ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 484 ถ้ำใต้ดินเทียนหนานอุบัติ (1)
ตอนที่ 484 ถ้ำใต้ดินเทียนหนานอุบัติ (1)
………………..
วันที่ 26 เดือนเมษายน
ภายในเขาชิงหมาง
ตอนนี้ทางเข้าถ้ำใต้ดินใจกลางหุบเขาถูกขุดออกมาโดยตรง
สี่ทิศทางรอบหุบเขามีป้อมปืนนับไม่ถ้วนตั้งขึ้นรอแล้ว
ห่างออกไปรอบนอก อุปกรณ์ทางทหารสมัยใหม่เตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
“หากถูกคนบุกออกมาจริงๆ…เขาชิงหมางคงไม่อาจฟื้นฟูได้”
ถังเฟิงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย “แต่ถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเราต้านไม่อยู่…นั่นแสดงว่าไม่ได้มีแค่ขั้นเก้าคนเดียวแล้ว อันที่จริงก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมาย”
อาวุธเทคโนโลยีสมัยใหม่ของทหารจัดการกับยอดฝีมือต่ำกว่าขั้นเจ็ดบางส่วนไม่ใช่เรื่องยาก
อันที่จริงโจมตียอดฝีมือขั้นเจ็ดบางส่วนก็มีหวังเหมือนกัน
ทางหน่วยทหาร ถึงกระทั่งมีปืนใหญ่ยิงหินพลังงาน อานุภาพแข็งแกร่งไร้เทียบเทียม ปืนหินพลังงานรวมกันยิง จัดการขั้นเจ็ดพวกนั้นไม่ใช่ปัญหา
แต่ถึงขั้นแปดแล้ว…ของพวกนี้แทบไม่มีประโยชน์อะไร
ร่างทองขั้นแปดเรียกได้ว่าไม่ตายไม่ดับสูญ
แม้ขั้นแปดจะตายได้ แต่มีแค่ต้องถูกผู้ที่แข็งแกร่งฆ่า ไม่ก็ถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลายจุดสำคัญ แต่มีคนโง่เท่านั้นที่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่งั้นอาวุธยังไม่ทันพุ่งมาถึง คนก็แทบมองไม่เห็นเงาแล้ว
ความร้อนของระเบิดนิวเคลียร์เพียงพอจะทำลายสสารไม่แตกดับทั้งหมด
ประเด็นยังอยู่ที่ได้เปรียบเรื่องความคล่องตัว โจมตีไม่โดน
พลังทำลายล้างแค่ฉิวเฉียดไม่สามารถฆ่าขั้นแปดพวกนี้ได้เสมอไป
ฟางผิงไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ กลับมองไปรอบๆ เอ่ยอย่างตะลึงว่า “ปรมาจารย์เต็มไปหมด ผมเห็นเกือบแปดสิบคน ขั้นเก้ายังมีตั้งห้าหกคน!”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ถัง คุณเพิ่งขั้นเจ็ดตอนต้นคงไม่อยู่แถวหน้าสุดหรอกนะครับ?”
หากจะพูดถึงอันตราย คนที่อยู่แถวหน้าพวกนี้ต้องอันตรายกว่าอยู่แล้ว
ถังเฟิงส่ายหน้า เอ่ยว่า “ทางมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อธิการอยู่หน้าสุด พวกเราตามอยู่ข้างหลัง”
เขาเอ่ยเสริมต่อว่า “ยอดฝีมือขั้นเก้าครั้งนี้มาทั้งหมดสิบสองคน!”
“เยอะขนาดนี้เลย?”
ฟางผิงทำหน้าตกตะลึง ขั้นเก้าสิบสองคน เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ…ไม่สิ ขั้นเก้าที่รู้จักยังไม่เยอะขนาดนั้นเลย
ตอนนี้ยอดฝีมือขั้นเก้าที่เขารู้จัก นับแล้วก็มีอู๋ชวน จ้าวซิ่งอู่ หนานอวิ๋นเยวี่ย จางเว่ยอวี่ ผู้เฒ่าฟ่านพวกนี้
ฟางผิงเห็นหนานอวิ๋นเยวี่ย ทั้งเห็นจางเว่ยอวี่ด้วยเช่นกัน อู๋ชวนที่มักจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง ครั้งนี้กลับไม่อยู่
จางเว่ยอวี่อยู่ที่นี่เป็นเรื่องปกติ เขาเป็นผู้บังคับกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางตะวันตก
ทั้งถ้ำใต้ดินเทียนหนานอยู่ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ อยู่ภายในขอบเขตรับผิดชอบของเขา
ตอนนี้คนพวกนี้ต่างรักษาการณ์อยู่รอบทิศทางในหุบเขาไม่ได้ออกไปไหน
ถังเฟิงเอ่ยแนะนำฟางผิงเสียงเบาว่า “ชายกลางคนหน้าเหลี่ยมทางเหนือคนนั้นเห็นหรือเปล่า?”
“ครับ”
“ยอดฝีมือขั้นสุดยอดจากรัฐบาลกลาง ปรมาจารย์หวังอวี่ขั้นเก้า ถูกจัดในอันดับที่สิบของประเทศจีน”
“เขา? คนที่อยู่อันดับหลังผู้บังคับการอู๋?”
ฟางผิงรีบเปิดม่านพลังจิตใจขึ้นมา กระซิบว่า “เหล่าอู๋อ่อนแอขนาดนั้นเลย ทำไมรัฐบาลกลางถึงให้ปรมาจารย์ใหญ่คนนี้มาล่ะครับ?”
ถังเฟิงแทบจะหน้าดำเป็นก้นหม้อ!
แม่งเหอะ เธอคิดว่าตัวเองอยู่ขั้นไหนกัน?
เขาอยู่อันดับสิบของขั้นเก้า เธอรังเกียจที่เขาอ่อนแอ?
ไม่สิ กระทั่งอู๋ชวนยังถูกบอกว่าอ่อนแอ!
ถังเฟิงกัดฟันแน่น กดเสียงว่า “อย่าพูดเหลวไหล ปรมาจารย์ใหญ่หวังอวี่ไม่ได้อ่อนแอ หนึ่งหอกทลายฟ้า ในขั้นหกก็ได้ฉายาราชาหอกทางเหนือ”
ฟางผิงกระซิบว่า “หรือยังมีราชาหอกทางใต้อีก?”
“มี แต่ครั้งนี้ไม่ได้มา”
ระหว่างที่ถังเฟิงพูดก็ชี้เป็นนัย “คนที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ข้างบนปรมาจารย์หวังอวี่คนนั้นคือราชามังกรหลินหลง เป็นปรมาจารย์ใหญ่จากรัฐบาลกลางเหมือนกัน”
ฟางผิงพยักหน้า รับบทสนทนาว่า “คนนี้ผมเหมือนเคยเห็นข้อมูลมาก่อน ถูกจัดในอันดับที่สิบเจ็ดของขั้นเก้า”
“อืม เขานั่นแหละ” ถังเฟิงเอ่ยต่อ “คนผมยาวสีขาวทางตะวันตกคนนั้น…”
ฟางผิงรีบเอ่ยว่า “เคยเห็นในรูป ราชาขวานสิงไคเหวิน อันดับยี่สิบเอ็ดของขั้นเก้า ได้ยินว่าตอนที่ยังหนุ่มใช้กระบี่ หลังจากนั้นถูกคนซ้อมจนย่อยยับจึงเปลี่ยนมาใช้ขวาน…”
ถังเฟิงกระแอมไอเบาๆ กดเสียงว่า “อย่าพูดมั่วซั่ว…เป็นฝีมือผู้บังคับการอู๋”
“หา?”
“ตอนที่ผู้บังคับการอู๋ยังหนุ่ม ก็…ก็ค่อนข้างเหิมเกริมเหมือนกัน อธิการคนก่อนเป็นยอดฝีมือกระบี่ เวลานั้นราชาขวานเรียกตัวเองว่าเป็นราชากระบี่…ยังไงก็แค่พูดไปอย่างนั้น ผลปรากฏว่าผู้บังคับการอู๋ไม่ค่อยพอใจ…ประลองความรู้กับเขาหลายครั้ง ค่อยๆ บีบให้เขาเปลี่ยนมาใช้ขวานแทน”
“แค่กๆๆ…”
ฟางผิงกลั้นหัวเราะ “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย? คิดไม่ถึงจริงๆ”
“เรื่องที่เธอไม่รู้ยังมีอีกเยอะ” ถังเฟิงหัวเราะเช่นกัน “จริงสิ ที่นี่ยังมียอดฝีมืออีกคนที่ใช้กระบี่ ใส่ชุดทหารทางตะวันออกคนนั้น รู้จักหรือเปล่า?”
ฟางผิงจ้องมองอยู่สักพัก ผลปรากฏว่าเหมือนจะถูกจับได้ ชายกลางคนสีหน้าเยือกเย็นคนนั้นมองมาทางเขาแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย ยังนับว่าเป็นมิตร
ถังเฟิงและฟางผิงรีบพยักหน้าตอบ ฟางผิงกระซิบว่า “ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ ดูจากชุดแล้วไม่ต่างจากผู้บัญชาการโจว เป็นรองผู้บัญชาหน่วยทหารเหรอครับ?”
“ใช่ รองผู้บัญชาการอันดับสองของหน่วยทหาร…”
ฟางผิงกระจ่างขึ้นมาทันที “จำได้แล้ว ปรมาจารย์ใหญ่หลี่เต๋อหย่ง ตาเฒ่าหลี่เคยเอ่ยถึงครั้งหนึ่ง พอจะนับได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของผู้บัญชาหลี่ มีความสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆ กับตาเฒ่าหลี่…”
ขี้เกียจจะยุ่งย่ามกับเขา ถังเฟิงอธิบายว่า “ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เดิมทีแซ่หลี่ก็ใช้อย่างแพร่หลาย แต่ตาเฒ่า…คณบดีหลี่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ในครั้งนี้เขาเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของหน่วยทหาร”
ฟางผิงพยักหน้า ปรมาจารย์ใหญ่ขั้นเก้า ครั้งนี้ตัวเองกลับรู้จักไม่น้อย
ผู้อำนวยการสามหน่วยมาหนึ่งคน
ผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทั้งสี่มาหนึ่งคน
ปรมาจารย์ใหญ่ของรัฐบาลกลาง ปรมาจารย์หน่วยทหาร ปรมาจารย์พลเรือน…บอกว่าพลเรือน ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำก็ห้อยตำแหน่งในรัฐบาลอยู่ดี
ครุ่นคิดพักหนึ่ง ฟางผิงก็เอ่ยอย่างหมดคำพูดอยู่บ้าง “นึกไม่ถึงว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะไม่มีขั้นเก้าเลย…”
“กระทรวงการศึกษามี มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ขั้นเจ็ดขั้นแปดกลับมีอยู่บ้าง ขั้นเก้าไม่เยอะจริงๆ แต่หากจะพูดลงลึก ราชามังกรหลินหลง ผู้บังคับกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้นับว่าเป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน ราชามังกรจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่ง ผู้บังคับการอู๋จบจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้…นี่ถือเป็นศิษยเก่าที่โดดเด่นที่สุดของสองมหาวิทยาลัยชื่อดังในตอนนี้ คนอื่นๆ…อันที่จริงอายุอานามไม่น้อยกันแล้ว บางส่วนมาจากสำนัก…”
“สำนัก?” ฟางผิงเอ่ยอย่างตกใจ “มาจากสำนัก? สำนักไม่ได้มีขั้นเก้าแค่เจ้าสำนักจ้าวคนเดียวเหรอครับ?”
“ฉันหมายถึงฐานะเมื่อก่อนของพวกเขา ก่อนที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สำนักเป็นสถานที่เดียวที่ประชาชนจะได้รับความรู้ในเส้นทางฝึกยุทธ์ได้ ในหมู่คนพวกนี้ บางคนมีพื้นฐานวรยุทธ์ก็คือเรียนมาจากสำนัก แค่ภายหลังออกมาจากสำนักเท่านั้น”
ถังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เธอคิดว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก่อตั้งในช่วงแรก ยอดฝีมือและอาจารย์พวกนั้นมาจากไหนล่ะ? รัฐบาลบ่มเพาะส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ดึงมาจากสำนักพวกนี้ แม้แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ตอนที่ก่อตั้งใหม่ๆ ก็เคยรับอาจารย์บางส่วนจากสำนักเหมือนกัน อันที่จริงอาจารย์ของฉันก็มาจากแวดวงสำนัก”
“แบบนี้นี่เอง!”
ฟางผิงเข้าใจขึ้นมาทันที ถามว่า “อาจารย์ มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีศิษย์เก่าขั้นเก้าแค่คนเดียวเหรอครับ?”
“ไม่ใช่…แต่ตายในสนามรบแล้ว”
ถังเฟิงถอนหายใจเบาๆ “”สงครามถ้ำใต้ดินปักกิ่งในเวลานั้น มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีอาจารย์ตายในสนามรบหลายคน รวมถึงยอดฝีมือขั้นเก้า เทียบกับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง พื้นฐานของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังคงสู้ไม่ได้
เฉินเย่าถิง ซูจ่าน รวมถึงปรรมาจารย์ที่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงบางส่วน
เขายังเห็นหลี่โม่ด้วย!
ทั้งคนที่มากับหลี่โม่ยังมีปรมาจารย์อีกหลายคน ฟางผิงกวาดสายตามอง เจ็ดแปดคน!
ปรมาจารย์เมืองเจิ้นซิง!
เห็นฟางผิงมองไปทางเมืองเจิ้นซิง ถังเฟิงเอ่ยต่อว่า “เมืองเจิ้นซิงมีปรมาจารย์ขั้นเก้ามาหนึ่งคนเหมือนกัน ปรมาจารย์หยางเต้าหง”
“คนของตระกูลหยาง? ทายาทรุ่นหลังของปรมาจารย์ขั้นสุดยอดที่ตายคนนั้น?”
“น่าจะใช่”
ฟางผิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด “จากคำพูดของนายอ้วนเจี่ยง เมืองเจิ้นซิงมีสิบสามตระกูล ไม่ได้มีปรมาจารย์ใหญ่ขั้นเก้าทุกตระกูล แม้จะมี แต่หนึ่งตระกูลหนึ่งคนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว พูดแบบนี้…นี่คือส่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหยางมาแล้ว?”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางสิ้นชีพ ตอนนี้กระทั่งขั้นเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดยังมา เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก
ระหว่างที่พูดคุยกัน หลู่เฟิ่งโหรวก็ทะยานเข้ามา ตะโกนว่า “พวกเธอถอยไปก่อน!”
ฟางผิงละล่ำละลักว่า “จะอุบัติแล้วเหรอครับ?”
“ใกล้แล้ว ภายในไม่กี่ชั่วโมงนี่แหละ!”
ตอนนี้ปรมาจารย์ใหญ่ขั้นเก้านอกทางเดินพวกนั้นพูดคุยกันขึ้นมาเช่นกัน
ฟางผิงไม่ชักช้าอีก หันไปคุยกับหวังจินหยางและฉินเฟิ่งชิง “พวกนายถอยไปก่อน ขุดหลุมหลบใกล้ๆ ยอดเขา…”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลู่เฟิ่งโหรวก็ขมวดคิ้วแน่น
ถังเฟิงใบหน้าดำคล้ำ ตะโกนว่า “ถอยออกไปจากภูเขา!”
เจ้าเด็กนี้คิดยังไงกัน?
ขุดหลุมหลบ?
ฟางผิงไอแห้งๆ ว่า “มืดแล้ว หากบุกออกมาจริงๆ อันที่จริงที่นี่ปลอดภัยกว่า อีกอย่างที่นี่สำรวจได้สะดวกกว่า อาจจะไม่บุกออกมาเสมอไปด้วย”
ถังเฟิงอยากจะพูดต่อ ข้างล่างนั้นหนานอวิ๋นเยวี่ยตะโกนเสียงดังว่า “ประจำที่!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลู่เฟิ่งโหรวจึงรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “อีกเดี๋ยวจะไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของพวกเธอแล้ว ดูแลตัวเองเอาเถอะ!”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้ว หลู่เฟิ่งโหรวและถังเฟิงก็กระโดดเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์คนอื่นรอบๆ ก็ทยอยกระโดดลงไป รวมถึงยอดฝีมือจากเมืองเจิ้นซิงพวกนั้นด้วย
ยอดเขารอบทิศทางยังมีปรมาจารย์บางส่วนลอยอยู่ในอากาศคอยเฝ้าระวัง
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางของหน่วยทหารบางส่วนก็ไม่ได้ถอนตัวออกมา ประจำตำแหน่งแต่ละพื้นที่
หุบเขาที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้มีแค่พวกฟางผิงที่ว่างงาน
ทางมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หลี่หานซงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “อธิการของพวกเราก็มาเหมือนกัน คณบดีซูก็อยู่ที่นี่ หวังว่าจะไม่เป็นอะไร”
ครั้งนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งมีปรมาจารย์มาสองคน อธิการขั้นแปดสูงสุดและซูจ่านที่อยู่ขั้นเจ็ด
ฟางผิงฟังไปด้วยพลางเดินไปอีกยอดเขาหนึ่ง “ไม่มีอะไรหรอก ปรมาจารย์เยอะขนาดนี้ ขั้นเก้าอีกตั้งกองใหญ่ จะเกิดเรื่องง่ายๆ ได้ยังไงกัน พวกเราไปหาที่หลบก่อนเถอะ เผื่อถูกคนกันเองจัดการ”
———————