ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 89 หว่านล้อม
ตอนที่ 89 หว่านล้อม
หลี่เฉิงเจ๋อเป็นคนฉลาด การสังเกตสีหน้าและคำพูดเป็นความสามารถพื้นฐานของคนประเภทนี้อยู่แล้ว
ตอนที่ฟางผิงชวนเขามากินข้าวเย็น เขาก็รู้แล้วว่าฟางผิงมีเรื่องอยากคุยด้วย
หลายวันมานี้ฟางผิงออกที่พักตั้งแต่เช้า กลับมาดึกดื่น เขารู้เช่นกันว่าฟางผิงยุ่งตัวเป็นเกลียว
แต่เรื่องส่วนตัวของผู้ฝึกยุทธ์ หากอีกฝ่ายไม่พูด อย่าได้สืบเด็ดขาด นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาเรียนรู้มาตลอดหลายปี
ตอนที่ฟางผิงหยุดบทสนทนาเตรียมจะเปิดปากอีกครั้ง หลี่เฉิงเจ๋อก็รู้ว่าแล้วประเด็นสำคัญกำลังมาแล้ว
—
“ผู้จัดการหลี่สามารถเลื่อนขั้นจนเป็นผู้จัดการระดับหนึ่งของโรงแรม คงทำงานมานานแล้วสินะครับ?”
“ผมอยู่ที่โรงแรมนี้มาแปดปีแล้ว”
หลี่เฉิงเจ๋อไม่คิดปิดบัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แปดปีก่อน หลังจากผมจบจากมหาวิทยาลัยการเงินของเซี่ยงไฮ้ ก็เข้าทำงานที่โรงแรมมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ทำจนถึงสามปีก่อน ค่อยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้าน”
ความจริงคำพูดนี้เปิดเผยรายละเอียดไม่น้อย ทำงานมาห้าปีค่อยได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้าน ต่อจากนั้นอีกสามปีก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่าจะได้เลื่อนขั้นอีก
แม้ว่าโรงแรมมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้จะดูหรูหรา แต่ต่อให้จะหรูหรายังไง ยังคงเป็นแค่กิจการธรรมดาที่อาศัยแค่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เท่านั้น
นี่เป็นเพียงกิจการที่ใช้รับรองครอบครัวของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่
ส่วนระบบบุคลากรของโรงแรม หลายวันมานี้ฟางผิงพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
ผู้จัดการใหญ่ รองผู้จัดการ ผู้จัดการสาขา ผู้จัดการแผนก หัวหน้าระดับสูง หัวหน้า พนักงาน
หลี่เฉิงเจ๋อที่จบการมหาวิทยาลัยการเงินเซี่ยงไฮ้นับว่าประวัติการศึกษาใช้ได้ทีเดียว
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ สามารถเลื่อนขั้นจนเป็นผู้จัดการแผนกได้ ถือว่าใช้ความสามารถของตัวเองจริงๆ…การประจบสอพลอก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกัน
ใช้เวลาถึงแปดปี ค่อยได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการระดับกลางของโรงแรมที่ไม่ได้สลักสำคัญ นี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องโดดเด่นอะไร
ที่จริงฟางผิงคาดเดาได้นานแล้วว่าหลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้มีภูมิหลังที่พิเศษ
นับจากวันแรกที่เจอกัน คุณป้าที่จุดต้อนรับคนนั้นก็ดูไม่ค่อยเกรงใจเขาเท่าไหร่ บางทีอาจจะไม่ใช่ความไม่เกรงใจ แต่เป็นการเมินเฉยอย่างหนึ่งมากกว่า
คุณป้าคนนั้นต่างหากที่พอมีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้าง สามารถรับตำแหน่งภายในมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นพนักงานชั่วคราว ก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี ทั้งหลี่เฉิงเจ๋อยังเกรงใจกับฟางผิงที่ไม่ได้ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ เหมือนกลัวฟางผิงไม่รู้ว่าเขากำลังประจบอยู่เสียอย่างนั้น
ฟางผิงยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ เป็นแค่นักศึกษาทั่วไป
จากเรื่องพวกนี้พอจะทำให้เขาเข้าใจหลายอย่างแล้ว
ฟางผิงได้ยินประโยคกำกวมของเขา จึงไม่คิดอ้อมค้อมอีก เอ่ยตามตรง “ไม่ทราบว่าผู้จัดการหลี่ได้เงินต่อปีเท่าไหร่?”
“หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน”
“ยังถือว่าใช้ได้ แต่ในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ เงินหนึ่งแสนห้าแทบไม่เพียงพอให้หยิบยกมาพูดถึงด้วยซ้ำ”
ฟางผิงเอ่ยต่อ “แล้วผู้จัดการสาขาล่ะครับ?”
“สามแสนหยวน สูงกว่าพวกเราหนึ่งเท่า”
“ผู้จัดการหลี่คิดว่าตัวเองต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเป็นผู้จัดการสาขาได้?”
หลี่เฉิงเจ๋อเอ่ยด้วยยิ้มเจื่อน “หากโชคดี อาจจะใช้เวลาสามปี นานหน่อย คงจะประมาณห้าปี แม้ผมจะไม่มีภูมิหลังโดดเด่น แต่ถ้าทำงานขยันขันแข็งและตั้งอกตั้งใจ พวกเพื่อนร่วมงานไม่ฟ้องเรื่องอะไร ทั้งผู้จัดการใหญ่ยอมรับ…”
“รอผู้จัดการหลี่กลายเป็นผู้จัดการสาขาคงจะเกือบสี่สิบปีแล้ว เลื่อนขึ้นไปเป็นรองผู้จัดการอีก ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี? ไหนจะตำแหน่งผู้จัดการใหญ่?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยยิ้มบาง “บางทีถ้าทุกอย่างราบรื่น รอจนห้าสิบปีแล้ว คุณอาจได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการใหญ่ แต่โรงแรมมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่สลักสำคัญ กลายเป็นผู้จัดการใหญ่แล้วยังไง? ผมว่านักศึกษาส่วนมากที่จบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ อาจจะเริ่มต้นได้สูงกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“นี่คือความจริง พวกเรากับผู้ฝึกยุทธ์เทียบกันไม่ได้…”
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้ปฏิเสธ ครุ่นคิดเล็กน้อยเอ่ยว่า “ดังนั้นผมเลยวางแผนว่าอีกไม่กี่ปีให้หลัง จะเก็บเงินสักก้อนไปสมัครคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ฝึกฝนตัวเองให้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
“เก็บเงินสมัครคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?”
“สักสองสามปีน่าจะได้แล้วครับ”
“สองสามปีต่อจากนี้คงอายุสามสิบกว่าแล้ว ปราณจะลดลงอย่างหนัก มากสุดน่าจะพอทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งเท่านั้น”
ครั้งนี้หลี่เฉิงเจ๋อไม่รับบทสนทนาอีก เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คุณฟางต้องการอะไรพูดมาตามตรงเถอะครับ หลายวันนี้ แม้จะไม่ได้พูดคุยกับคุณฟางเท่าไหร่ แต่ช่วงเวลาสั้นๆ คุณฟางก็สร้างความประทับใจที่พิเศษให้ผม…”
ความพิเศษนี้มาจากเรื่องที่ฟางผิงดูมีประสบการณ์ชีวิต
เขาไม่ใช่นักศึกษาปีสูงในมหาวิทยาลัย เป็นแค่เด็กมอปลายที่เพิ่งจบการศึกษาเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ดูบัตรประชาชนของฟางผิง ไม่ดูใบหน้าอ่อนวัยนั้นของเขา ใครจะเชื่อว่าฟางผิงอายุแค่สิบแปดปี?
หลี่เฉิงเจ๋อคิดว่าตอนที่เขาอายุยี่สิบแปดปี ยังไม่ดูโตเป็นผู้ใหญ่เท่าฟางผิงด้วยซ้ำ
รวมทั้งอีกฝ่ายหลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ไม่มีนิสัยยโสโอหัง ปฏิบัติกับพนักงานทั่วไปอย่างเกรงอกเกรงใจ คนแบบนี้ ใครเห็นต่างเดาว่าต้องมีอนาคตไกล
หลายครั้งที่มองสิ่งเล็กๆ ให้กลายเป็นภาพใหญ่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่หลี่เฉิงเจ๋อตั้งใจประจบประแจงเขา
ฟางผิงไม่คิดอ้อมค้อมอีก เอ่ยว่า “ผมมาที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ไม่ใช่แค่มาเรียนที่นี่สี่ปีเท่านั้น ยิ่งเดินในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์นานเท่าไหร่ ก็ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรและค่าใช้จ่ายมากเท่านั้น ผมไม่คิดจะรอวางแผนหาเงินตอนเรียนจบ ดังนั้นหลายวันนี้ผมเลยอยากทำกิจการของตัวเองขึ้นมา…”
ฟางผิงอธิบายแผนของเขาคร่าวๆ ด้วยใบหน้าจริงใจ
“ผมมาเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรก ในสถานที่แปลกใหม่แห่งนี้ ผู้จัดการหลี่นับว่าเป็นคนที่ผมคลุกคลีด้วยมากที่สุด ตอนนี้บริษัทของผมยังเป็นภาพในจินตนาการ เงินทุนก็มีอย่างจำกัด พูดได้ว่า บริษัทแบบนี้ไม่คุ้มค่าที่จะเข้าร่วมด้วยซ้ำ อย่างน้อยคงจะหยิบยกมาพูดกับคนที่เงินเฉลี่ยรายปีแสนห้า ไม่นานอาจจะแตะถึงสามแสนไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมขาดคนที่จะช่วยแบ่งเบาภาระในตำแหน่งผู้จัดการ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว พอเปิดเรียน ผมกลัวว่าจะไม่มีเวลามาดูแลเรื่องนี้ ดังนั้นผมเลยต้องการผู้จัดการที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ ทั้งเพียงพอที่ให้คนอื่นไว้ใจมาช่วยเหลือผม”
พูดจบ ฟางผิงบีบมือเล็กน้อย ไม่เปิดโอกาสให้หลี่เฉิงเจ๋อพูด กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ผมพูดไปคือข้อเสีย ตอนนี้จะพูดข้อดีบ้าง อย่างแรก ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้ว ไม่นานผมจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ถึงกระทั่งอาจจะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามก่อนขึ้นปีสอง”
หลี่เฉิงเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ปฏิเสธความจริงพวกนี้
ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สองมีโอกาสสูงที่จะทะลวงขั้นสามในเวลาหนึ่งปี แน่นอนว่ามีโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนหวังจินหยางไปซะหมด
“อย่างที่สอง ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายมาหาคุณ กล่าวตามตรงคือต้องการให้คุณช่วยเหลือ หากคุณตอบรับ คงต้องนับว่าคุณช่วยเหลือผมในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทะลวงขั้นสามภายในหนึ่งปี น้ำใจนี้ต้องมีค่าอยู่แล้ว ผู้จัดการหลี่คงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ใช่ไหม?”
“ไม่ปฏิเสธ น้ำใจของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม มีค่ายิ่งกว่าที่คุณฟางคิดไว้เสียอีก”
“อย่างที่สาม ไม่ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เป็นคำพูดแค่ลมปากเท่านั้น ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่ผมสัญญาว่าภายในสามปี ผมจะทำให้ผู้จัดการหลี่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ให้ได้ ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไร ไม่ต้องเสียค่าสมัคร ทั้งไม่ต้องซื้อยาบำรุงเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยตัวเอง ผมคิดว่าคำสัญญาในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้คงน่าเชื่อถือแล้ว”
“แน่นอน!”
หลี่เฉิงเจ๋อเอ่ยยืนยัน “นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไป ผมไม่กล้าเชื่อหรอก แต่คำสัญญาของนักศึกษาชั้นนำของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ผมเชื่อแน่นอน”
หมอนี่ให้ความร่วมมือเกินไปแล้ว ให้ความร่วมมือจนทำให้ฟางผิงคิดว่าเขาจะตอบรับ กลับคาดไม่ถึงว่าหลี่เฉิงเจ๋อจะเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “คุณฟาง ผมเห็นด้วยกับเรื่องที่คุณพูดทั้งหมด แต่เหมือนที่คุณบอก ผมไม่กล้ามั่นใจกับอนาคตของบริษัท แต่คำสัญญาที่คุณพูดตอนนี้เพียงพอให้ผมสละเวลาสามปีเพื่อช่วยเหลือคุณจริงๆ แต่หลังจากสามปีนั้นล่ะ ถ้าบริษัทของคุณไปไม่ไหว ขอโทษด้วยที่คำพูดของผมระคายหูอยู่บ้าง…ใช่ เวลานั้นผมกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่ผมจะเริ่มออกเดินใหม่อีกครั้ง แม้จะเริ่มได้สูงกว่าเดิม แต่เริ่มในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ทำให้ผมต้องละทิ้งความพยายามในสายงานที่ทำมาถึงแปดปี ผมยังลังเลอยู่บ้าง คุณพูดถึงบริษัทส่งของ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน อาจจะทำผลงานไม่เป็นดังที่คุณหวังเสมอไป ถึงเวลานั้นหากคุณไม่พอใจ ผมคงไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้”
“สิ่งที่คุณกังวลคืออนาคต?”
“ใช่แล้ว ช่วงเวลาสามปีกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้คุณจะไม่จ่ายค่าตอบแทนใดๆ ให้ผมใช้เงินสี่แสนห้าแลกกับการกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ผมคาดว่า เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงรู้ดีว่าควรเลือกอะไร แต่สิ่งที่คุณซื้อไปไม่ใช่แค่เวลาสามปีของผม อาจจะถ่วงรั้งเวลาในอนาคตอีกหลายปี ค่าตอบแทนนี้ต่างหากที่มากยิ่งกว่าการกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
ฟางผิงเผยรอยยิ้ม “ผมชอบคบค้าสมาคมกับคนมีไหวพริบ คุณฉลาดจริงๆ ถ้า…ผมบอกว่าถ้า สามปีให้หลังผมกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง ทำให้มหาวิทยาลัยจับคุณลงในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมนี้ได้ คุณว่าเป็นไปได้หรือเปล่า?”
ในที่สุดหลี่เฉิงเจ๋อก็ดวงตาเป็นประกาย พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ประธานฟาง ผมยินดีอย่างมากที่จะรับใช้คุณ!”
สามปีให้หลัง อย่าพูดถึงขั้นสี่เลย แม้จะขั้นสาม หากฟางผิงอยากจะช่วยเขาจริงๆ มีโอกาสน้อยมากที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้จะปฏิเสธเด็กหนุ่ม
ผู้จัดการใหญ่ในโรงแรมเล็กๆ ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว?
ฟางผิงให้คำสัญญาเรื่องผลประโยชน์สามปีในอนาคต ทั้งยังเตรียมทางหนีทีไล่ให้เขาไว้ดิบดี ยังเป็นทางที่ดีกว่าที่เขาคิดว่าซะอีก
เป็นแบบนี้แล้วยังต้องลังเลอะไร!
ประสบสอพลอมาหลายปี ไม่ใช่ว่าเพื่อหาโอกาสแบบนี้หรอกเหรอ?
ความจริงเขาตัดสินใจได้ตั้งแต่ตอนที่ฟางผิงพูดเรื่องน้ำใจของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ช่วยเหลือในเวลาที่ยากลำบากพวกนั้นแล้ว
เขายังอายุน้อย ถ้าตอนนี้ไม่เดิมพันสักครั้ง จะให้เป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิตงั้นเหรอ?
หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ผู้จัดการแผนกจะนับเป็นตำแหน่งสำคัญอะไรอีก?
ก่อนหน้านี้ต่อรองออกไปมั่วซั่ว เพราะอยากหยั่งเชิงนิสัยของเจ้านายในอนาคตตัวเองเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าฟางผิงจะใจป้ำกว่าที่เขาคาดไว้
นอกจากนี้ สามปีเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง…
คำพูดนี้พิสูจน์ความเชื่อมั่นของฟางผิงได้!
นักเรียนที่เพิ่งจบมอปลาย ตัดสินใจสร้างกิจการก่อนเข้ามหาวิทยาลัย รู้จักใช้ฐานะและคุณค่าของตัวเอง ใช้ค่าตอบแทนที่เล็กที่สุดแลกเปลี่ยนเป็นประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด
คนแบบนี้ แม้จะทำบริษัทล่มละลาย นั่นแล้วยังไง?
หลังจากจบมหาวิทยาลัย หากไม่ทำธุรกิจ อาจจะรับตำแหน่งผู้บัญชาการ เขาเป็นผู้ช่วยให้ผู้บัญชาการ ยังไงก็ดีกว่าทำงานในโรงแรมแห่งนี้อยู่แล้ว
แค่คำว่า ‘ประธานฟาง’ หลุดออกมาก็ทำให้ฟางผิงหลุดขำได้แล้ว
หลี่เฉิงเจ๋อเปลี่ยนใจเร็วและกะทันหันกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก ดูธรรมชาติอย่างมาก
“งั้นหวังว่าพวกเราจะร่วมมือได้อย่างราบรื่น!”
“ไม่ ให้ผมได้รับใช้คุณต่างหาก!”
หลี่เฉิงเจ๋อยืนหยัดจะใช้คำว่า ‘รับใช้’ เวลานี้ฟางผิงอาจไม่สนใจ แต่อนาคตล่ะ?
ในเมื่อประจบก็ต้องประจบให้ถึงที่สุด จะมาเลิกล้มกลางคันไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ได้ งั้นเริ่มตั้งแต่นี้ คุณคือ…ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทพวกเรา!”
ฟางผิงอยากจะพูดชื่อบริษัท กลับพบว่าเขายังไม่จดทะเบียน ทั้งลืมเรื่องตั้งชื่อไปเลย
หลี่เฉิงเจ๋อคล้ายจะตระหนักจุดนี้ได้ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
เขาจะทำธุรกิจได้จริงๆ ใช่ไหม?
หลี่เฉิงเจ๋อยังคงเห็นดีเห็นงามอย่างเคย เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบคุณความสนับสนุนของประธานฟาง แม้ผมจะไม่เคยทำบริษัทส่งของมาก่อน แต่เมื่อทำอะไรแล้ว ต้องทำถึงที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้สายงานผมเกี่ยวข้องกับเรื่องอาหาร ก่อนหน้านี้คุณพูดเรื่องแพลตฟอร์มสั่งอาหารในอินเทอร์เน็ต ผมคิดว่าฐานะของผมตอนนี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง โรงแรมแห่งนี้อยู่ภายใต้ชื่อของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ แม้ผมจะเป็นผู้จัดการแผนกแม่บ้าน แต่หลายปีนี้ สิ่งที่ผมทำบ่อยที่สุดกลับเป็นการต้อนรับแขก เพราะต้องออกไปข้างนอกเป็นประจำ ผมเลยคุ้นเคยกับเพื่อนในแวดวงเดียวกันของเมืองมหาวิทยาลัยอยู่บ้าง…”
ตอนนี้หลี่เฉิงเจ๋อเริ่มแสดงศักยภาพของตัวเองแล้ว
ฟางผิงไม่คุ้นเคยกับเซี่ยงไฮ้เลยมาหาเขา
รอเขาคุ้นชินที่นี่ กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว ถึงเวลานั้นหากเขาที่อยู่นอกแวดวงอาชีพนี้ ไม่อาจแสดงศักยภาพเรื่องนี้ได้ อาจจะถูกไล่ออก
รับตำแหน่งที่โรงแรมมาแปดปี สิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่เงินหนึ่งแสนห้าต่อปี หากให้ความสำคัญเงินพวกนั้นแทนทุกอย่าง นั่นเท่ากับเป็นคนไร้ประโยชน์
สิ่งที่พนักงานบริการอย่างพวกเขาได้รับมากที่สุดคือการสั่งสมเส้นสายและทรัพยากรภายใต้ชื่อของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ต่างหาก
ผู้จัดการระดับสูงของโรงแรมใหญ่ได้เงินรายปีเยอะจนน่าตกใจ ปกติก็ถูกหว่านล้อมบ่อยๆ ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทั้งไม่ใช่ถูกหว่านล้อมเพระความสามารถผู้จัดการของเขา แต่คนที่ระดับสูงกว่า สามารถนำทรัพยากร รวมถึงแขกของโรงแรมและเส้นสายไปได้ด้วย…
ตอนนี้ฟางผิงนับว่าได้รับการปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่เขาหยิบยืมใช้กลับไม่ใช่ความสามารถหรือหน้าตาของตัวเอง
สิ่งที่ทำให้หลี่เฉิงเจ๋อตัดสินใจอย่างว่องไวคือฐานะของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ต่างหาก
ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหลี่เฉิงเจ๋อ ถึงกระทั่งมองข้ามเรื่องตั้งชื่อบริษัทด้วยซ้ำ เพราะใจเขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
ฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ เขาต้องรักษาไว้ดีๆ ทั้งในอนาคตอาจจะได้ตำแหน่งและประโยชน์จากเรื่องนี้อีก
หวังจินหยางที่เป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงอาจพูดได้ว่าสามารถทำให้คนใหญ่คนโตในเมืองปฏิบัติอย่างเกรงอกเกรงได้ แต่เขาไม่อาจทำถึงจุดนี้ได้หรอก
—
เมื่อทิ้งเรื่องบริษัทส่งของให้หลี่เฉิงเจ๋อแล้ว ฟางผิงก็ไม่คิดปวดหัวกับเรื่องนี้อีก
เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือการหลอมกระดูกครั้งที่สาม
ขีดจำกัดปราณของเขาอยู่ที่หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าแคลมายี่สิบวันแล้ว ฟางผิงรู้สึกว่าโอกาสทะลวงนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
หลี่เฉิงเจ๋อที่เห็นเจ้านายคนใหม่วิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น จำต้องกลืนคำถามที่ว่า “แล้วตกลงบริษัทพวกนี้จะชื่ออะไรล่ะ?” ลงไปก่อน
————————