ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 475 แขกเหรื่อรวมตัว (1)
ตอนที่ 475 แขกเหรื่อรวมตัว (1)
………………..
เฉินอวิ๋นซีไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเฉินเฮ่าหรานนานจนเกินไป ไม่นานก็กลับมายังสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ในห้องทำงาน
ฟางผิงกำลังตรวจสอบรายชื่อแขกกับจางอวี่ เห็นเฉินอวิ๋นซีเดินเข้ามาเริ่มจัดเรียงข้าวของเงียบๆ ก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่เธอให้นานหน่อยล่ะ?”
“ประธานฉินเป็นฝ่ายขออยู่เป็นเพื่อนเขา…”
เฉินอวิ๋นซีพูดได้ครึ่งเดียว ฟางผิงก็สบสายตากับจางอวี่ ผ่านไปสักพัก ทั้งสองคนก็มองไปทางเฉินอวิ๋นซีอย่างแปลกออกไป
นี่เธอขายพี่ชายตัวเองแล้ว?
เธอไม่รู้จักนิสัยของฉินเฟิ่งชิงหรือไง?
ทิ้งพี่ชายตัวเองไว้กับฉินเฟิ่งชิงเนี่ยนะ?
ฉินเฟิ่งชิงไอ้เวรนั่นอยากหาเรื่องเฉินเฮ่าหรานตั้งแต่การแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งที่สองแล้ว นึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายส่งเนื้อเข้าปากเสือ?
เฉินอวิ๋นซีถูกทั้งสองมองจนกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เอ่ยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากประธานฉินก็อัดเขาเท่านั้น ปู่ฉันบอกเหมือนกันว่าพี่ชายขาดแรงกระตุ้น ฉันคิดว่า…คิดว่าเขาถูกอัดสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ถูกอัดต้องมีแรงกระตุ้นอยู่แล้ว
จุดนี้เฉินอวิ๋นซีคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด
ดูมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สิ ทุกคนเติบโตได้เพราะถูกอัดทั้งนั้น ไม่มีความกดดันจะมีแรงกระตุ้นได้ยังไง
ฟางผิงหลุดหัวเราะ เอาเถอะ เธอพูดขนาดนี้แล้ว ปู่เธอคงจะมีแผนนี้อยู่เหมือนกัน งั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว
มองรายชื่อแขกอยู่พักหนึ่ง ฟางผิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ลืมเชิญคนบางส่วนไป”
รายชื่อฉบับนี้ ก่อนหน้านี้เขาเคยดูมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ช่วงนี้เขายุ่งจนหัวหมุน แค่กวาดตาดูคร่าวๆ เท่านั้น
พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงของปรมาจารย์แล้ว ตอนนี้มาดูอีกครั้งเลยพบว่าขาดอะไรไปเล็กน้อย
จางอวี่ได้ฟังก็รีบเอ่ยว่า “เชิญหมดแล้ว ยังขาดใครอีก?”
ฟางผิงเงียบไปสักพัก “ครอบครัวของอาจารย์และนักศึกษาที่ตายในสนามรบพวกนั้น งานเลี้ยงปรมาจารย์คือการอวดผลงาน ถือเป็นเกียรติยศ ไม่ใช่งานเลี้ยงของปรมาจารย์เพียงอย่างเดียว นี่เป็นเกียรติยศของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! ก่อนหน้านี้ไม่ได้ตระหนักถึง ไม่รอบคอบอยู่บ้าง เอาแบบนี้เถอะ ส่งคนไปเชิญด้วยตัวเองหน่อย นอกจากนี้อาจารย์ที่ทุพพลภาพจากเขตเก่าของมหาวิทยาลัย พรุ่งนี้พวกเราไปรับคนด้วยตัวเอง”
ด้านข้างนั้นเฉินอวิ๋นซีเอ่ยเสียงเบาว่า ‘ครอบครัวของนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ จะให้จัดคนมาเป็นตัวแทนเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า?”
เห็นฟางผิงมองมา เฉินอวิ๋นซีก็เอ่ยว่า “จะได้ให้ความรู้สึกว่าทุกคนมีส่วนร่วมด้วย ให้คนในบ้านมาร่วมงานเลี้ยงปรมาจารย์ก็เป็นเรื่องสมควรเหมือนกัน”
จางอวี่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้มีคนเคยเอ่ยถึงเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าครั้งนี้มีคนมาเยอะเกินไปแล้ว ทุกคนเป็นคนกันเอง หลังจากนี้ค่อยฉลองส่วนตัวกันเงียบๆ ก็ไม่สาย…”
ฟางผิงถอนหายใจว่า “เชิญ! เชิญให้หมดเลย! หลายวันนี้ฉันไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้ มองข้ามไป บางเรื่องทำสะเพร่าอยู่บ้างจริงๆ อย่างครอบครัวของอาจารย์ถัง ครอบครัวของพวกปรมาจารย์ ลูกๆ ของพวกคณบดี ครอบครัวของพวกอาจารย์…เชิญมาให้หมด!”
“งั้นพวกนักศึกษาล่ะ?”
“ครอบครัวนักศึกษาดีเด่นเชิญมาได้…”
“ฟางหยวนจะมาเหมือนกันใช่หรือเปล่า?” เฉินอวิ๋นซีดีใจอย่างเห็นได้ชัด
ฟางผิงใบหน้าแข็งทื่อ อดเอ่ยไม่ได้อยู่บ้าง “เธอ…เธอนึกไปถึงฟางหยวน?”
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างกลั้นหัวเราะ “น้องฟางหยวนน่ารักจะตายไป ฉันคิดว่าเธอมาต้องครึกครื้นขึ้นแน่”
ฟางผิงหมดคำจะพูด ไม่เยิ่นเย้อกับเรื่องพวกนี้ต่อ “รัฐบาลกลาง สามหน่วยงาน สี่องค์กร ทำเนียบผู้ว่าแต่ละแห่ง มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั้งเก้าสิบแปดแห่ง โรงเรียนเตรียมทหารสามแห่ง รวมถึงเมืองเจิ้นซิง พวกเราส่งจดหมายเชิญไปแล้ว ยังมีสามบริษัทใหญ่ รวมถึงศิษย์เก่าที่จบไปบางส่วนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แวดวงสำนักก็ส่งไปบางส่วน พวกเราดูสิว่ายังมีพลาดใครไปอีกหรือเปล่า?”
นึกกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย รอพรุ่งนี้เริ่มแล้วคิดได้ นั่นก็สายไปจริงๆ แล้ว
เฉินอวิ๋นซีรีบกวาดมองรายชื่อทันที เอ่ยเสียงเบาว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะได้รับของขวัญเยอะมากๆ ใช่หรือเปล่า?”
คนเยอะขนาดนี้ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลแต่ละแห่ง
เฉินอวิ๋นซีเหมือนจะจับสังเกตถึงความผิดปกติไม่ได้ ฟางผิงมองเธอไปหลายครั้ง อดเอ่ยไม่ได้ “อวิ๋นซี เมื่อก่อนเธอไม่ได้หน้าเลือดถึงขนาดนี้?”
คิดได้ยังไงกัน!
พวกเรากำลังหารือเรื่องแขก เธอมาพูดว่า ‘ของขวัญ’ ต้องเยอะมากๆ นี่เป็นเรื่องที่ควรคิดหรือไง?
เฉินอวิ๋นซีเงยหน้า แววตาเผยความงุนงง อะไรงั้นเหรอ?
ฟางผิงเห็นเธอทำสีหน้าคล้ายไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนก็เอ่ยอย่างไร้เรี่ยงแรงว่า “ไม่มีอะไร”
ผู้หญิงคนนี้อยู่ร่วมกับพวกเขาจนเสียคนแล้ว!
ฉินเฟิ่งชิงไอ้เวรนั่น ครั้งหน้าไม่อนุญาตให้เขาปรากฏตัวที่สมาคมอีกแล้ว
—
ในตอนที่ฟางผิงกำลังบ่นถึงฉินเฟิ่งชิง ฉินเฟิ่งชิงก็ชกหมัดเข้าเบ้าตาเฉินเฮ่าหรานไปแล้ว!
เฉินเฮ่าหรานตาม่วงช้ำขึ้นมาทันที!
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้วว่า “เคล็ดวิชาต่อสู้นายมีปัญหา ช่องโหว่ชัดเจน ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง หัวเป็นตำแหน่งที่พวกเราควรป้องกันมากที่สุด ทั้งเป็นจุดอ่อนที่อันตรายที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง นายถูกฉันทะลวงการป้องกันส่วนหัวได้ง่ายๆ หากเผชิญหน้ากับการต่อสู้จริง คงถูกฆ่าอย่างรวดเร็วแล้ว!”
เฉินเฮ่าหรานขยี้ตาเล็กน้อย ฝืนข่มกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล พยักหน้าว่า “นายพูดไม่ผิด…แต่ว่า…”
เฉินเฮ่าหรานชะงักไป ก่อนจะเอ่ยว่า “นายขั้นห้า ฉันขั้นสี่ ถูกนายทะลวงการป้องกัน ไม่ใช่เรื่องของเคล็ดวิชาต่อสู้ทั้งหมด…”
ฉินเฟิ่งชิงส่ายหัวว่า “งั้นนายก็ผิดแล้ว ฉันแค่ขั้นห้าตอนต้นเหมือนกัน หรือนายทะลวงขั้นสี่สูงสุดเพื่อจะต่อสู้แค่ระดับเดียวกัน? ขึ้นชื่อว่าประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยจิงหนาน อันดับหนึ่งในหมู่นักศึกษา เป้าหมายของนายก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันงั้นเหรอ? หากเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นนายก็มีแต่จะล้าหลังไปจากคนอื่นเรื่อยๆ ไม่ต้องการให้นายสังหารศัตรูข้ามขั้น แต่อย่างน้อยก็ควรทำถึงขั้นไม่ถูกคนอื่นฆ่าตายในชั่วพริบตา”
เฉินเฮ่าหรานเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เอ่ยอย่างหนักแน่น “สหายฉินพูดมีเหตุผล!”
ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะ พุ่งเป้าไปที่ระดับเดียวกันตลอด ถือว่าสายตาตื้นเขินอยู่บ้างจริงๆ
เมื่อก่อนตัวเองอัดคน…ปกติต้องถูกล้างแค้นแล้ว
ตอนนี้ดูท่าอัดเฉินเฮ่าหราน เจ้าหมอนี้ยังต้องขอบคุณเขาที่ชี้แนะตัวเองด้วยซ้ำ!
ฉินเฟิ่งชิงคิดทบทวนกับตัวเองพักหนึ่ง บางเรื่องยังต้องศึกษาให้มากขึ้น นึกมาถึงตรงนี้ ฉินเฟิ่งชิงก็ถูหมัด หัวเราะว่า “ไม่ต้องเกรงใจ สหายเฉิน งั้นพวกเรามาต่อกัน รอนายสามารถป้องกันหมัดของฉันได้แล้ว การแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้ก็มีความหมายแล้ว”
“งั้นก็ต่อกันเถอะ!”
เฉินเฮ่าหรานถอนหายใจ ต่อเถอะ ช่วงเวลาฝึกวิชาทนลำบากหน่อย ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายถึงจะมีโอกาสรอดขึ้นมา
—
ในระหว่างที่ฉินเฟิ่งชิงอัดเฉินเฮ่าหรานอย่างบ้าคลั่ง ฟางผิงก็ทำรายชื่อแขกออกมาเสร็จแล้วเช่นกัน
ทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อย สุดท้ายฟางผิงก็มองทางจางอวี่ เงียบไปพักหนึ่ง “พรุ่งนี้นักศึกษาขั้นสามและสูงกว่าขั้นสามให้มารวมตัวกันทั้งหมด ต้อนรับแขกที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย! ต้องให้แต่ละแวดวงรู้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของพวกเราไม่ได้จัดงานเลี้ยงเพื่อปรมาจารย์เพียงอย่างเดียว เดิมทีมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก็ยังขึ้นอยู่กับนักศึกษา!”
“ไปทั้งหมดงั้นเหรอ?”
จางอวี่ตกใจอยู่บ้าง ฟางผิงพยักหน้า
จางอวี่ฟังจบก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “ตอนนี้นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ขั้นหกหนึ่งคน ขั้นห้าสามคน ขั้นสี่สี่สิบแปดคน ขั้นสาม…สี่ร้อยสิบสองคน ต้องไปทั้งหมดจริงๆ เหรอ?”
ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว เวลานี้เพิ่งรู้ว่ามีคนทะลวงขั้นสามเยอะถึงขนาดนี้!
“ขั้นสามสี่ร้อยกว่าคน?”
จางอวี่พยักหน้าว่า “อืม สี่ร้อยกว่าคน แถมยังเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด!”
“เยอะขนาดนี้เลย?”
ฟางผิงนวดขมับเล็กน้อย ช่วงนี้คนทะลวงด่านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขายังคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
จางอวี่เผยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “ปลายเดือนสิงหาคมปีก่อน ตอนที่พวกเรารับช่วงต่อกัน ขั้นสี่มีเก้าคน ขั้นสามห้าสิบเอ็ดคน…ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ฟางผิง…อันที่จริงนายเหมาะจะเป็นผู้นำของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ที่สุดแล้ว”
ฟางผิงส่ายหน้า ไม่มีความคิดจะอวดตัว เอ่ยออกไปว่า “อันที่จริงไม่ได้เกี่ยวกับฉันมาก การปะทุของมหาวิทยาลัยเป็นการสั่งสมมาตลอดหกสิบปีนี้ต่างหาก คนที่นำพามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มาถึงตอนนี้อย่างแท้จริงคืออธิการคนก่อน ผู้อาวุโสพวกนั้นของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ นายน่าจะไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สะสมทรัพยากรไว้เพื่อเตรียมความพร้อมในวันนี้เท่าไหร่ พวกผู้อาวุโสกินใช้อย่างประหยัด บาดเจ็บไม่ยอมรักษา ยาบำรุงเม็ดเดียวยังแบ่งครึ่งใช้ ไม่ใช่พวกเขาใช้ไม่ได้ แต่อยากทิ้งไว้ให้พวกเรา คนพวกนี้ถึงจะเป็นจิตวิญญาณและเจตจำนงค์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”
พูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ฟางผิงก็เอ่ยต่อ “ถึงคนจะเยอะก็เหมือนเดิม พรุ่งเช้าหกโมง รวมตัวที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย! แต่งเครื่องแบบหนึ่งเดียวกัน ทำจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า อย่าให้คนนอกดูแคลนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของพวกเรา ยิ่งเป็นช่วงเวลานี้ยิ่งต้องแสดงความสามารถของพวกเราออกไป สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้น ความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีอำนาจในการพูดก็ยิ่งถูกให้ความสำคัญ ผู้อ่อนแอไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเรื่องพวกนี้ พวกนายน่าจะรู้ความหมายของฉัน ยิ่งมาถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงหลักการปลาใหญ่กินปลาเล็กอย่างชัดเจน”
จางอวี่พยักหน้า ตอนนี้เขาถึงขั้นห้าแล้ว แม้จะเพิ่งทะลวงด่านได้ไม่กี่วัน แต่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใจหลักการภายในมากเท่านั้น
สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย ยิ่งวิกฤตยังไง ผู้แข็งแกร่งก็จะมีอำนาจในการพูดมากกว่าอยู่ดี
ครั้งนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ อันที่จริงถือเป็นการแย่งชิงอำนาจในการพูดเหมือนกัน
แม้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะไม่มีขั้นเก้า ไม่มีขั้นเก้าขั้นสุดยอด แต่ยอดฝีมือระดับล่างและระดับกลางเยอะขนาดนี้ ทั้งยังอายุน้อยกัน นั่นก็มีสิทธิ์มากกว่าแล้ว
—
วันที่ 1 เมษายน เมืองเซี่ยงไฮ้เริ่มคึกคักขึ้นมา
ทุกคนทยอยมาถึงเซี่ยงไฮ้ ผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายมารวมตัวกัน
กระทั่งคนทั่วไปในสังคมยังรู้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะจัดงานเลี้ยงปรมาจารย์ หลายคนต่างเริ่มถกประเด็นนี้ขึ้นมา
——————-
………………..