ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 483 ถึงเทียนหนาน (1)
ตอนที่ 483 ถึงเทียนหนาน (1)
………………..
วันที่ 25 เมษายน
เทียนหนาน
สนามบินนานาชาติเทียนหนาน
ตอนที่ฟางผิงเดินออกมาจากสนามบินด้วยชุดฝึกพร้อมดาบคาดเอว รอบๆ ก็เกิดเสียงดังวุ่นวายไปทั่ว!
“นั่นคือฟางผิง!”
“ฟางผิงจากมหาวิทยาลัยยเซี่ยงไฮ้ นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่ง ยอดฝีมือขั้นหก!”
“ยังเด็กอยู่เลย!”
“หล่อจริงๆ!”
“…”
พนักงานของสนามบิน รวมถึงนักท่องเที่ยวบางส่วน พอเห็นฟางผิงก็พากันหวีดร้องขึ้นมา
ฟางผิงเผยรอยยิ้ม พยักหน้าให้ผู้คนรอบสารทิศ
ข้างหลัง…ฉินเฟิ่งชิงอิจฉาอยู่บ้าง
แม่งเหอะ เก๊กหล่ออีกแล้ว!
ไอ้สารเลวนี้จะลงถ้ำใต้ดินหรือมาเสแสร้งกันแน่?
จากเซี่ยงไฮ้ถึงเทียนหนานค่อนข้างไกล ผู้ฝึกยุทธ์ทะยานในอากาศ นั่นเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก ขับรถก็ต้องทั้งวันทั้งคืน
นั่งเครื่องบินย่อมเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด
ฟางผิงเพิ่งจะดึงดูดให้เกิดความเคลื่อนไหว ไม่นานก็มีคนหวีดร้องอีกครั้ง “นั่นคือหวังจินหยาง!”
“เท่จัง!”
“คนพวกนี้มาเทียนหนานทำไมกัน?”
“รีบไปดูเถอะ นั่นเหมือนจะเป็นหลี่หานซงจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง!”
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย เขาก็มาเหมือนกัน!”
“…”
เสียงหวีดร้องดังขึ้นเป็นพักๆ การมาถึงของผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะทำให้ทั่วทั้งสนามบินเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
ฉินเฟิ่งชิงเสียใจอยู่เงียบๆ ไม่มีใครจำฉันได้เลยหรือไง น่าเศร้าอะไรอย่างนี้
แม้จะโกนหัวล้าน สะดุดตาถึงขนาดนี้ก็ยังไม่มีใครตระหนักถึงเขาได้ ทำให้คนปวดใจจริงๆ
ฟางผิงไม่มีเวลาสนใจเขา หันไปมองหวังจินหยางและหลี่หานซงที่เดินมาจากที่ไกลๆ นั้น ทุกคนนัดแล้วว่าวันนี้จะมาถึงพร้อมกัน เวลาเที่ยวบินก็ไล่เลี่ยกัน ปรากฏตัวขึ้นที่สนามบินในเวลาเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
รออยู่สักพัก หวังจินหยางก็เดินเข้ามา ไม่ได้รีบพูดอะไร รอหลี่หานซงมาถึงแล้ว หวังจินหยางค่อยเอ่ยว่า “นายมาได้ยังไง?”
หลี่หานซงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นสหายกัน อาจารย์ของนายก็เป็นอาจารย์ของฉัน ฉันต้องช่วยนายหาอยู่แล้ว!”
หวังจินหยางคลี่ยิ้มว่า “อันตรายไม่ใช่เล่น”
“ไม่เป็นไร พวกเราก็มีกันแค่นี้ ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังไม่ใช่คนอ่อนแอ!”
หลี่หานซงทำหน้ามั่นใจ ฟางผิงกวาดสายตามองเขา จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หัวเหล็ก ใกล้จะขั้นหกแล้วสินะ?”
หลี่หานซงยิ้มเผล่ว่า “ดูออกด้วย? ขาดแค่อีกนิดเท่านั้น หาตำแหน่งประตูซานเจียวได้แล้ว ตอนนี้แค่รอให้ปรากฏ อีกอย่างเทียบกับก่อนหน้านี้ฉันยังแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว!”
“ดูออกสิ กระดูก…เหมือนจะฟื้นตัวขึ้นอยู่บ้าง”
“สายตาดีจริงๆ!”
หลี่หานซงหัวเราะ ผ่านไปสักพัก ราวกับเพิ่งตระหนักถึงฉินเฟิ่งชิงได้ เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “นายมาได้ยังไง?”
ฉินเฟิ่งชิงหน้าดำคล้ำจนดูไม่ได้!
สรุปแล้วนายเพิ่งจะเห็นฉัน?
ฉันยืนหัวโด่อยู่ที่นี่ตั้งนาน เพิ่งจะเห็นฉันเนี่ยนะ?
นายน่ะสิมาได้ยังไงถึงจะถูก!
คนพวกนี้ตอนที่พูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าทิ้งเขาไว้ข้างหลัง พวกเขาเพิ่งจะเจอกันไม่กี่ครั้ง กลับทำเหมือนเป็นสหายมาทั้งชั่วชีวิต พวกนายไปสนิทสนมกันตอนไหนเถอะ?
ฉินเฟิ่งชิงไม่อาจเข้าใจอยู่บ้าง!
ฉินเฟิ่งชิงปิดปากเงียบ ฟางผิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องสนใจเขา ไปเถอะ ยังต้องนั่งรถไปเขาชิงหมางอีก ตอนนี้ทางนั้นน่าจะอพยพกันหมดแล้วสินะ?”
ปากทางเข้าถ้ำใต้ดินเทียนหนานอยู่ในแถบเขาชิงหมาง
อพยพทั้งมณฑลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไหร่
แต่ครั้งนี้เทียนหนานยังก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นมา หนึ่งอำเภอสองเมืองใกล้ๆ กับเขาชิงหมาง ประชาชนทั้งหมดอพยพออกมาแล้ว นี่ถือเป็นขั้นตอนใหญ่อย่างหนึ่งเช่นกัน
ตอนนี้รอบๆ เขาชิงหมางออกได้เข้าไม่ได้
แต่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกฟางผิง เข้าไปไม่เป็นอะไร แม้จะบอกว่าไม่ได้เรียกตัวผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง แต่หากผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางจะไปจริงๆ ก็ต้องทำตามแผนที่กำหนดถึงจะอยู่ต่อได้
หวังจินหยางและหลี่หานซงต่างไม่สนใจฉินเฟิ่งชิงอีก หวังจินหยางเดินไปพลางเอ่ยว่า “คนทั่วไปอพยพออกมาแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนยังอยู่รักษาความสงบเรียบร้อย น่าจะอุบัติในสองสามวันนี้แหละ”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ใช่สิ เจ้าสาวเด็กนั่นของนายรู้ว่านายมาหรือเปล่า?”
หวังจินหยางใบหน้าแข็งทื่อขึ้นมา หันไปมองฟางผิง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ปากของนายนี้ บางครั้งก็ทำให้คนอยากฉีกเป็นชิ้นๆ!”
ฉินเฟิ่งชิงยิ้มตาหยีว่า “ฉีกเลย พูดแต่ไม่ทำนับว่ามีความสามารถอะไร!”
หวังจินหยางไม่สนใจเขา เดินไปก็เอ่ยไปด้วย “เขาจะตามพวกเราไปด้วยงั้นเหรอ? ฝีมือเขาค่อนข้างอ่อนแอ จะถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเราเปล่าๆ”
ฉินเฟิ่งชิงโมโหอยู่บ้าง กัดฟันว่า “ฉันไม่มีชื่อหรือไง? ยืนอยู่ข้างๆ นาย เอาแต่เรียกเขาๆๆๆ หมายความว่าไง!”
พูดจบ ฉินเฟิ่งชิงก็ทำหน้าอวดดี “ฉันขั้นห้าตอนกลางแล้วเหมือนกัน ระดับเดียวกับนาย นายจะทระนงตัวไปเพื่ออะไร!”
ฉินเฟิ่งชิงหน้าเขียวคล้ำ!
ถูกทิ้งอยู่ท้ายแถวอีกแล้ว!
ถูกลากระยะห่างอีกแล้ว!
ทุกครั้งที่เขาคิดว่าทุกคนอยู่ระยะไม่ไกลจากเขาแล้ว เขาแทบจะพบว่าตัวเองคิดเพ้อฝันไป
ครั้งนี้เพื่อถึงขั้นห้าตอนกลาง เขายังเซ็นสัญญาขายตัวเองถึงหนึ่งร้อยปี
ผลปรากฏว่าหวังจินหยางทะลวงขั้นห้าตอนปลายแล้ว!
ฉินเฟิ่งชิงเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวด ส่งเสียงว่า “เหยาเฉิงจวินล่ะ?”
ฟางผิงยังไม่ทันเอ่ยปาก หลี่หานซงก็เอ่ยว่า “เหล่าเหยาเหมือนพลังจิตใจใกล้ปรากฏแล้ว ครั้งนี้เข้าด่านไม่ได้ออกมา แต่ว่า…หากเจ้าหมอนี้ปรากฏพลังจิตใจ ฟางผิงอาจไม่แข็งแกร่งกว่าเขาเสมอไป”
ระหว่างที่พูด หลี่หานซงก็เอ่ยอย่างอิจฉาอยู่บ้าง “นายคิดว่าฉันแข็งแกร่งพอแล้ว มีกระดูกทองดีจะตายไปสินะ แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าพลังจิตใจแข็งแกร่งนั้นเจ๋งกว่า เขาเพิ่งจะขั้นห้าก็เกือบปรากฏได้แล้ว!”
“จะปรากฏแล้วงั้นเหรอ?”
ฟางผิงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เร็วมากจริงๆ
อันที่จริงความก้าวหน้าของคนพวกนี้ต่างเร็วอยู่บ้าง ครั้งก่อนที่งานเลี้ยงปรมาจารย์จบไป พวกเขายังไม่ถึงขั้นนี้เลย
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันก็เดินมาถึงนอกสนามบินแล้ว
พอมาถึงข้างนอกก็เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
พวกผู้ฝึกยุทธ์อัจฉิรยะปรากฏตัวพร้อมกัน สำหรับคนทั่วไปนับว่ายากที่จะได้พบ
พวกฟางผิงไม่ได้เข้าไปใกล้คนพวกนี้แต่อย่างใด มองไปรอบๆ แล้ว ฟางผิงก็พยักหน้าไปทางไกลๆ สาวเท้าเข้าไปทางนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เพื่อนตอนมอปลายของฉัน พี่หวังจำได้หรือเปล่า?”
“หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉี?”
หวังจินหยางความจำดีไม่น้อย จำสองคนนี้ได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยว่า “พวกเขายังไม่อพยพไปงั้นเหรอ?”
แม้จะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ แต่ฝีมืออ่อนแอเกินไป รั้งตัวอยู่ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่
สองคนนี้ต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด ปีสองยังไม่สิ้นสุด มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปมาถึงจุดนี้ได้ นับว่าไม่เลวแล้วเหมือนกัน
แต่ในเวลานี้อ่อนแออยู่บ้างจริงๆ
ฟางผิงอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ลองถามดูแล้ว ตอนนี้นักศึกษามหาวิทยาลัยเทียนหนานให้อยู่รักษาความสงบแถวเขาชิงหมางก่อน น่าจะรออพยพเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยถือโอกาสให้พวกเขามารับหน่อย ฉันไม่อยากลอยเข้าไป”
หวังจินหยางไม่พูดอีก ฉินเฟิ่งชิงกลับเบะปากว่า “เพื่อนร่วมชั้นนายเพิ่งจะขั้นหนึ่ง…นายแม่งขั้นหกแล้ว ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!”
นี่ถึงจะเป็นคนปกติเถอะ!
ปีสองขั้นหนึ่งสูงสุด นี่เรียกว่าคนทั่วไป
ฟางผิงอยู่ขั้นสองขั้นสามก็ดีมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะขั้นหก ไร้เหตุผลสิ้นดี
—
พวกเขารีบขึ้นรถกัน
หยางเจี้ยนเห็นพวกหวังจินและหลี่หานซง ยังคงตื้นเต้นอยู่บ้าง
กระทั่งเห็นฉินเฟิ่งชิงที่มาด้วยยังทักทายอย่างตื่นเต้นว่า “สวัสดีรุ่นพี่ฉิน!”
เวลานี้ฉินเฟิ่งชิงค่อยรู้สึกดีขึ้นมา ดูสิ ฉันก็ไม่ได้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ยังมีคนรู้จักฉันอยู่!
ฉินเฟิ่งชิงแทบไม่มีตัวตนต่อหน้าพวกฟางผิง จึงนั่งข้างคนขับให้รู้แล้วรู้รอดไป คุยเป็นเพื่อนหยางเจี้ยน
ฟางผิงกลับไม่สนใจพวกเขา มองหลิวรั่วฉีไปแวบหนึ่ง หัวเราะว่า “รั่วฉีนับวันก็สวยขึ้นเรื่อยๆ หยางเจี้ยงเจ้าทึ่มนี้ ยังจีบเธอไม่ติดงั้นเหรอ?”
หลิวรั่วฉีหัวเราะไม่ได้พูดอะไร หยางเจี้ยนที่ขับรถยิ้มแหยๆ ว่า “ฉันไม่ไหว รั่วฉีสเปกสูงจะตายไป รุ่นพี่หลายคนของมหาวิทยาลัยเทียนหนานตามจีบรั่วฉียังไม่สำเร็จกันสักคน”
ฉินเฟิ่งชิงได้ฟังก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเพราะพวกนายใช้วิธีเดิมๆ น่ะสิ ผู้หญิงนั้นอัดสักครั้ง นั่นถึงจะพูดง่ายแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์หญิงต้องถูกอัดสักหน่อย นายดูฉัน แล้วดูฟางผิงอีกที ผู้หญิงที่เคยเอาชนะพวกนั้นเป็นฝ่ายส่งตัวเองถึงหน้าประตู นายเสาไฟ ฉันว่านายตัวสูงไม่น้อย กลับใจไม่กล้าพอซะงั้น อยากจีบเธอ นั่นก็ต้องอัดเธอ!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ในรถก็ตกสู่ความเงียบทันที
หวังจินหยางปิดหูปิดตาไม่ฟังให้จบๆ ไป หลี่หานซงเผยสีหน้าจนใจเช่นกัน เจ้าโง่นี้จะหาแฟนได้จริงๆ งั้นเหรอ?
หยางเจี้ยงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะรับบทสนทนายังไง
หลิวรั่วฉีกลับไม่ได้เคอะเขิน ถือโอกาสเปลี่ยนประเด็นว่า “ฟางผิง ครั้งนี้พวกนายมาที่นี่…เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาชิงหมางถูกปิดหรือเปล่า?”
“อืม”
“ถ้ำใต้ดิน?”
จู่ๆ หลิวรั่วฉีก็ถามออกมา ฟางผิงหันไปมองแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เธอรู้เรื่องนี้แล้ว?”
————–
………………..