ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 486.2 ครั้งนี้ถ่อมตัวเป็นหลัก (2)
ตอนที่ 486 ครั้งนี้ถ่อมตัวเป็นหลัก (2)
………………..
ระหว่างที่คิด จู่ๆ ฟางผิงก็ชกหมัดออกไป!
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังขึ้น สัตว์ปีศาจที่คล้ายกับแกะตัวหนึ่งถูกฟางผิงระเบิดหัวแล้ว
ฟางผิงไม่แม้แต่จะมอง ยื่นมือเข้าไปจับ ก่อนร่างของมันจะหายวับไป
ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงไม่คิดเรื่องอาวุโสอีกแล้ว จ้องมองมือของฟางผิงแทน พึมพำว่า “แหวนมิติ…แหวนมิติ…มีแหวนมิติจริงๆ…”
หวังจินหยางก็มองอยู่พักหนึ่งเช่นกัน หลี่หานซงพึมพำกับตัวเองว่า “ออกไปแล้ว ฉันจะลองไปหาดู! ฟางผิง เจ้าสิ่งนี้มีลักษณะพิเศษอะไรหรือเปล่า? คล้ายๆ กับแหวนทั่วไป? หรือว่าเจอของตัวเองแล้วจะมีปฏิกิริยา?”
“หากเจอของตัวเองจริงๆ จะมีปฏิกิริยา ฉันแนะนำให้พวกนายไปดูสถานที่อย่างพิพิธภัณฑ์สักหน่อย บางทีของบางส่วนในเวลานั้นอาจจะถูกขุดออกมาหมดแล้ว แน่นอนว่าเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร โอกาสหาเจอน้อย ไม่จำเป็นต้องขุ่นเคือง หาไม่เจอไม่เป็นไร อย่างมากมีความสามารถนั้นแล้ว พวกเราค่อยสร้างกันเองก็ได้”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด ฉินเฟิ่งชิงก็ดึงมือเขาไว้ กระซิบว่า “เอ่อ…ของของพวกเราที่นายเก็บไว้ กลับไปนายจะคืนให้พวกเราหรือเปล่า?”
“ไม่ตายก็คืน ตายก็ไม่คืน อีกอย่างของที่เก็บไว้ต้องมีค่าใช้จ่าย”
“นายจะหน้าเงินเกินไปแล้ว!” ฉินเฟิ่งชิงด่าออกมา เอ่ยว่า “เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเรา…”
“นายยอมรับว่าตัวเองเป็นหลานของหลานของหลานฉัน…แล้ว?”
ฉินเฟิ่งชิงก่นด่า หลานปู่แกสิ!
ครุ่นคิดแล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยว่า “นายบอกว่าแวดวงสำนักมี? หากมี รัฐบาลน่าจะรู้เหมือนกันสินะ? มีการวิจัยเป็นชิ้นเป็นอัน รัฐบาลสามารถทำของพวกนี้ออกมาได้หรือเปล่า? สถาบันวิจัยของประเทศจีนมีตั้งมากมาย วิจัยมาหลายปีขนาดนี้ไม่เห็นจะทำของที่ใช้ประโยชน์ได้ออกมา”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดยาก อีกอย่าง ใครบอกว่าไม่มีของที่ใช้ประโยชน์ได้?”
ระหว่างที่พูดฟางผิงก็กล่าวเสริมว่า “เครื่องวัดพลังจิตใจ พวกนายรู้จักหรือเปล่า? ใช้ตรวจสอบพลังจิตใจ ฉันคิดว่าเจ้านี่ไม่เลวเลยกลับไปพวกนายน่าจะลองไปตรวจสอบดูว่าพลังจิตใจเป็นยังไง หากอีกนิดเดียวก็จะปลดปล่อยได้แล้ว งั้นหาผลไม้เพิ่มพลังจิตใจมาบำรุงสักหน่อย มหาวิทยาลัยของพวกเรา พลังจิตใจของคณบดีหลัวแตะถึงสี่ร้อยแปดสิบเฮิรตซ์แล้ว เกือบจะปลดปล่อยออกมาได้ ไม่กี่เดือนนี้ พวกคณบดีเฉินเอาผลบ่มจิตใจให้เขาทั้งหมด บางทีอีกไม่นานอาจจะหลอมสารจิงกับเลือดได้แล้ว ”
ฉินเฟิ่งชิงได้ฟังก็เอ่ยอย่างสงสัย “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง?”
“เพราะนายอ่อนแอ แถมยังไม่ใช่ระดับสูงของมหาวิทยาลัย”
“…”
คำพูดนี้แทงใจจังๆ
ใช่แล้ว ฉันอ่อนแอเกินไป
มหาวิทยาลัยมีความลับอะไรหน่อย ฟางผิงรู้แทบทุกอย่าง เขากลับไม่รู้อะไรเลย
ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจ ไม่ถามแล้ว ไม่พูดแล้วด้วย
ยิ่งพูดต่อไปยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชจริงๆ
ไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่กระจ่างแจ้งอะไรเลย ฝีมือยังไม่แข็งแกร่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งอนาถใจ
ด้านข้าง หวังจินหยางกลับไม่สนใจเรื่องแหวนมิติอีกแล้ว ไม่ถามเรื่องเครื่องวัดพลังจิตใจเช่นกัน ถอนหายใจว่า “มีของแบบนี้ก็ดี ฆ่าสัตว์ปีศาจแล้ว เก็บศพยังสามารถปกปิดปราณบางส่วนได้”
ระหว่างที่พูดพวกเขาก็เดินทางกันต่อ หลังจากนั้นสักพักเบื้องหน้าก็ปรากฏหนองน้ำแห่งหนึ่งขึ้นมา
หวังจินหยางมองแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยแววตาซับซ้อนอยู่บ้าง “ตอนแรกถูกผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำล้อมฆ่าที่นี่แหละ พวกเราหนีตายกลับไป ประธานเสิ่นปลีกตัวออกมาไม่ได้ แต่ว่า…ไม่เห็นเขาตาย บางที…”
คำพูดที่ว่าบางทีอาจมีชีวิตรอด เขากลับไม่มีความมั่นใจที่จะพูดออกมา
เวลานั้นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยหนานเจียงเพิ่งจะขั้นสามเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามถูกผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำนับสิบไล่ฆ่า ระดับกลางยังมีอีกกลุ่มใหญ่ ยังจะมีชีวิตรอดอย่างนั้นเหรอ?
“ทุกคนลองหาดูเถอะ” ฟางผิงถอนหายใจ “มาถึงที่นี่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวคำพูดน่าหดหู่เหมือนกัน ถึงคนจะตายแล้ว หาร่างหากระดูกพบก็เป็นเรื่องดี”
หวังจินหยางพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ ว่า “อันที่จริงฉันเตรียมใจมานานแล้วเหมือนกัน”
หลอกตัวเองไม่มีประโยชน์อะไร
ครั้งนี้แทนที่จะบอกว่ามาหาคน ยังไม่สู้บอกว่ามาหาศพ
ผ่านไปสองปีแล้วอาจจะหาไม่เจอเสมอไป
ที่นี่มีสัตว์ปีศาจ หากคนตายไปจริงๆ เกรงว่าคงถูกกลืนลงท้องไปนานแล้ว
—
ฟางผิงใช้พลังจิตใจตรวจสอบรอบทิศทาง หลังจากนั้นสักพัก ฟางผิงก็เริ่มชกหมัดไปทางหนองน้ำ กลางดินโคลนนั้นปรากฏโครงกระดูกร่างหนึ่ง
ฟางผิงตรวจสอบเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางหวังจินหยางที่อยู่ไกลๆ นั้น “ที่นี่มีโครงกระดูกมนุษย์ นายมาดู!”
หวังจินหยางรีบตามเข้ามา
เสื้อผ้าบนร่างโครงกระดูกนั้นเละเทะไม่เป็นชิ้นดีแล้ว หวังจินหยางไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือเปล่า คลำอยู่สักพักก็ส่ายหัวว่า “ไม่ใช่ประธานเสิ่น…เหมือน…เหมือนจะเป็นนักศึกษาคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเทียนหนาน”
ตอนนี้ในมือของหวังจินหยางยังถือดาบสั้นอยู่เล่มหนึ่ง จมอยู่ในความคิดพักใหญ่ “ตอนแรกที่แยกกันหนีไม่ได้มีแค่คนของมหาวิทยาลัยหนานเจียง ยังมีคนจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่อื่นด้วย นี่เหมือนจะเป็นอาวุธที่นักศึกษาคนหนึ่งของเทียนหนานใช้”
ฟางผิงมองแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “จะพากลับไปด้วยหรือฝังไว้ที่นี่?”
หวังจินหยางถอนหายใจว่า “พากลับไปได้ก็พากลับไปเถอะ ฝังในถ้ำใต้ดินต่อเมื่อไม่มีทางเลือก ตายอยู่ต่างแดน พาวิญญาณกลับบ้านเกิดก็เป็นความปรารถนาสุดท้ายของคนอย่างพวกเราเหมือนกัน…”
ฟางผิงไม่พูดมาก ในมือปรากฏเสื่อผืนหนึ่ง ห่อหุ้มโครงกระดูกเอาไว้ก่อนจะเก็บเข้าไปในช่องเก็บของ
“ดูท่าน่าจะไม่ได้หาผิดที่แล้ว พวกเราหากันต่อเถอะ”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน ไม่ไกลนั้น ฉินเฟิ่งชิงก็กดเสียงว่า “มาตรงนี้!”
ฟางผิงและหวังจินหยางได้ยินก็รีบตามเข้าไปทันที
—
หลังจากนั้นสักพัก
หวังจินหยางเผยแววตาวูบไหว ที่นี่อยู่ห่างจากหนองน้ำแล้ว เป็นป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่พื้นที่โล่งระหว่างต้นไม้ไม่กี่ต้นกลับมีดินนูนขึ้นมา
ดินที่นูนขึ้นมานี้คล้ายกับหลุมศพที่มนุษย์ฝังเพื่อนร่วมรบอยู่บ้าง
ฟางผิงใช้พลังจิตใจตรวจสอบดู พยักหน้าว่า “เป็นหลุมศพ! ข้างล่างมีโครงกระดูก…ไม่ใช่แค่ศพเดียว!”
“เวลานั้นทุกคนต่างแตกไปคนละทาง ไม่มีเวลามาขุดหลุมฝัง…พูดแบบนี้…”
หวังจินหยางเอ่ยอย่างตื้นตันขึ้นมา “อาจารย์กลับมาที่นี่ อาจารย์เป็นคนทำ! สองปีนี้ถ้ำใต้ดินเทียนหนานถูกปิดผนึกมาโดยตลอด นอกจากอาจารย์แล้ว คนอื่นไม่มีเวลาไปทำหรอก!”
“แสดงว่าตอนแรกอาจารย์จางกลับมาที่นี่ ไม่ได้ตายในสนามรบ อย่างน้อยเวลานั้นก็ยังมีชีวิตอยู่”
ฟางผิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “งั้นหลังจากนั้นเขาไปที่ไหน? เวลานั้นถ้ำใต้ดินถูกปิดผนึกแล้ว อาจารย์ก็รู้ว่าออกไปไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้…พี่หวัง นายคิดว่าอาจารย์จางจะไปไหนได้?”
“อาจารย์ไม่นั่งรอความตายอยู่แล้ว ทั้งไม่อาจใช้ชีวิตผ่านไปเปล่าๆ! หากเวลานั้นเขายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือล่าผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ เขาคงไม่ส่งตัวเองไปตายในเมือง แต่เขาน่าจะไปเมืองเฉียงเวย แฝงตัวอยู่นอกเมือง ลอบโจมตีผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ…”
นึกมาถึงตรงนี้ หวังจินหยางก็มองพวกเขา เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ทุกคน ฉันอยากจะตามเส้นทางนี้ค้นหาไปยังเมืองเฉียงเวย…อันตรายเยอะยิ่งกว่าตอนนี้…”
หลี่หานซงที่เพิ่งไล่ตามมาถึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาถึงขั้นนี้ก็ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว ดูว่าเส้นทางนี้จะมีหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ หรือเปล่า หากอาจารย์จางไปเมืองราชาคงอันตรายเกินไป บางทีอาจจะแฝงตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ก็ได้”
“มีโอกาสเหมือนกัน!”
ระหว่างที่พูด หวังจินหยางก็มองไปที่หลุมศพแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คนพวกนี้ก็พาไปด้วยเถอะ ที่นี่มีสัตว์ปีศาจผลุบๆ โผล่ๆ ท้ายที่สุดจะได้ไม่ถูกพวกมันกินไป”
ฟางผิงพยักหน้า เริ่มขุดหลุม
ไม่นานโครงกระดูกที่สภาพไม่สมบูรณ์หลายศพก็ถูกฟางผิงเก็บไว้
ส่วนมีเสิ่นเฉวียนหรือเปล่า หวังจินหยางไม่เห็นของบ่งชี้อะไร อาจจะถูกจางชิงหนานเก็บไปแล้ว ที่นี่เลยไม่มี
ไม่มีของต่างหน้า ดูจากโครงกระดูกก็ยากจะแยกแยะว่าเป็นใคร
ทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปทางเมืองเฉียงเวย
ฟางผิงลอบกำชับตัวเองในใจ “แค่ไปดูเมืองเฉียงเวยเท่านั้น ครั้งนี้ไม่เข้าเมือง ห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด…”
ยอดฝีมือเผ่าเยาจื๋อไม่ได้เคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ ครั้งนี้เหมือนจะเป็นพืชปีศาจผู้พิทักษ์ขั้นเก้า
ฟางผิงกังวลว่าเมืองเฉียงเวยจะมีพืชปีศาจขั้นเก้าเฝ้าระวังอยู่ นี่หากถูกตัวเองล่อออกมา นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว
ตอนที่กำลังออกมา ฟางผิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
ปรากฏว่ากวาดสายตาไป…จู่ๆ ฟางผิงก็หน้าเปลี่ยนสี กดเสียงว่า “ไปเร็ว แม่งเหอะ ที่นี่มีสัตว์ปีศาจระดับสูง!”
เวลานี้บนทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ที่อยู่ไกลๆ นั้นมีสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งลอยอยู่เหนืออากาศเหมือนกำลังฝึกวิชาอยู่
มองจากลักษณะท่าทาง แปดถึงเก้าส่วนต้องเป็นสัตว์ปีศาจระดับสูงแน่
พวกฉินเฟิ่งชิงเผ่นแน่บอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่วิ่ง ฉินเฟิ่งชิงยังหันหน้าไปมอง จู่ๆ ก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอ่ยอย่างตกใจว่า “ฟางผิง สหายนายมาตามหาแล้ว!”
ฟางผิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หันไปมองอีกครั้ง หน้าเปลี่ยนสีเป็นอันดับแรก ก่อนจะค่อยถอนหายใจ ด่าว่า “ไม่ใช่เจี่ยว แม่งเหอะ คล้ายกันเฉยๆ อย่าพูดถึงปีศาจตัวนั้นกับฉัน ตอนนี้ฉันกลัวจะได้ยินชื่อมันด้วยซ้ำ!”
ไกลๆ นั้น สัตว์ปีศาจที่ลอยอยู่บนทะเลสาบคล้ายกับเจี่ยวอยู่บ้างจริงๆ
แต่ไม่ได้มีเกราะหนังสีทอง ฟางผิงมองอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าไม่ใช่เจี่ยว แต่บนหัวมีเขาขนาดใหญ่เหมือนกัน คล้ายกับเจี่ยวเล็กน้อย
ฉินเฟิ่งชิงรู้เหมือนกันว่าไม่ใช่เจี่ยว วิ่งไปก็พูดไปด้วย “กลางทะเลสาบมีแหล่งแร่!”
“นายต้องมีชีวิตไปขุดก่อน!”
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “รอมีเวลาค่อยมาขุดดู!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หวังจินหยางและหลี่หานซงก็สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ใครบอกว่าหาคนเป็นหลักนะ?
พวกเขาอยู่ห่างค่อนข้างไกล สัตว์ปีศาจตัวนั้นไม่รู้ว่าสัมผัสไม่ได้หรือไม่สนใจ ฝึกวิชาของมันต่อไป ไม่ได้สนใจพวกเขา
รอวิ่งออกไปไกลสิบกว่าลี้แล้ว พวกเขาก็อดโล่งใจไม่ได้
ไกลๆ นั้น…เหมือนจะมีแสงโคมไฟสาดส่องอยู่บ้าง นั่นเป็นโคมไฟพลังงานจากหมู่บ้าน
—————-