ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 473-2 ฉินเฟิ่งชิงขายร่างกาย (2)
ตอนที่ 473 ฉินเฟิ่งชิงขายร่างกาย (2)
………………..
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “นายเป็นคนพูดเอง นายมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปีค่อยว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้หากนายแข็งแกร่งขึ้น อย่างเช่นว่ากลายเป็นขั้นเก้าขั้นสุดยอด เวลานั้นนายก็จะเป็นบุคคลแนวหน้าเช่นกัน ฉันยังจะจำกัดนายได้หรือไง? นายว่าเป็นหลักการนี้หรือเปล่าล่ะ? แต่ถ้านายไม่ได้กลายเป็นขั้นเก้าขั้นสุดยอด พิกลพิการ นั่นก็หมายความว่ามหาวิทยาลัยต้องเลี้ยงนายเปล่าๆ เป็นร้อยปี ไม่ว่าจะคำนวณยังไง นายก็ได้กำไรอยู่ดี ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าคนหนึ่ง จะไปหาผลประโยชน์แบบนี้ได้จากที่ไหน ตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเป็นกองอยากเข้ามาสอนที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ฉันยังต้องพิจารณาให้ดีว่าจะรับคนหรือเปล่า ทั้งรวมถึงนาย พ่อนายเป็นคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นายก็เป็นคนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ฉันถึงได้มอบโอกาสให้นาย นายลองคิดดูเถอะ ในหมู่ขั้นห้านอกจากนายแล้ว ยังมีใครที่ได้รับการปฏิบัติดีกว่านี้อีก?”
ฉินเฟิ่งชิงไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง ถอนหายใจว่า “งั้นครั้งนี้นายเป็นคนออกเงินซื้อน้ำแร่ชีวิต?”
“ได้เหมือนกัน คำนวณแล้วนายก็จะติดฉันสามพันล้าน สวัสดิการของมหาวิทยาลัยทุกปีหลังจากนี้ต้องนำมาเป็นดอกเบี้ย…”
“หา? ไม่ใช่หักล้างหนี้หรือไง?” ฉินเฟิ่งชิงทำหน้างุนงง สรุปแล้วเป็นแค่ดอกเบี้ย?
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “อัตราดอกเบี้ยสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี สามร้อยล้านต่อปี อาจารย์ขั้นห้าอย่างนาย ปีหนึ่งให้หลายร้อยล้าน นายยังไม่พอใจอีก? หนี้ของฉันไม่รีบเอาหรอก รอนายมีความสามารถแล้วค่อยคืนก็ไม่สาย”
ฉินเฟิ่งชิงหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด สุดท้ายจึงกัดฟันว่า “ได้!”
ฟางผิงไม่ชักช้าอีก รีบเขียนสัญญากู้ยืมขึ้นมาหนึ่งฉบับ พร้อมทั้งหยิบแบบเซ็นสัญญาทำงานเป็นอาจารย์อีกหนึ่งฉบับส่งให้ “เซ็นชื่อ กลับไปฉันจะช่วยนายยื่นเรื่องขอซื้อน้ำแร่ชีวิต น้ำแร่ชีวิตรวมกับพลังฟ้าดิน หากนายยังไม่ถึงขั้นห้าตอนกลางอีก นั่นหมายความว่านายเป็นแค่ของไร้ค่าเท่านั้น หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้ยืมเงินฉันอีก มีความสามารถเยอะถึงจะได้กินข้าวอิ่ม ตอนนี้นายใช้คุณสมบัติก่อนหน้าขั้นเจ็ดไปหมดแล้ว ยังไม่มีคุณสมบัติอะไรให้ใช้ได้อีก”
ฉินเฟิ่งชิงปิดปากเงียบ รีบเซ็นชื่ออย่างรวดเร็ว
รอถึงขั้นห้าตอนกลางค่อยว่ากัน ส่วนการฝึกวิชาหลังจากนี้…เวลานั้นน่าจะสามารถเข้าสู่ถ้ำใต้ดินแล้ว เข้าถ้ำใต้ดินได้ไว้ค่อยหาวิธีอีกครั้ง
ฟางผิงไม่พูดมาก โยนแบบเซ็นสัญญาไปไว้อีกด้าน ส่วนสัญญากู้ยืมเก็บไว้ในลิ้นชัก
ฉินเฟิ่งชิงใช้หางตาชำเลืองมอง รอจนเห็นในลิ้นชักเต็มไปด้วยสัญญาหนี้…ก็อดด่าไม่ได้ “ตัวร้ายชัดๆ!”
ตกลงไอ้หมอนี่ปล่อยดอกเบี้ยไปเท่าไหร่แล้ว?
อีกอย่าง…หากเขาคว้าสัญญานั่นไป เจ้าฟางผิงยังจะมาเอากับเขาได้อีกหรือเปล่า?
ฟางผิงยิ้มตาหยี “ดูพูดเข้า ฉันหวังดีถึงให้นายยืมเงินฝึกวิชา ดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงมาก แถมไม่ได้รีบเอาคืน ทำไมกลายเป็นความผิดซะได้? คนนิสัยอย่างนาย นอกจากฉันแล้วยังจะมีใครให้นายยืมอีก? นายลองถามใจตัวเองดู หากฉันไม่ช่วยเหลือนาย อาศัยแค่นายจะมาถึงขั้นห้าเร็วขนาดนี้ได้?”
ฉินเฟิ่งชิงบ่นอุบอิบกับตัวเอง ไม่อาจพูดอะไรได้แล้ว
ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่มักรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบยังไงไม่รู้ ยังไงก็เป็นความรู้สึกนี้แหละ
แบกภาระหนี้สามหมื่นล้าน!
เซ็นสัญญาทำงานฟรีหนึ่งร้อยปี!
ไม่ได้ยุ่งย่ามกับเรื่องน่าปวดใจนี้ต่อ กำชับฟางผิงไม่กี่ประโยคให้รีบเอาน้ำแร่ชีวิตมาให้เขาแล้ว ฉินเฟิ่งชิงเพิ่งคิดจะออกไป จู่ๆ ก็กวาดสายตามองโต๊ะทำงานแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “นายกำลังเขียนอะไร?”
พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยจะจัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ คนอื่นๆ ออกจากด่านก็เริ่มยุ่งทันที
ฟางผิงกลับแล้วใหญ่ ไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องพวกนั้น กลับขังตัวเองไว้ในห้องทำงานขีดเขียนอะไรสักอย่าง
“ไม่เกี่ยวกับนาย”
ฟางผิงเอ่ยอย่างขอไปที ฉินเฟิ่งชิงกลับไม่รีบอีกแล้ว นั่งลงตรงข้ามเขา ครุ่นคิดเล็กน้อย “เรื่องของเจ้าพวกเมืองเจิ้นซิงครั้งก่อน จบลงแบบนี้แล้ว?”
“เรื่องอะไร?”
“การแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มสาวทั่วโลก ช่วงชิงโควต้าเขตหวงห้ามไง”
“การแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์ยังอีกนาน ผ่านไปสักช่วงหนึ่งถึงจะจัดขึ้น อีกอย่างพวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม จะสนใจเรื่องนี้ไปทำไม”
“นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยนายเลย!”
ฉินเฟิ่งชิงสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง เอ่ยอย่างแปลกใจ “ตามหลักแล้วในเมื่อนายรู้ ยังต้องเป่าหูพวกอธิการไปก่อเรื่องวุ่นกับกระทรวงการศึกษาสักหน่อย ฉันคงไม่พูดถึงแล้ว แต่นายอยู่ขั้นหก จะไม่มีความคิดนี้เลย?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันจะคิดเรื่องพวกนี้ไปทำไม? หากฉันอยากไปเขตหวงห้ามจริงๆ ใครยังจะขวางฉันได้? ฉันขุดทะลวงเขาต้านสมุทรก็ข้ามไปได้แล้ว ระวังตัวหน่อยขั้นสุดยอดพวกนั้นอาจจะหาตัวฉันไม่เจอเสมอไป แค่ขี้เกียจจะเข้าไปเท่านั้น เขตหวงห้ามอาจไม่ได้มีผลประโยชน์เท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ความแตกต่างของความสามารถก็ห่างชั้นเกินไป ฉันเพิ่งขั้นหก พวกอธิการก็เพิ่งขั้นแปด ไปล่วงเกินศัตรูในเขตหวงห้าม ยอดฝีมือพวกนั้นไม่ช่วยเราต้าน งั้นก็รอตายเถอะ!”
ตอนนี้ยังดีหน่อย แม้เขตแดนเล็กๆ จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้านไม่ไหว
หากล่วงเกินขั้นสุดยอดเข้า นั่นก็แย่แล้ว
“งั้นเมืองเจิ้นซิงล่ะ?”
ฟางผิงกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วว่า “นายคิดจะทำอะไรอีก? คิดจะปล้นเมืองเจิ้นซิงจริงๆ หรือไง? มีเวลาว่างนักก็เอาไปคุยกับคนของเมืองเจิ้นซิงพวกนั้นดีกว่า ดูสิว่าจะแต่งเป็นเขยตระกูลไหนได้หรือเปล่า ฉันยังมีธุระ ไม่มีเวลาว่างมาฟังนายพูดไร้สาระ”
ฉินเฟิ่งชิงไม่พูดอีก ยืดคอยาวมองว่าฟางผิงเขียนอะไร ก่อนจะสะบัดหัวเล็กน้อย เวียนหัวอยู่บ้าง “นี่นายจะทำอะไร?”
“พรุ่งนี้ต้องใช้ งานเลี้ยงปรมาจารย์ครั้งนี้ แขกเหรื่อมากมาย ผู้มีอิทธิพลจากแวดวงต่างๆ ฉันอยากหารือกับทุกคนสักหน่อย”
“ทำเรื่องที่ไม่คุ้มค่า ประสาท!”
ฉินเฟิ่งชิงรู้สึกว่าฟางผิงไม่ปกติอยู่บ้าง เวลานี้จะสนใจเรื่องยิบย่อยพวกนี้ไปทำไม
ฟางผิงไม่สนใจเขาเหมือนกัน นายจะสนใจทำไมว่าฉันทำอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังว่างจนไม่รู้จะว่างยังไง ถึงขั้นหกแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือปิดผนึกประตูซานเจียว แต่ปิดผนึกไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จในวันสองวัน
อีกอย่างปิดผนึกประตูซานเจียว ตอนนี้เหมือนจะไม่มีวิธีเร่งให้เร็วขึ้น
ตอนนี้ระบบก็ไร้ประโยชน์ สิ่งเดียวที่ฟางผิงสามารถทำได้ก็คือค่อยๆ ปิดผนึกประตูพวกนี้
ทั้งเพราะปราณและพลังจิตใจของเขายังแข็งแกร่งมาก ความยากในการปิดผนึกก็จะสูงขึ้นไปอีก
ปิดผนึกประตูขั้นหก เกรงว่าจะถ่วงรั้งการฝึกวิชาไปช่วงหนึ่งแล้ว
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน จางอวี่ก็เคาะประตูเดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นฉินเฟิ่งชิงอยู่ข้างในก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เอ่ยว่า “อธิการบดีเฉินจากมหาวิทยาลัยจิงหนานพาคนมาแล้ว ฟางผิง นายจะไปต้อนรับสักหน่อยหรือเปล่า?”
“อธิการเฉินมา…”
ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง “ครั้งนี้อธิการเฉินทะลวงถึงขั้นแปด ฉันคิดว่าเขาต้องเข้าด่านอยู่สักพักซะอีก ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยจิงหนานก็เป็นรองอธิการที่ตอบกลับมาแทน ทำไมจู่ๆ ท่านผู้เฒ่าถึงมาได้ล่ะ?”
จางอวี่ส่ายหัวว่า “นั่นฉันก็ไม่รู้แล้ว อธิการเฉินกำลังพูดคุยกับพวกอธิการหวงที่ห้องรับรอง ฉันเลยมาบอกกล่าวเท่านั้น”
เฉินเฮ่าหรานขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยจิงหนาน หลานชายของเฉินเย่าถิง เรื่องเปิดหูเปิดตาแบบนี้ เฉินเย่าถิงต้องพาเขามาด้วยอยู่แล้ว
ฉินเฟิ่งชิงยิ้มตาหยี ลูบหัวล้านตัวเองอย่างคุ้นชิน เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “มาก็ดี…เจ้าหมอนี้ยังติดหนี้ฉันอยู่!”
เขาไม่ได้ลืมเรื่องที่เจ้าหมอนั่นเหยียบหัวตัวเองเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาไปหาเขามาโดยตลอด ตอนนี้เจ้าหมอนั่นมามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นี่เป็นอาณาเขตของเขา
ฟางผิงชำเลืองมองเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ปู่เขาอยู่ขั้นแปดแล้ว”
“แล้วจะยังไง เหล่าเฉินยังจะลงมือกับฉันที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ได้? เรื่องของพวกเด็กๆ เขาสอดมือยุ่ง นั่นก็น่าอายแล้ว!”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ฟางผิงไม่สนใจเช่นกัน นั่นก็พูดยาก
ท่านผู้เฒ่าคนนั้น…เดิมทีก็ไม่สนใจเรื่องหน้าตาอยู่แล้ว
หากจะรังแกนายจริงๆ นายก็ต้องยอมรับไว้
ฟางผิงไม่สนใจฉินเฟิ่งชิง หยัดกายขึ้นว่า “งั้นฉันจะไปดูสักหน่อย ครั้งนี้อธิการเฉินฆ่าแม่ทัพขั้นเจ็ดไปสองคน เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก ตอนแรกยังคิดว่าอีกสักพักค่อยเข้าไปแสดงความยินดี ตอนนี้กลับประหยัดปัญหาเรื่องนี้ได้แล้ว”
ฟางผิงเพิ่งคิดจะออกไป หันกลับมามองฉินเฟิ่งชิงที่ยังไม่ไปไหนแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็กลับมาที่เดิม เก็บสัญญากู้ยืมในลิ้นชักออกมาทั้งหมด
เจ้าหมอนี่ไม่ยอมไป หรือคิดจะขโมยสัญญาพวกนี้ไปเก็บเงิน?
หลังจากนั้นฟางผิงก็ส่งแบบสัญญาทำงานที่อยู่บนโต๊ะให้จางอวี่ “เอาไปให้คณะกรรมการมหาวิทยาลัยลงทะเบียนหน่อย ฉินเฟิ่งชิงเซ็นสัญญาทำงานหนึ่งร้อยปีแล้ว หลังจากนี้มหาวิทยาลัยมีเรื่องอะไรก็โยนให้เขาไปทำได้ มหาวิทยาลัยไม่เลี้ยงคนฟรีๆ อยู่แล้ว”
จางอวี่มองฉินเฟิ่งชิงอย่างตกตะลึง!
เจ๋งจริงๆ!
คนอื่นเซ็นสัญญาทำงานแค่สี่ห้าปี นายเซ็นเป็นร้อยปี?
นี่จะขายร่างกายทั้งชั่วชีวิตเลยหรือไง!
ฉินเฟิ่งชิงถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนขายร่างกายใช้หนี้? ยังไงฉันก็ขายมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ นายขายได้เยอะขนาดนี้หรือเปล่าล่ะ?”
จางอวี่กลั้นขำว่า “พูดแบบนี้…นายคิดว่าเป็นเรื่องที่มีเกียรติงั้นสิ?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย!”
ฉินเฟิ่งชิงด่าออกไป ไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงหัวเราะขึ้นมา จางอวี่…แลมองเขาแวบหนึ่ง ฟางผิงเจ้าหมอนี่เลือดเย็นจริงๆ
—————-
………………..