ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 491 ออกประเด็นไปอยู่บ้าง (1)
ตอนที่ 491 ออกประเด็นไปอยู่บ้าง (1)
………………..
แม้ฉินเฟิ่งชิงจะคิดแบบนั้นกลับไม่ได้เรียกผู้อาวุโสออกมาจริงๆ
ทำเพียงเอ่ยอย่างถอนหายใจว่า “สัตว์ปีศาจในถ้ำใต้ดินจนเกินไปแล้ว!”
นึกถึงตอนแรก เขาปล้นรังสัตว์ปีศาจขั้นแปดไปสองตัว นึกไม่ถึงว่าจะได้น้อยขนาดนั้น
ครั้งนี้เมืองที่สร้างโดยผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่งได้ตั้งเป็นกอบเป็นกำ
ฟางผิงชำเลืองตามองเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ทางที่ดีนายอย่าไปถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้อีก เจี่ยวตัวนั้นชอบจำหนี้แค้น นายไปกวาดรังมัน นายเก็บงำกลิ่นอายไม่ได้ ครั้งก่อนมีกลิ่นอายหลงเหลืออยู่ ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมาหานายแน่”
ฉินเฟิ่งชิงเบ้ปาก แค่สัตว์ปีศาจขั้นแปดเท่านั้น
ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงเปิดหูเปิดตาแล้ว ขั้นเก้าก็ไม่ได้เท่าไหร่เอง ก่อนหน้านี้เห็นสัตว์ปีศาจขั้นเก้าถูกฆ่า อีกฝ่ายเป็นแค่สัตว์ปีศาจขั้นแปด…แม้จะกลัว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นไม่กล้าลงถ้ำใต้ดิน
ถึงจะพูดไปแบบนั้น ฟางผิงกลับไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญ มองสองคนที่สลบบนพื้นแล้วก็เอ่ยว่า “ถามทีละคน เป็นคนของจวนเจ้าเมืองทั้งหมด แม้จะไม่ใช่ขั้นหก แต่ก็มีฝีมือของขั้นห้า อย่างน้อยน่าจะรู้สถานการณ์อยู่บ้าง”
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “พวกนายออกไปก่อน ฉันจะแกล้งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำเดินผ่านทางมา ดูสิว่าจะถามข้อมูลอะไรได้หรือเปล่า”
หวังจินหยางหลุดขำ “ก่อนหน้านี้นายเป็นคนทุบพวกเขาสลบไม่ใช่หรือไง…”
“ฉันไม่ได้เปิดเผยหน้า เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายเล็กน้อยเท่านั้น”
ระหว่างนั้น กลิ่นอายบนร่างฟางผิงก็เปลี่ยนแปลง กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำที่ปลดปล่อยพลังงานถ้ำใต้ดินอย่างแท้จริง
เห็นฉากนี้ หวังจินหยางและหลี่หานซงก็เริ่มทุบหัวตัวเองแล้ว
รับไม่ได้อยู่บ้าง
ฟางผิงเจ้าหมอนี้ นับวันความสามารถก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เยอะจนพวกเขารับไม่ได้อยู่บ้าง
ฉินเฟิ่งชิงกลับไม่สนใจเท่าไหร่ พึมพำว่า “แม่งเหอะ หลอกฉันอีกแล้ว! ครั้งก่อนบอกว่าเลียนแบบแต่กลิ่นอายของฉันได้เท่านั้น ทำไมตอนนี้ไม่ปลอมเป็นฉันซะล่ะ?”
ฟางผิงช่างเป็นจอมลวงโลก ทุกครั้งแทบไม่เคยพูดความจริง
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ “ดังนั้นฉันถึงยิ่งมั่นใจ ฉันมีความเกี่ยวข้องกับนายจริงๆ ในใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกยังไง”
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อ?”
ฉินเฟิ่งชิงแค่นหัวเราะ ก่อนจะไอแห้งๆ ว่า “เอาเงินให้ฉันสักสี่ห้าหมื่นล้าน ฉันจะยอมรับว่าพวกเรามีความเกี่ยวข้องกัน”
“ไสหัวไป!”
ฟางผิงด่าแล้วก็โบกมือว่า “พวกนายออกไปก่อน พาเจ้านี้ออกไปด้วย”
ฟางผิงโยนอีกคนหนึ่งออกไป หวังจินหยางรับไว้ก่อนจะลากออกจากถ้ำ
—
ฟางผิงอยู่ในถ้ำเกือบครึ่งชั่วโมง
ไม่นานก็ใช้วิธีการเดิม พาคนที่สองเข้ามาในถ้ำ
ข้างนอกถ้ำ
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะออกมา “ฟังสิ ร้องน่าอนาถขนาดไหน ฟางผิงเจ้าหมอนี้ความชอบไม่เหมือนใครจริงๆ”
หวังจินหยางขี้เกียจจะสนใจเขา มองไปทางหลี่หานซงว่า “กระดูกทองและร่างทองของฉันไม่มีการฟื้นตัวเลย ครั้งก่อนตกลงนายฟื้นฟูสำเร็จได้ยังไง?”
หลี่หานซงไม่เข้าใจเหมือนกัน ส่ายหัวว่า “เพราะบาดเจ็บเล็กน้อย จากนั้นฝึกวิชาทั้งวันแล้วฉันก็กลายเป็นกึ่งร่างทองเลย นายถามฟางผิงดู เขารู้เยอะกว่าฉัน”
“เขาอาจไม่รู้เสมอไป…”
หวังจินหยางมองเข้าไปในถ้ำ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “เจ้าหมอนี้…คำที่พูดออกมาจริงเท็จพอๆ กัน นายเชื่อที่เขาพูดว่าเขาเป็นราชาสวรรค์ นายเป็นแม่ทัพใหญ่ทางเหนือจริงๆ งั้นเหรอ?”
หลี่หานซงอึกอักว่า “เอ่อ…เชื่ออยู่นิดหน่อย เจ้าหมอนี้เหลี่ยมเยอะจะตายไป เขาอาจไม่ใช่ราชาสวรรค์อะไรนั่น…แน่นอนว่าถ้าเขาพูดจริง มีสวรรค์อยู่ ฉันว่าเขาน่าจะเป็นกุนซือที่ปรึกษาทางทหารมากกว่า เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนั้น”
ระหว่างที่พูด หลี่หานซงยังมองไปทางหวังจินหยาง “ฉันกลับคิดว่า…ถ้ามีราชาสวรรค์จริงๆ นายเหมือนกว่าเขาซะอีก”
หวังจินหยางนวดขมับเล็กน้อย เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง “สวรรค์ที่เขาพูดมีโอกาสสูงที่เป็นเรื่องโกหก นายยังจะเดาแบบนั้นออกมาจริงๆ อีก”
“เรื่องนี้…” หวังจินหยางถอนหายใจ ใช่แล้ว อธิบายยากจริงๆ
คนอย่างพวกเราตกลงชาติก่อนเป็นใครกัน?
น่าจะเพราะเหตุผลนี้ทำให้หลี่หานซงเชื่ออยู่บ้าง
จากตำนานเรื่องเล่า บางทีอาจมีการคงอยู่ของสวรรค์
ในเมื่อเป็นแบบนี้ คนที่มาเกิดใหม่อย่างพวกเขาเป็นยอดฝีมือบนสวรรค์อาจเป็นไปได้เหมือนกัน
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ฉินเฟิ่งชิงก็ทำหน้าอัดอั้น โยนฉันทิ้งไว้ข้างหลังอีกแล้ว
เจ้าพวกนี้พูดเรื่องฝึกวิชาราวกับเป็นการละเล่น
เห็นพวกเขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉินเฟิ่งชิงจึงแทรกว่า “พวกนายอย่าถูกฟางผิงหลอกเชียว เจ้าหมอนี้ชาติก่อนอาจจะเป็นลูกน้องพวกนายก็ได้ จงใจแกล้งเป็นลูกพี่ใหญ่ อีกอย่าง…”
ฉินเฟิ่งชิงลูบคางว่า “เจ้าหมอนี้เป็นยอดฝีมือกลับมาเกิดใหม่จริงๆ หรือไง?”
“หืม?”
พวกหลี่หานซงชะงักไปเล็กน้อย เรื่องนี้พวกเขาไม่เคยครุ่นคิดมาก่อน!
ฉินเฟิ่งชิงหรี่ตา หัวเราะว่า “แค่เดามั่วๆ ยอดฝีมือเกิดใหม่ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์กลายพันธุ์ใช่หรือเปล่า?”
“ฟางผิงเจ้าหมอนี้ตอนนี้กระดูกทองกลายพันธุ์ พลังจิตใจแข็งแกร่ง ไขกระดูกก็มีการกลายพันธุ์ แถมฟื้นฟูได้เร็วด้วย”
ฉินเฟิ่งชิงขบคิดอยู่พักใหญ่ เอ่ยว่า “พวกนายต่างกลายพันธุ์เหมือนกัน เจ้าหมอนี้กลายพันธุ์แทบทุกอย่าง ฉันคิดว่าไม่เหมือนกับพวกนาย”
หวังจินหยางแววตาไหววูบเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าหมอนี้ไม่ได้กลายพันธุ์ตั้งแต่แรก ตอนที่ฉันรู้จักเขา เขาไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย แน่นอนว่าเวลานั้นยังอ่อนแอ บางทีอาจสัมผัสอะไรไม่ได้ แต่จากที่ฉันรู้ ไขกระดูกของเขากลายพันธุ์ ต้องมาเกิดขึ้นทีหลังแน่ๆ”
หวังจินหยางเอ่ยต่อว่า “กระดูกทองก็เหมือนกัน”
หลี่หานซงเผยสีหน้าตกตะลึง ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ถ้า…ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เกิดใหม่ล่ะ…งั้นเขา…งั้นเขา…ก่อนหน้านี้เขาเล่าให้พวกเราฟังทำไม?”
“หลอกนาย”
“ใครกำหนดว่าผู้ฝึกยุทธ์เกิดใหม่เท่านั้นถึงจะกลายพันธุ์ได้?” ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะว่า “สะพานฟ้าดินของฉันก็กลายพันธุ์ หรือฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกิดใหม่เหมือนกัน?”
หลี่หานซงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “อย่างนายก็เรียกกลายพันธุ์? นายฝึกวิชาเร็วมากหรือไง?”
“…”
ฉินเฟิ่งชิงถูกแทงใจอยู่บ้าง ใบหน้าดำเป็นก้นหม้อไม่พูดอีก
เขาฝึกวิชาเหมือนจะเร็ว ในความเป็นจริงไม่ได้เร็วมาก
เขาอาศัยการอัดทรัพยากรนับไม่ถ้วน ขัดเกลาเข้าไปอย่างนั้น
แต่พวกหวังจินหยางสิ้นเปลืองน้อยกว่าเขาเยอะจริงๆ
รวมถึงฟางผิงด้วย นอกจากการรักษาอาการบาดเจ็บครั้งก่อน อันที่จริงฟางผิงแทบไม่ได้สิ้นเปลืองทรัพยากรเท่าไหร่ เขาใช้ค่าทรัพย์สิน ฉินเฟิ่งชิงย่อมไม่รู้เรื่องนี้
แต่ฟางผิงสิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยเป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้เขายังขายยาบำรุงจำนวนมากให้คนอื่นอยู่เลย
ผู้ฝึกยุทธ์กลายพันธุ์สิ้นเปลืองน้อย ฝึกวิชาเร็ว นี่เป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง
อันที่จริงฟางผิงสอดคล้องกับลักษณะพิเศษนี้เช่นกัน
หลี่หานซงเห็นเขาไม่พูดอะไรก็เอ่ยต่อว่า “ฟางผิงน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกิดใหม่…แต่เรื่องของสวรรค์นั้นพูดยากจริงๆ”
หวังจินหยางไม่คิดเยอะอีก เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ปล่อยเขาพูดไป ต้องมีวันหนึ่งที่เปิดเผยเบาะแสออกมาอยู่แล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงพึมพำว่า “นั่นพูดยากแล้ว ฉันกลับคิดว่าไม่ช้าก็เร็วพวกนายต้องตกลงไปในหลุมใหญ่แน่”
“หรือนายไม่ตกหลุม?” หลี่หานซงแค่นเสียง
ฉินเฟิ่งชิงมองเขาอย่างดูแคลน กดเสียงว่า “นายจะเข้าใจอะไร ฉันถึงจะเรียกว่ากระโดดลงไปเอง! เจ้าหมอนั่นมีเงิน ฉันยอมรับเขาเป็นพ่อได้ จะเหมือนพวกนายที่ไหน ยอมรับคนอื่นเป็นพ่อ จะเหมือนกันได้หรือไง?”
หลี่หานซงหน้าดำคล้ำ นายพูดราวกับเป็นหลักการที่ยิ่งใหญ่ แต่ฉันไม่สนใจนายหรอก!
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน ฟางผิงก็เดินออกมาจากถ้ำแล้ว ชำเลืองตามองฉินเฟิ่งชิงแวบหนึ่ง แววตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
ไม่สนใจเจ้าหมอนี้อีก ฟางผิงเอ่ยว่า “สองคนนี้พอจะรู้อยู่บ้างจริงๆ เวลานั้นมนุษย์ถอนทัพออกไป เมืองเฉียงเวยจับผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์บางส่วนได้ ตอนนั้นมีมนุษย์ค้างอยู่ในถ้ำใต้ดินเกือบร้อยคน บางส่วนในนั้น…ตายในสงครามหมดแล้ว ส่วนน้อยที่ถูกจับได้ รวมถึงเมืองเยวี่ยกุ้ย อันที่จริงเคยจับไปส่วนหนึ่งเช่นกัน ไม่รู้ว่ามีอาจารย์จางหรือเปล่า ปรมาจารย์ยอดฝีมือล่าถอยออกไปตอนแรกหมดแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ที่ถูกจับได้ มีทั้งขั้นหก ขั้นห้าและขั้นสี่ แต่ระดับกลางไม่เยอะ สี่ห้าคนเท่านั้น”
“ผู้ฝึกยุทธ์สามระดับล่างบางส่วน…ก็ถูกจับมาเกือบสิบกว่าคน ช่วงเวลาแบบนี้ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว เวลานั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำอยู่กลาดเกลื่อน ดังนั้นตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ที่ซ่อนตัวเป็นอิสระในถ้ำอย่างแท้จริง ไม่ถึงกับพูดว่าไม่มีสักคน แต่คงไม่เยอะ อย่างมากน่าจะสี่ห้าคน”
หวังจินหยางครุ่นคิดเล็กน้อย “คนพวกนี้ถูกส่งไปเมืองราชาแล้วทั้งหมด?”
“อืม”
“ถ้าแค่จับมาถามข้อมูล จำเป็นต้องค้นหาเป็นวงกว้างขนาดนี้เลยหรือไง? จับไม่กี่คนก็น่าจะเพียงพอแล้ว จากที่นายพูดเป็นแบบนี้ต่อเนื่องครึ่งปี กระทั่งเมืองใต้อาณัติยังทุ่มสุดกำลัง ให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์ที่ติดค้างอยู่พวกนั้นเกินไปหรือเปล่า?”
ฟางผิงพยักหน้า ครุ่นคิดว่า “ให้ความสำคัญเกินไปอยู่บ้างจริงๆ ถึงกระทั่งมีระดับสูงลงมือด้วยตัวเอง พาคนส่วนหนึ่งออกไป ส่วนท้ายที่สุดคนพวกนั้นเป็นยังไง ได้ยินว่า…ส่วนหนึ่งถูกฆ่า แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีคนรอดชีวิต!”
ฟางผิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยต่อว่า “ทั้งเวลานั้นแต่ละเมืองต่างมียอดฝีมือตามมาที่เมืองเฉียงเวย เหมือนจะปรึกษาอะไรกัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่บุกขึ้นบนพื้นโลกหรือเรื่องอื่น แต่ว่าหลังจากนั้นยอดฝีมือในเมืองก็แยกย้ายกันไป ฉันเพิ่งถามเจ้าสองคนนั้น เวลานั้นมีคนเห็นยอดฝีมือหลายคนของเมืองเฉียงเวยพาผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ส่วนหนึ่งออกไปจากเมืองเฉียงเวย”
“ออกไปจากเมืองเฉียงเวยแล้ว?”
——————
………………..