้งหนานฉีต่างเผยใบหน้าตกตะลึง
แข็งแกร่งจริงๆ!
ปรมาจารย์คนใหม่ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เข้าสู่ขั้นเจ็ดก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับปรมาจารย์อายุมากพวกนั้นแม้แต่น้อย ปราณพลุ่งพล่านราวกับเตาอบ มองเข้าไปก็รู้สึกเหมือนจะมอดไหม้
หลี่โม่พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “แข็งแกร่งจริงๆ โดยเฉพาะหลอมอาวุธวิเศษให้กลายเป็นสนับมือที่ตัวเองใช้มาหลายปี คนผู้นี้ก็ทำสงครามในถ้ำใต้ดินบ่อยครั้ง สังหารมานับไม่ถ้วน เกรงว่าคงไม่อ่อนด้อยกว่าขั้นเจ็ดตอนกลางและตอนปลายทั่วไป”
เจี่ยงเชาอดเอ่ยไม่ได้ “เทียบกับเจ้าโรคจิตนั่นของตระกูลผมเป็นยังไง?”
หลี่โม่เงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “หากประลองแลกเปลี่ยนความรู้ เขาเพิ่งจะทะลวงด่าน อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี่ยงเฮ่าเสมอไป การต่อสู้เดิมพันชีวิต คนผู้นี้เข่นฆ่ามานับไม่ถ้วน เจี่ยงเฮ่า…อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“เป็นไปได้ยังไง!”
แม้ว่าเจี่ยงเชาจะไม่ชอบพี่ชายคนโตของตัวเอง ตอนนี้ยังคงอดเอ่ยไม่ได้ “เจ้าโรคจิตอยู่ขั้นเจ็ดตอนกลาง มีอาวุธวิเศษสองชิ้นในมือ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนเหมือนกัน ถึงกระทั่งสังหารอัจฉริยะถ้ำในระดับเดียวกันได้ ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา?”
พี่ชายของเขา แม้จะอยู่ในเมืองเจิ้นซิง ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะอันดับต้นๆ
ผู้อาวุโสขั้นเจ็ดบางส่วน แม้จะอยู่ขั้นเจ็ดตอนปลายแล้ว ยังไม่กล้าพูดเต็มปากว่าเอาชนะพี่ชายเขาได้เลย
แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าหลี่โม่จะบอกว่าการต่อสู้เดิมพันด้วยชีวิต เจี่ยงเฮ่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของถังเฟิง!
หลี่โม่ถอนหายใจ เห็นทุกคนมองตัวเองก็อธิบายขึ้นอีกครั้ง “ยอดฝีมือระดับเดียวกัน หน่วยทหารแข็งแกร่งที่สุด มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เป็นอันดับสอง! เข้าใจหรือยัง?”
ทุกคนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
“หน่วยทหารและมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ต่างเดินไปทีละก้าว หน่วยทหารเริ่มสังหารตั้งแต่ขั้นหนึ่ง แต่ละวันต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ยอดฝีมือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ตั้งแต่ขั้นสามถึงจะเริ่มเข่นฆ่า ทรัพยากรและประสบการณ์ทั้งหมดล้วนพึ่งพาตัวเอง ไม่ว่าจะหน่วยทหารหรือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ล้วนมีทรัพยากรอย่างจำกัด เพราะพวกเขามีคนมาก อยากจะฝ่าผู้คนนับร้อยนับพันกลายเป็นยอดฝีมือในนั้น หลั่งเลือดไปนับไม่ถ้วน ประสบพบเจอกับความลำบากไม่รู้ตั้งเท่าไหร่…แข็งแกร่งกว่าเมืองเจิ้นซิงของพวกเราอยู่บ้างจริงๆ”
ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นหกลงไปของเมืองเจิ้นซิงแทบจะไม่เคยต่อสู้
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ จะสามารถเทียบกับยอดฝีมือที่ต้องหลั่งเลือดฆ่าคนเพื่อแลกกับยาบำรุงธรรมดาหนึ่งเม็ดได้ยังไง
ในเมืองเจิ้นซิง หลายคนจะสนใจยาบำรุงธรรมดาหนึ่งเม็ดงั้นเหรอ?
อย่าพูดว่าขั้นธรรมดาเลย แม้จะยาบำรุงขั้นสูงๆ หลายคนก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา
แต่ผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหารและมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เพื่อยาบำรุงธรรมดาเม็ดเดียวแล้ว บางทีอาจต้องสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันหลายคนถึงจะได้มา
บางครั้งอาวุธวิเศษ เคล็ดวิชาต่อสู้ หรืออัจฉริยะอาจไม่ได้ตัดสินจากปัจจัยของความสามารถและพลังต่อสู้ ประเด็นยังเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ก็ความเชื่อมั่น
หลี่โม่พูดจบ ทุกคนก็เงียบไป
มองไปยังยอดฝีมือบนฟ้าพวกนั้น หลี่เฟยพึมพำว่า “ไม่แปลกใจที่ปู่สามเลือกไปหน่วยทหาร ไม่กลับมาเมืองเจิ้นซิงอีกเลย…”
หลี่โม่มองเขาแวบหนึ่ง แค่นเสียงว่า “อย่าคิดเกินตัว! เริ่มต้นสูงไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะอ่อนแอกว่าระดับเดียวกัน ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่ตัวเอง เริ่มต้นสูงไม่ได้ความผิดของพวกเธอ นี่เป็นต้นทุนของพวกเธอ เจี่ยงเฮ่าขัดเกลาอีกสี่ห้าปี คนพวกนี้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี่ยงเฮ่าอีกงั้นเหรอ เข้าใจหรือยัง?”
ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยงเฮ่ายังอายุน้อย นี่เป็นความได้เปรียบอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่สิ่งที่ขั้นเจ็ดของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คนนี้สามารถเทียบได้
—
กลางอากาศ
ถังเฟิงเก็บพลังกลับมา ฟื้นฟูสภาวะปกติ ใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กน้อย
หันไปมองหลู่เฟิ่งโหรวแวบหนึ่ง ถังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วย ก่อนหน้านี้เธอทะลวงด่าน ฉันรับรู้ได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ…”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ขั้นเจ็ดเท่านั้น เสียเวลาไปตั้งนาน มีอะไรน่ายินดีกัน”
ถังเฟิงชะงักไป ฉันเพิ่งจะทะลวงด่าน ไม่ทันได้ดีใจ เธออย่าเพิ่งพูดโจมตีกันได้หรือเปล่า!
ปรมาจารย์ขั้นเจ็ดคนอื่นๆ ที่เพิ่งตามเข้ามาต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คำพูดนี้ของหลู่เฟิ่งโหรว ทิ่มแทงใจหลายคนจริงๆ
เดิมทีถังเฟิงยังคิดจะถามเรื่องอาวุธวิเศษ แต่ครุ่นคิดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องถามตอนนี้ กลับไปค่อยถามก็ไม่สาย
ทุกคนไม่ลอยอยู่กลางอากาศต่อ ทยอยกระโดดสู่พื้น
ฟางผิงตามมาตลอดทาง เห็นแบบนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ทุกคนครับ คือว่า…ผมขอแทรกสักประโยคได้หรือเปล่า?”
ทุกคนมองไปที่เขา ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย ฟางผิงเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยเสียงดังว่า “วันที่สองเดือนเมษายน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะจัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ให้ทุกคนยินดีร่วมกัน! เฉลิมฉลองเพื่อมนุษย์ชาติ เฉลิมฉลองเพื่อประเทศชาติ เฉลิมฉลองเพื่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ และเฉลิมฉลองเพื่อปรมาจารย์!”
“งานเลี้ยงปรมาจารย์!”
ผ่านมาหลายปีแล้วที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ได้จัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ ในที่สุดก็มีโอกาสแบบนี้อีกครั้ง!
ทั้งครั้งนี้ยังไม่ใช่ปรมาจารย์แค่คนเดียว
ปรมาจารย์ในพื้นที่เซี่ยงไฮ้หลายคนได้ยินก็ทยอยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นพวกเราต้องมาอย่างแน่นอน ทุกคนกินดื่มร่วมกัน หลายวันมานี้ทุกคนต่างตึงเครียด ควรจะผ่อนคลายสักหน่อยเหมือนกัน”
“ไม่เลว ฉันรอคอยงานเลี้ยงของคณบดีหลี่มาโดยตลอด แต่นี่กลับผ่านปีใหม่ไปซะแล้ว เดิมทีคิดว่าคณบดีหลู่ทะลวงด่านก็คงอีกไม่นานแล้ว? ผลปรากฏว่ายังไม่ทันรอ ในที่สุดตอนนี้ก็มีประกาศงานเลี้ยงออกมาแล้ว”
“มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถ่อมตัวจริงๆ จะจัดงานเลี้ยงปรมาจารย์พร้อมกันถึงสามคน ทำให้พวกเรามีโอกาสดื่มสุราได้น้อยลงแล้ว…”
ทุกคนทยอยกล่าวยินดี มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีปรมาจารย์เพิ่มขึ้นมาสามคน นี่เป็นเรื่องนี้ที่หาได้ยากยิ่ง
ตั้งแต่ปีก่อนที่อธิการคนก่อนตายในสงคราม สูญเสียปรมาจารย์ไปหลายคน หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องติดต่อกันทำให้ทั่วทั้งประเทศจีน ถึงกระทั่งทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด
หลายวันนี้ก็มีคนทะลวงถึงขั้นปรมาจารย์เช่นกัน แต่เทียบกับปรมาจารย์สามคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ยังด้อยกว่าอยู่บ้าง
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะจัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ เกรงว่าจะเป็นครั้งที่ครื้นเครงที่สุดแล้ว
คล้อยหลังจากมีกำหนดงานเลี้ยงปรมาจารย์ออกมา ภายในมหาวิทยาลัยก็คึกคักขึ้นทันที พวกอาจารย์ต่างพูดคุยสนุกสนาน อารมณ์ดีไม่น้อย
ถังเฟิงไม่สนใจเรื่องนี้ นี่เป็นธรรมเนียม…แต่ตาเฒ่าหลี่ฝืนธรรมเนียม ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมจัด ก่อนหน้านี้ถ่วงเวลามาโดยตลอด
หลังจากนั้นปรมาจารย์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็ส่งปรมาจารย์ที่มาจากข้างนอกพวกนี้ออกไป
จวบจนเวลานี้ฉินเฟิ่งชิงเพิ่งจะลากถังเหวินเข้ามา ไม่รอให้ถังเหวินที่เป็นลูกสาวได้พูด ฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยด้วยความดีใจขึ้นก่อน “อาจารย์ถัง คุณทะลวงเป็นปรมาจารย์แล้ว ผมดีใจจนไม่รู้จะทำยังไงด้วยซ้ำ! อาจารย์ถัง หมัดเมื่อตะกี้ที่คุณชกออกไป ระเบิดเสียงกึกก้องทรงพลัง! คุณเป็นวีรบุรุษในใจของผมจริงๆ…”
ถังเหวินอดมองเขาไม่ได้ นี่เป็นพ่อนายหรือพ่อฉันกันแน่?
ฉันยังอายเกินกว่าจะประจบแบบนี้เลย!
ด้านข้างนั้นตาเฒ่าหลี่ตบไหล่ฟางผิงเบาๆ ถอนหายใจว่า “เห็นเขา ฉันนึกถึงเธอก่อนหน้านี้…”
ฟางผิงทำหน้าหมดคำจะพูด “อาจารย์ ผมไม่ได้ไร้ยางอายขนาดนั้น…”
ตอนนี้ฟางผิงสามารถใช้งานลูกน้องได้แล้ว บางเรื่องไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าเอง
ไม่งั้นฉินเฟิ่งชิงที่ไร้ยางอายคนนี้ เกรงว่าจะด้อยกว่าฟางผิงแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นฟางผิง เกรงว่าคงไม่ได้หยุดแค่ประจบแบบนี้ อาจจะวางแผนจะใช้หัวสิงโตเป็นแรงงานหลังจากนี้ยังไงด้วยซ้ำ
ตาเฒ่าหลี่ยังกำลังครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ ถังเฟิงกลับทนคำพูดร่ำรี้ร่ำไรของฉินเฟิ่งชิงไม่ไหวแล้ว ประจบกลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ ฟังจนเอียนแล้ว ไม่เห็นหรือว่าลูกสาวเขาอยากพูดอะไรเหมือนกัน
ไม่มีสายตาแม้แต่น้อย!
ครู่ต่อมาฉินเฟิ่งชิงก็ได้นั่งรถไฟเหาะในอากาศฟรี ถูกถังเฟิงเตะจนไม่รู้ไปโผล่ที่ไหน
รอบนอกนั้นพวกหลี่เฟยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย…ปรมาจารย์คนใหม่ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ โหดเหี้ยมจริงๆ!
ไม่แปลกใจที่พวกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะใจเด็ดขนาดนี้ พวกเขาเหี้ยมโหดถึงขั้นตีคนกันเอง!
มองฟางผิงที่พูดคุยอย่างออกรสกับปรมาจาย์หลายคนอยู่ด้านข้าง จู่ๆ เจี่ยงเชาก็กดเสียงว่า “นายโล้นแทบจะไม่มีหน้ามีตาในมหาวิทยาลัย น่าอนาถจริงๆ!”
ดูฟางผิงสิ ฉินเฟิ่งชิงเจ้าหมอนี้ใช้ชีวิตอย่างอเนจอนาถเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี้ยังมาโม้เรื่องพวกนั้นกับเขา…น่าจะโม้จริงๆ สินะ?
หากเป็นฟางผิง พวกเขายังจะเชื่ออยู่บ้าง
————–