ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 492-2 ความมุ่งมั่นต้องแน่วแน่ (2)
ตอนที่ 492 ความมุ่งมั่นต้องแน่วแน่ (2)
………………..
รัฐมนตรีหวังเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง “พวกเขา…พวกเขาก็มีเรื่องที่ต้องทำ…”
อู๋ขุยซานหันไปมองเขา “ไปพื้นที่ของเขตแดน? ศพของขั้นสุดยอดสำคัญขนาดนั้นเลยจริงๆ?”
อีกด้านนั้น หลี่เต๋อหย่งที่หัวแทบจะบุบไปครึ่งหนึ่ง เวลานี้เอ่ยขึ้นว่า “อธิการอู๋ มีบางเรื่องที่พวกคุณไม่เข้าใจ คนของเมืองเจิ้นซิงออกไปเพราะมีความจำเป็น หรือคุณไม่เห็นว่าครั้งนี้…เขตหวงห้ามไม่ส่งคนมา?”
“หืม?”
“อันที่จริงเขตหวงห้ามส่งคนมา!”
หัวที่สะบักสะบอมของหลี่เต๋อหย่งมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย รักษาอาการบาดเจ็บพลางอธิบายไปด้วย “คนของเขตหวงห้ามไปพื้นที่เขตแดน! สองปีก่อน หลังจากผู้อาวุโสหยางสิ้นชีพ ยอดฝีมืขั้นสุดยอดมีการลงมือที่เขาต้านสมุทรมาก่อน ทั้งสองฝ่ายลงมือกันอย่างหนักหน่วง ในเวลาเดียวกับที่ทางเดินเทียนหนานปิดผนึก ยอดฝีมือขั้นสุดยอดก็ทำลายทางเดินของเขาต้านสมุทรเช่นกัน ดังนั้นสองปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกเราหรือคนของเขตหวงห้ามล้วนไม่เคยมาถ้ำใต้ดินเทียนหนาน ครั้งนี้ตอนที่พวกเราเข้ามา ทางเดินของเขาต้านสมุทรก็เปิดขึ้นเช่นกัน เทียบกับพวกเรายังเร็วกว่าอยู่บ้าง คนของเขตหวงห้ามไปพื้นที่เขตแดนแล้ว!”
“พวกเขาจะแย่งศพของขั้นสุดยอด?”
“ใช่!”
หัวของหลี่เต๋อหย่งฟื้นฟูเป็นสภาพปกติแล้ว เอ่ยต่อว่า “ตอนแรกพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่เขตแดนได้ แต่ครั้งนี้พูดยากอยู่บ้าง ทางเมืองเจิ้นซิงจำเป็นต้องรีบไปขัดขวาง…”
“สำคัญมากงั้นเหรอ?”
“สำคัญมาก!”
“งั้นให้พวกผู้อำนวยการหนานไปหนึ่งคน…”
หลี่เต๋อหย่งตัดบทว่า “คนของเมืองเจิ้นซิงจะเหมาะสมกว่าอยู่บ้าง”
อู๋ขุยซานพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “ศพของขั้นสุดยอด ตกลงหมายถึงอะไรกันแน่?”
หลี่เต๋อหย่งจมสู่ความเงียบ ในตอนที่อู๋ขุยซานคิดว่าเขาคงไม่อธิบายให้ฟัง หลี่เต๋อหย่งก็เอ่ยว่า “ขั้นสุดยอด บอกว่าขั้นเก้า อันที่จริงก็ไม่ใช่ขั้นเก้า พวกนายสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นอีกระดับหนึ่ง ส่วนทำไมถึงไม่เรียกว่าขั้นสิบหรือเรียกอย่างอื่น เพราะขั้นสุดยอด อันที่จริงจัดอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างคลุมเครือ”
อู๋ขุยซานไม่เข้าใจเท่าไหร่ หลี่เต๋อหย่งอธิบายว่า “พูดแบบนี้เถอะ ขั้นสุดยอดก็คือผู้ฝึกยุทธ์ในหมู่ขั้นหกที่ปิดผนึกประตูซานเจียว หลอมสารจิงกับเลือด พลังจิตใจเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเฮิรตซ์ ปราณหนึ่งหมื่นแคล ห่างจากขั้นถอดเปลี่ยนกลายร่างแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ส่วนตกลงขั้นต่อไปมีหรือเปล่า ไม่ใครรู้ แต่ยอดฝีมือขั้นสุดยอดรู้สึกว่าพวกเขายังถูกจัดในขั้นเก้า ไม่ได้ขยับขึ้นไปจากก้าวเล็กๆ นั้นอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนแปลงแบบยกระดับไปอีกขั้นอะไรแบบนั้น พวกเขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ดังนั้นยอดฝีมือขั้นสุดยอดไม่รู้ว่าข้างหลังยังมีเส้นทางอีกหรือเปล่า บางทีอาจจะมี บางทีอาจจะไม่มี แต่ว่า…อาจจะมี เพราะถ้ำใต้ดินมีราชาปีศาจ บันทึกของราชาปีศาจมีมาเนิ่นนาน ตามบันทึกราชาปีศาจแข็งแกร่งกว่าขั้นสุดยอดซะอีก เคยแผ่ความเกรงขามทั่วทั้งถ้ำใต้ดิน ไม่มีใครเทียบเคียงได้”
อู๋ขุยซานเงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ แม้ว่าเรื่องที่หลี่เต๋อหย่งพูดคล้ายไม่เกี่ยวกับศพของยอดฝีมือคนนั้น แต่เขารู้สึกว่ายังจำเป็นต้องฟังให้มากหน่อย
หลี่เต๋อหย่งเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นยอดฝีมือขั้นสุดยอดทั้งหมดล้วนกำลังหาเส้นทาง หาเส้นทางที่อาจจะก้าวสู่ขั้นสูงกว่าเดิมได้ รวมถึงผู้บัญชาการหลี่ เขากำลังค้นหาเส้นทางนี้เช่นกัน ถ้ามนุษย์ปรากฏการคงอยู่ของคนที่ก้าวข้ามขั้นสุดยอดไปได้ อาจจะสามารถกำราบภัยคุกคามของถ้ำใต้ดินอย่างสิ้นซาก! ทั้งถ้ำใต้ดินทางนี้ ขั้นสุดยอดของพวกเขา อันที่จริงกำลังตามหาเส้นทางเช่นกัน อยากเข้าสู่ขั้นของราชาปีศาจ ยอดฝีมือขั้นสุดยอดล้วนแข็งแกร่งมาก ทั้งมีชีวิตอย่างยืนยาว…”
อู๋ขุยซานขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทุกคนแย่งศพของขั้นสุดยอดยังไง?”
หลี่เต๋อหย่งเอ่ยเสียงแผ่ว “อันที่จริงหลักๆ ฉันก็ไม่ชัดเจน ฉันรู้แค่ว่าแม้ยอดฝีมือขั้นสุดยอดจะตาย ศพจะเหลือร่องรอยของเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนไว้ ขั้นสุดยอดทุกคน อันที่จริงเดินในเส้นทางที่แตกต่างกัน ตอนที่มีชีวิต ทุกคนยากที่จะพรรณนาเส้นทางพัฒนาของตัวเองออกมา แต่หลังจากเขาตายไป การรู้แจ้งของเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนอาจจะแสดงออกมาโดยอาศัยรูปแบบอย่างหนึ่ง”
“อย่าถามฉันว่าตกลงคืออะไร เพราะฉันไม่รู้เหมือนกัน ผู้บัญชาการหลี่ก็ไม่รู้ เพราะร้อยปีนี้ขั้นสุดยอดที่ตายมีแค่คนเดียวก็คือผู้อาวุโสหยาง บางทีอาจไม่ใช่แค่ร้อยปี ผู้อาวุโสสิบสามคนของเมืองเจิ้นซิง ตั้งแต่สามร้อยปีก่อนที่ก่อตั้งเมืองเจิ้นซิงก็อยู่ขั้นสุดยอดแล้ว ผ่านมานานขนาดนี้ พวกเขายังอยู่ขั้นสุดยอด ดังนั้นพวกเขามีชีวิตยาวนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครรู้ ทั้งผู้อาวุโสสิบสามคนนั้น หลายร้อยปีนี้ล้วนมีสิบสามคน จวบจนถึงวันนี้เพิ่งจะเหลือสิบสองคน ก็หมายความว่าผู้อาวุโสหยางเป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวที่ตายในรอบหลายร้อยปีนี้”
“ผู้บัญชาการหลี่เป็นแค่รุ่นหลัง ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แน่ชัด แต่อันที่จริงยอดฝีมือขั้นสุดยอดคนอื่นของเมืองเจิ้นซิง ครั้งนี้ก่อนที่ถ้ำใต้ดินหนานเทียนหนานจะอุบัติก็มีการติดต่อกับผู้บัญชาการหลี่มาก่อน ครั้งนี้ไม่ว่าจะยังไง ต้องรับศพของผู้อาวุโสกลับมาให้ได้ แม้ว่า…แม้ว่าถ้ำใต้ดินเทียนหนานจะถูกศัตรูยึดก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้ ถึงช่วงเวลาสำคัญ ถึงจะต้องทำลายศพก็ไม่อาจให้คนของเขตหวงห้ามเอาไปได้”
อู๋ขุยซานขมวดคิ้วว่า “พูดแบบนี้ ขอแค่แย่งศพขั้นสุดยอดมาได้ อาจจะทำให้ขั้นสุดยอดของอีกฝ่ายก้าวหน้าไปอีกขั้นได้?”
ระหว่างที่พูด หลี่เต๋อหย่งยังเอ่ยต่อว่า “สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่านั้น…บางทีอาศัยการรู้แจ้งพวกนี้ สานต่อเส้นทางของผู้อาวุโสหยางอาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้เหมือนกัน ถ้ำใต้ดินมีขั้นสุดยอดเพิ่มอีกคน หรือมนุษย์กำเนิดขั้นสุดยอดอีกครั้ง ตาชั่งจะขาดสมดุล ถ้าถ้ำใต้ดินเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน พวกเราจะลดน้อยลงสองคน พวกเราเพิ่มมาหนึ่งคน นั่นถึงจะลากกลับมาในสภาวะสมดุลได้อีกครั้ง”
ด้านข้าง หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วว่า “งั้นทำไมไม่ให้ผู้อำนวยการหนานไป? ผู้อำนวยการหนานอยู่ห่างจากขั้นสุดยอดแค่ก้าวเดียวเท่านั้น บางทีอาจจะก้าวสู่ขั้นสุดยอดได้อย่างรวดเร็ว”
หลี่เต๋อหย่งครุ่นคิดพักหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า ถึงขั้นของผู้อำนวยการหนานแล้ว อันที่จริงจะมีเส้นทางของตัวเอง เส้นทางของคนอื่นอาจไม่เหมาะสมกับเธอเสมอไป อีกอย่างสาเหตุที่วางแผนแบบนี้เพราะผู้อาวุโสหยางและตระกูลหยางมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด บางทีอาจสามารถรับของบางอย่างได้ง่ายกว่า แม้หยางเต้าหงจะขั้นเก้าเหมือนกัน แต่เขาเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสหยาง ดังนั้นรอสถานการณ์ฝั่งพวกเราไม่มีอะไรแล้ว เขาจะออกไปเหมือนกัน ส่วนคนอื่นๆ สิบสามตระกูลของเมืองเจิ้นซิง ทั้งหมดก็แทบจะเกี่ยวพันทางสายเลือดอยู่บ้าง”
อู๋ขุยซานฟังจบก็ไม่พูดอะไรอีก
เรื่องเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งของขั้นสุดยอด ในสายตาเบื้องบน เทียบกับปรมาจารย์ไม่กี่คนตายแล้วสำคัญกว่าจริงๆ
คนของเมืองเจิ้นซิงออกไปพื้นที่เขตแดน บางทีอาจจะเป็นโอกาสช่วงชิงในการกลายเป็นขั้นสุดยอด
มีขั้นสุดยอดเพิ่มมาหนึ่งคนหรือน้อยไปหนึ่งคน ถึงกระทั่งสำคัญกว่าความเป็นความตายของทุกคนที่ทำสงครามอยู่ตรงนี้
เรื่องสำคัญแบบนี้ไม่แปลกใจที่คนของเมืองเจิ้นซิงปลีกตัวออกไป ผู้ที่รับผิดชอบหลักอย่างหนานอวิ๋นเยวี่ยและจางเว่ยอวี่ต่างไม่พูดอะไร เกรงว่าจะนัดแนะกันไว้นานแล้ว
พวกเขากำลังพูดคุยกัน ข้างหน้านั้นถังเฟิงถอนตัวกลับมาด้วยเลือดอาบหน้า หอบหายใจว่า “อีกฝ่ายมีขั้นเจ็ดออกไปสองคน ผู้บังคับการจางบอกว่าทางเมืองเฉียงเวยเหมือนจะมีคนของพวกเราเคลื่อนไหวในแนวหลัง สัตว์ปีศาจบางส่วนก็เริ่มเคลื่อนไหวเหมือนกัน
ระหว่างที่พูด ถังเฟิงยังสะบัดมือ มองไปทางอู๋ขุยซานว่า “อธิการ สสารไม่แตกดับยังมีอยู่หรือเปล่า? ให้ฉันสักหน่อยสิ เนื้อบนมือแทบไม่เหลือแล้ว ชกไม่สะดวก…”
สิ้นเสียงของเขา หลู่เฟิ่งโหรวก็เตะออกมาทันที เอ่ยอย่างโมโหว่า “ตาบอดหรือไง? เขาพรุนจนแทบจะกลายเป็นตะแกรงอยู่แล้ว!”
——————–
………………..