ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 84 ครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้
ตอนที่ 84 ครั้งแรกที่เซี่ยงไฮ้
เซี่ยงไฮ้
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ เซี่ยงไฮ้ก็ยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านธุรกิจสมชื่อ
ศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางการค้า….ทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมกันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้
เป็นเมืองที่ใหญ่ถึงขนาดรองรับแม่น้ำได้ทุกสาย ทั้งเป็นเมืองในฝันของใครหลายคน!
ชั่วขณะที่เดินลงมาจากรถไฟ บรรยากาศวุ่นวายของเมืองใหญ่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างกับหยางเฉิงอย่างชัดเจน
ฟางผิงไม่ใช่คนบ้านนอกคอกนา ชาติก่อนเขาเคยมาเซี่ยงไฮ้
แต่ชั่วพริบตาที่ลงจากรถไฟ เขายังคงรู้สึกทึ่งไม่น้อยจริงๆ
“ผู้ฝึกยุทธ์เยอะชะมัด!”
ฟางผิงนั้นสัมผัสถึงปราณที่พลุ่งพล่านได้ถึงเจ็ดแปดคนเป็นอย่างต่ำ
และฟางผิงก็ไม่ปกปิดปราณตัวเองเช่นกัน เสี้ยวนาทีนั้นคนไม่น้อยต่างพากันมองมาทางเขา
พอเห็นใบหน้าอ่อนวัยของฟางผิง บางคนถึงกับตั้งใจเพ่งมอง
ผู้ฝึกยุทธ์?
หรือยังไม่ทะลวงด่าน วางแผนจะหลอมกระดูกหลายครั้ง?
ยังเด็กขนาดนี้ ปราณกลับปะทุอย่างเต็มเปี่ยม นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาคาดเดาจุดนี้ได้
ตอนที่ฟางผิงกำลังกวาดสายตาไปรอบทิศ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีรถไฟคนหนึ่งเดินตรงดิ่งมาหาเขา
ชั่วขณะที่อีกฝ่ายเข้ามา ฟางผิงรับรู้ได้เหมือนกันว่า เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ปราณไม่ได้ต่ำเลย อย่างน้อยน่าจะหนึ่งร้อยสามสิบแคล
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อายุประมาณสามสิบปี เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าฟางผิง เอ่ยอย่างสุภาพว่า “คุณผู้ชายคนนี้ รบกวนแสดงบัตรประจำตัวหน่อยได้หรือเปล่า?”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมาก ยื่นบัตรประชาชนให้อีกฝ่ายดู
ชายคนนั้นใช้อุปกรณ์ในมือตรวจสอบข้อมูลในบัตรของฟางผิง
ไม่นานเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณฟางน่าจะมาเซี่ยงไฮ้ครั้งแรกใช่ไหมครับ?”
“อืม ผมเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ อยากล่วงหน้ามาทำความคุ้นเคยกับที่นี่สักหน่อย”
“งั้นรบกวนคุณแสดงจดหมายตอบรับของมหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า?”
ฟางผิงขมวดคิ้วอีกครั้ง กล่าวอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “จำเป็นต้องตรวจกันขนาดนี้เลย?”
“คุณฟางอย่าเข้าใจผิดไป ในเมื่อคุณเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ นั่นหมายความว่าสี่ปีข้างหน้านี้ คุณต้องมาอยู่ประจำที่เซี่ยงไฮ้ เซี่ยงไฮ้ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศจีน ถือเป็นเมืองที่ค่อนข้างสำคัญ ผู้ฝึกยุทธ์มีกำลังเหนือกว่าคนทั่วไป พลังทำลายล้างสูง สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ แม้เซี่ยงไฮ้จะไม่จำกัดอะไร แต่ต้องลงทะเบียนบันทึกข้อมูลไว้ อีกอย่างผู้ฝึกยุทธ์บางคนพกอาวุธสงครามติดตัว ถ้าไม่มีบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ ก็ไม่อาจะพกพาอาวุธสงครามในที่สาธารณะได้”
ระหว่างที่พูด ชายคนนั้นยังอธิบายต่อว่า “ตามธรรมเนียมแล้ว นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะมารายงานตัวพร้อมกันในวันนั้นวันเดียว ถึงเวลามหาวิทยาลัยจะมารับคน และจัดการทุกอย่างเอง แต่คุณล่วงหน้ามาด้วยตัวเอง ดังนั้นผมเลยต้องช่วยทำบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ให้คุณ…”
ฟางผิงเข้าใจทันที ผู้ฝึกยุทธ์นั้นได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือคนทั่วไป แทบไม่ต่างอะไรกับอาวุธสงครามเคลื่อนที่
คนแบบนี้ ถ้าไม่ควบคุม อาจจะก่อความวุ่นวายได้ง่าย
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เซี่ยงไฮ้มีมากมาย มีทั้งดีและเลว แม้การลงทะเบียนจะไม่ได้ช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการควบคุมและจำกัดอย่างชัดเจน
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงเลยกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ผมไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ต้องลงทะเบียนเหมือนกันเหรอ?”
“คุณไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์?”
ชายคนนั้นตกใจอยู่บ้าง ก่อนคล้ายจะคิดอะไรได้ “ปราณทะลุขีดจำกัด ก็ต้องลงทะเบียนเหมือนกันครับ”
“ได้ ลงทะเบียนที่นี่เลยใช่หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ครับ ต้องรบกวนคุณไปลงทะเบียนกับผมที่สำนักงานควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ของสถานีรถไฟสักหน่อย ไม่ใช้เวลานานแน่นอน พอคุณได้บัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ คุณก็สามารถไปไหนมาไหนสะดวกแล้ว หากคุณต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ทั้งติดต่อกับสมาพันธ์ศิลปะการต่อสู้ได้เช่นกัน พวกเขาล้วนให้ความช่วยเหลือคุณได้ทั้งสิ้น”
“สมาพันธ์ศิลปะการต่อสู้?”
ก่อนหน้านี้ฟางผิงไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรนี้มาก่อน เลยอดถามไม่ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนช่างพูด อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นสมาพันธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้จริงจังอะไรมากมาย ถือเป็นองค์กรรัฐกึ่งหนึ่ง หลักๆ คือก่อตั้งเพื่อช่วยเหลือผู้ฝึกยุทธ์จากภายนอก ให้พวกเขาสามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ได้เร็วขึ้น ผู้ก่อตั้งสมาพันธ์ศิลปะการต่อสู้ ความจริงเป็นการประสานงานระหว่างมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แต่ละแห่งและหน่วยราชการในพื้นที่…”
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปพลาง ไม่นาน เมื่อมาถึงมุมหนึ่งของสถานีรถไฟ ฟางผิงก็เห็นสำนักงานควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ พื้นที่ค่อนข้างกว้าง ครองบริเวณสถานีรถไฟฟากนี้เกือบทั้งหมด!
กล่าวว่าเป็นสำนักงาน อันที่จริงเหมือนกับโถงใหญ่ที่เปิดให้บริการมากกว่า ตอนนี้มีคนเดินสวนกันขวักไขว่ ทั้งมีคนไม่น้อยที่เป็นแบบฟางผิง มีเจ้าหน้าที่พาเข้ามา เดินสวนเข้าออกสถานีแห่งนี้
ระหว่างทาง ฟางผิงได้ทราบชื่อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน เขาชื่อเฉินจื่อชวน
อีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ขึ้นตรงกับหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่รับผิดชอบต้อนรับให้คำแนะนำกับผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งเข้ามาในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหมือนกัน
ฟางผิงสงสัยอยู่บ้าง เห็นโถงใหญ่มีคนอยู่จำนวนมาก ยังไม่ถึงคิวของพวกเขาเลยถามไปว่า “พี่เฉินรู้ได้ยังไงว่าผมอาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์?”
แม้ปราณของเฉินจื่อชวนจะไม่นับว่าต่ำ ประมาณหนึ่งร้อยสามสิบแคล
แต่ปราณของฟางผิงสูงกว่าเขาเยอะ เป็นเรื่องยากที่เฉินจื่อชวนจะสัมผัสได้ ทั้งฟางผิงยังไม่ได้ตั้งใจระเบิดปราณ
เวลานั้นทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันพอสมควร แต่เฉินจื่อชวนยังตรงดิ่งมาหาเขา
ระหว่างทางเฉินจื่อชวนคุยกับฟางผิงหลายเรื่อง นับทำความคุ้นเคยกันไปไม่น้อย
เขาไม่ใช่คำสุภาพอีกแล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ง่ายมาก ที่จริงตอนที่พวกนายลงจากรถ ต้องผ่านทางเข้าชานชาลา นายคงจะเคยใช้เครื่องตรวจปราณมาก่อนแล้ว ทางเข้าออกชานชาลาของสถานีรถไฟ มีการติดตั้งเครื่องตรวจปราณประเภทนั้นอยู่ ขอแค่ปราณเกินขีดจำกัด ก็จะสามารถตรวจจับได้ทันที ส่งข้อมูลมาที่อุปกรณ์ของพวกเราล่วงหน้า”
“แบบนี้นี่เอง ค่อนดูไฮเทคขึ้นมาหน่อย…”
ฟางผิงพึมพำ เฉินจื่อชวนกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “อันที่จริงเหมาะแค่ใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับต้น หากระดับกลางขึ้นไป คงตรวจจับไม่ได้แล้ว”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่หมายความว่า ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนงั้นสิ?
คล้ายกับล่วงรู้ความคิดของฟางผิง เฉินจื่อชวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมีส่วนน้อยมากที่จะเดินทางด้วยรถไฟ ทั้งปีมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และเมื่อพวกเขาเข้าสู่ระดับกลาง ข้อมูลของพวกเขาแทบจะถูกบันทึกจนหมดแล้ว หากมาจริงๆ พวกเราสามารถเห็นข้อมูลตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วแล้ว…”
ฟางผิงอยากถามว่า ถ้าไม่ใช้ข้อมูลของตัวเองซื้อตั๋ว แล้วจะรู้ได้ยังไง?
แต่พอมาคิดดู หากอยากจะปิดบังตัวตนจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางคงมีวิธีอยู่แล้ว ขับรถส่วนตัวหรือจะเดินเท้าล้วนได้ทั้งนั้น
ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อ ก่อนจะมีเคาน์เตอร์หนึ่งว่างพอดี
เฉินจื่อชวนรีบนำฟางผิงไปลงทะเบียน ด้านหลังเคาน์เตอร์มีหญิงสาวสวมชุดเครื่องแบบนั่งอยู่
เห็นฟางผิง เธอก็เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณผู้ชายรบกวนแสดงบัตรประชาชนหรือบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ด้วย ถ้าไม่มีบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ ใช้บัตรประชาชนแทนได้ค่ะ”
ฟางผิงควักบัตรประชาชนออกมา ส่ายหัวว่า “ผมไม่มีบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วย”
เฉินจื่อชวนกำชับว่า “คุณฟางเป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้”
หญิงสาวในเครื่องแบบเข้าใจทันที ตรวจสอบบัตรประชาชนของฟางผิงแล้ว ไม่ได้ถามถึงจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัย แต่ดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์แทน
สักพักหญิงสาวค่อยเอ่ยว่า “คุณฟางใกล้จะทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว?”
เห็นได้ชัดว่าในคอมพิวเตอร์ยังมีข้อมูลบางอย่างของฟางผิงอยู่ รวมถึงผลการตรวจร่างกายของเขา
“อืม”
“ยังต้องรบกวนคุณฟางให้ความร่วมมือ ทำการตรวจสอบง่ายๆ สักครู่…”
ขณะที่หญิงสาวพูด ก็หยัดกายขึ้นบอกเป็นนัยให้ฟางผิงมายื่นบนเครื่องตรวจปราณเล็กๆ ที่อยู่ข้างเคาน์เตอร์
ฟางผิงเหลือบตามอง เครื่องนั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องที่ใช้วัดน้ำหนักส่วนสูงตามข้างทาง แต่ดูแล้วมีความซับซ้อนกว่า ทั้งขนาดใหญ่กว่าอยู่บ้าง
เทียบกับเครื่องตรวจปราณขนาดใหญ่แล้ว เครื่องนี้จะไปทางเปิดโล่งมากกว่า
เขาเดาอย่างเลือนรางว่าอาจจะเป็นเครื่องตรวจปราณ ฟางผิงไม่คัดค้านอะไร เดินเข้าไปยืนประจำที่
เขายืนได้ไม่นาน ไฟที่อยู่ด้านข้างเครื่องก็เปล่งสีแดงออกมาสองดวง
หญิงสาวและเฉินจื่อชวนต่างสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หญิงสาวในชุดเครื่องแบบมโนภาพในหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ได้พูดอะไร
เฉินจื่อชวนกลับเอ่ยอย่างตกตะลึง “หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นที่รวมตัวของอัจฉริยะจริงๆ ด้วย!”
“หื้ม?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างงุนงง “ตรวจเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“ตรวจได้ง่ายๆ ไฟแดงดวงเดียว หมายความว่าปราณทะลุหนึ่งร้อยห้าสิบแคลแล้ว ไฟแดงสองดวงคืออยู่ในช่วงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง นายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ นั่นคงหมายความว่าเป็นคนธรรมดาที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว คนพวกนี้มีปราณไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งอยู่แล้ว”
เฉินจื่อชวนช่วยอธิบาย ทั้งยังเอ่ยอย่างอิจฉาอยู่บ้าง
“คุณฟาง รอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้แล้ว ไม่นานคงทะลวงขั้นสองหรือขั้นสามได้แน่”
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่คุณพูด” ฟางผิงหัวเราะ
ตอนนี้หญิงสาวกลับมาประจำที่นั่งแล้ว ก่อนจะทำบัตรที่ขนาดพอๆ กับบัตรประชาชนออกมาหนึ่งใบ ขอความร่วมมือให้ฟางผิงถ่ายรูป หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที บัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์จึงมาอยู่ในมือฟางผิง
ชื่อ : ฟางผิง
เพศ : ชาย
บ้านเกิด : ห้อง 101 แถวที่ 6 ย่านจิ่งหูหยวน เขตหูซิน เมืองหยางเฉิง มณฑลหนานเจียง
มหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
ระดับ : ขั้นหนึ่ง
ฟางผิงพลิกสิ่งที่เรียกว่า ‘บัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์’ ขึ้นมาดู แทบไม่ต่างอะไรกับบัตรประชาชน มีรูปของเขาอยู่ด้วย ค่อนข้างซอมซ่อทีเดียว
พนักงานหญิงทำเป็นอธิบายว่า “คุณฟาง นี่เป็นบัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ชั่วคราว รอคุณเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทางมหาวิทยาลัยจะทำบัตรให้พวกคุณพร้อมกันอีกครั้ง”
“แล้วที่บอกว่าขั้นหนึ่ง…”
ฟางผิงชี้ที่ข้อมูลระดับ เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์สักหน่อย
หญิงสาวอธิบายอีกครั้ง “ผู้ที่ใกล้ทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์และหลอมกระดูกครั้งที่สอง จะได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะค่าปราณ หรือพลังการทำลายล้าง แทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์สามขั้นแรกจะใช้ปราณเป็นตัวกำหนด ถ้าระดับสูงกว่านั้นจะตัดสินด้วยวิธีเฉพาะ รอคุณเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มหาวิทยาลัยจะถ่ายทอดเรื่องพวกนี้เอง”
ในความเป็นจริง หญิงสาวรู้สึกแปลกใจกับฟางผิงอยู่บ้าง
ตามหลักแล้ว ผู้ที่พร้อมทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์และหลอมกระดูกครั้งที่สอง ทั้งที่ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย นั่นแปลว่าที่บ้านต้องมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ และยังต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความสามารถไม่อ่อนด้อยด้วย
แต่ฟางผิงกลับมีปัญหาเรื่องความรู้พื้นฐานทั่วไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยรู้อะไร
นี่หมายความว่า เขาสัมผัสความรู้พวกนี้มาไม่เยอะพอ หรือจะเป็นประเภทที่ตั้งใจฝึกวิชาด้วยตัวเอง?
หญิงสาวคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร
หน้าที่ของพวกเธอคือรับผิดชอบลงทะเบียนคนที่มาครั้งแรกเท่านั้น
เรื่องอื่นๆ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอควรให้ความสนใจ
เมื่อลงทะเบียนเสร็จ หญิงสาวค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณฟาง ทำการพิสูจน์ตัวตนเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ฟางผิงกล่าวขอบคุณ ก่อนจะมองไปทางเฉินจื่อชวน เขารีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เสร็จแล้ว บัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ชั่วคราวจำเป็นต้องใช้ในหลายเรื่อง มีประโยชน์ยิ่งกว่าบัตรประชาชนซะอีก นายสามารถใช้แทนบัตรประชาชนได้ แต่จำกัดภายในเวลาสามเดือนเท่านั้น แน่นอนว่า ถึงตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยจะช่วยทำบัตรอย่างเป็นทางการให้นายเอง”
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเฉินจื่อชวนจะเสริมว่า “ถ้านายต้องการพกอาวุธเย็น ต้องทำการพิสูจน์ตัวตนเหมือนกัน สมาพันธ์ศิลปะการต่อสู้สามารถช่วยเหลือได้”
“เข้าใจแล้ว ลำบากพี่เฉินไม่น้อยเลย”
ฟางผิงขอบคุณอีกครั้ง สิ่งที่เฉินจื่อชวนบอกคงจะคล้ายกับใบอนุญาตพกปืน เรื่องนี้ไม่ต้องพูดมาก ฟางผิงก็เข้าใจได้
“ไม่ต้องเกรงใจ”
“…”
บอกลาเฉินจื่อชวนแล้ว ฟางผิงจึงถือกระเป๋าสัมภาระออกมาจากสถานีรถไฟ
ช่วงเวลาที่ออกมาจากสถานี ฟางผิงนั้นอยากหัวเราะอยู่บ้าง มักรู้สึกว่าผู้ฝึกยุทธ์กับคนทั่วไปนั้นแทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ลงจากรถไฟ ยังต้องทำบัตรยืนยันตัวตนใหม่
เขาเงยหน้ามองฟ้าที่กว้างขวางสุดลูกหูตา ตึกใหญ่หรูหราตั้งเรียงราย รถยนต์แล่นฉิว รวมถึงผู้คนที่เดินกันพลุกพล่าน
เซี่ยงไฮ้แตกต่างจากหยางเฉิงอย่างสิ้นเชิง
“ไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ก่อน ดูว่าที่นั่นมีห้องให้เช่าหรือเปล่า หาที่พักได้แล้ว ค่อยหาลู่ทางทำเงินอีกที”
ฟางผิงวางแผนในใจ ในเมืองที่แปลกใหม่นี้ ไร้ญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งหมดทั้งมวลทำได้แค่เพิ่งตัวเอง
เปลี่ยนเป็นนักเรียนมอปลายคนอื่น คงจะหัวหมุนทำอะไรไม่ถูก
แต่ฟางผิงไม่ใช่แบบนั้น เขาแค่รู้สึกตกตะลึงไปบ้าง
ออกห่างจากบ้าน ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล ไม่มีน้องสาวคอยจู้จี้จุกจิก ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจคุ้นชินได้อยู่แล้ว
“ไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่เจอยัยหน้ากลม จะผอมลงหรือเปล่า…”
ฟางผิงลากกระเป๋าเข้าไปในฝูงชน เอ่ยพึมพำเบาๆ ถ้าน้องสาวเปลี่ยนแปลงรูปร่างใบหน้าของตัวเอง เขาไม่เห็นด้วยแน่
————————