ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 90 หลอมกระดูกครั้งที่สาม
ตอนที่ 90 หลอมกระดูกครั้งที่สาม
ภายในห้อง
ฟางผิงฝึกเคล็ดหลอมกระดูกครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อก่อนเขาฝึกวิชาและฝึกเคล็ดหลอมกระดูกแค่วันละหนึ่งครั้งก็สิ้นเปลืองมหาศาลแล้ว ถึงจะเป็นตอนที่มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ยังคงอ่อนเพลียเมื่อยล้าได้เหมือนกัน
แต่ครั้งนี้ฟางผิงฝึกเคล็ดหลอมกระดูกติดกันถึงสามครั้งแล้ว
“ทะลวงสิ!”
ฟางผิงคำรามในใจ ขีดจำกัดสองร้อยนี้ติดมานานแล้ว!
หลังจากมีระบบช่วยเหลือ แม้จะเป็นขีดจำกัดหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าหรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้า เขาใช้ทะลวงเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แต่ขีดจำกัดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าแคล เขากลับติดอยู่เกือบหนึ่งเดือน!
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…
สองชั่วโมงผ่านไป…
ตอนที่ฟางผิงทะลวงปราณและเส้นเลือดครั้งที่หกเสร็จสิ้น จู่ๆ กระดูกทั้งร่างกลับเคลื่อนไหวขึ้นมา
ใช่แล้ว กระดูกกำลังเคลื่อนไหว
กล้ามเนื้อเกิดการบีบตัวเช่นกัน
ฟางผิงที่ผ่านการหลอมกระดูกมาสองครั้ง ใบหน้าเผยความดีใจ การหลอมกระดูกครั้งที่สามเริ่มขึ้นแล้ว!
ผิวภายนอกมีเลือดเสียถูกขับออกมาประปราย
ฟางผิงไม่กล้าชักช้า รีบหยัดกายขึ้นเข้าสู่สภาวะจวงกงทันที
ตอนนี้จวงกงเท่านั้นที่จะทำให้การทะลวงเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด
—
ยี่สิบนาทีต่อมา ฟางผิงกลายเป็น ‘คนผิวดำ’ โดยสมบูรณ์แบบ
ทั่วทั้งร่างถูกเลือดเสียปกคลุม ดูดำคล้ำไปหมด
แต่ฟางผิงกลับดีใจจนหน้าบาน
“ในที่สุดก็สำเร็จ!”
“หลอมกระดูกครั้งที่สาม เหล่าหวังยังสู้ฉันไม่ได้เลย!”
“ฮ่าๆ…”
หาได้ยากที่ฟางผิงจะมีเผยสีหน้าดีใจถึงขนาดนี้ แต่ครั้งนี้เขาดีใจจริงๆ ติดอยู่ที่เดิมมานานเกินไปแล้ว!
ฟางผิงรีบตรวจดูตัวเลขตรงหน้า ไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่
ทรัพย์สิน : 2,200,000
ปราณ : 182 แคล (205 แคล)
จิตใจ : 175 เฮิรตซ์ (209 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว ขีดจำกัดปราณขยับขึ้นหกแคล ค่าจิตใจเพิ่มสูงถึงสิบเฮิรตซ์
นี่แสดงให้เห็นว่า หลังจากหลังจากหลอมกระดูกครั้งที่สาม ร่างกายของฟางผิงก็มีการขยับขยายขอบเขตขึ้นอย่างมาก
การจะเพิ่มปราณในระดับสองร้อยขึ้นไปให้มากขึ้นทีเดียวถือเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
“หลอมกระดูกครั้งที่สามสำเร็จ คงจะปล่อยให้ยืดยื้ออยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว”
ฟางผิงตัดสินใจแล้ว ต้องรีบทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ให้เร็วที่สุด
การหลอมกระดูกครั้งที่สามสิ้นเปลืองทรัพยากรและเวลาของเขาเป็นอย่างมาก ถ้าเขาเลือกทะลวงด่านกลางเดือนมิถุนายน บางทีตอนนี้อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองแล้วเสียด้วยซ้ำ
หลอมกระดูกสามครั้งเพียงพอแล้ว แม้จะพูดว่าสามารถหลอมกระดูกได้อีก ฟางผิงก็ไม่คิดจะดึงดันต่อ
ฟางผิงพอจะรู้ประโยชน์ที่หลอมกระดูกล่วงหน้ามาอยู่บ้าง
เพื่อสร้างพื้นฐานให้กระดูกในภายหลัง ช่วงเวลาที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งหลอมกระดูกจำนวนครั้งมากเท่าไหร่ วันข้างหน้าก็จะสามารถหลอมกระดูกแขนขาและกระดูกแกนกลางได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น
หวังจินหยางเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาเล็กน้อย หลอมกระดูกบ่อยเท่าไหร่ ภายหลังจะได้รับประโยชน์จากการหลอมกะโหลกอย่างมากเหมือนกัน
การหลอมกะโหลกเป็นจุดที่หลอมยากที่สุดของร่างกายมนุษย์
ขั้นหนึ่งขั้นสองหลอมกระดูกแขนขา ขั้นสามหลอมกระดูกแกนกลาง ส่วนหลอมกะโหลกตอนอยู่ขั้นสี่หรือไม่ หวังจินหยางไม่ได้บอกไว้ ฟางผิงเลยไม่รู้เหมือนกัน
แต่การหลอมกะโหลกยังเป็นเรื่องที่จำเป็น ทั้งอาจจะต้องหลอมตอนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง
ศีรษะนั้นเป็นส่วนสำคัญ การหลอมกระดูกขึ้นไปจนถึงศีรษะมีความเสี่ยงอย่างมาก
ตอนนี้ฟางผิงหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว วันหลังคงพอจะช่วยเรื่องหลอมกะโหลกไม่น้อย
จากกลางเดือนเมษายนที่ฝึกวิชามาจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ผ่านมาสี่เดือน ฟางผิงหลอมกระดูกครั้งที่สามสำเร็จแล้ว!
“ฟื้นฟูค่าต่างๆ กลับมาจะสิ้นเปลืองเกินไป อย่าเพิ่งเลยดีกว่า ให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองสักสองวัน สองวันนี้เราก็ต้องพักผ่อนให้ดีๆ สักหน่อย”
“รอเข้าเรียนค่อยทะลวงด่านแล้วกัน จะได้ยื่นเรื่องขอทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยด้วย ขั้นหนึ่งเหมือนจะได้รับยาบำรุงฟรี จะได้ประหยัดยาเสริมสร้างกระดูกและยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งด้วย”
ฟางผิงยังไม่ไปอาบน้ำ นอนลงพื้นไปทั้งแบบนั้น ปากพึมพำไม่หยุด
เหลืออีกสิบกว่าวัน การรายงานตัวจะเริ่มขึ้น ฟางผิงถึงได้ร้อนใจเรื่องหลอมกระดูก
อย่างแรกเมื่อไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ คงไม่อาจทำบางเรื่องได้สะดวกนัก
อย่างเช่นเรื่องบริษัทส่งของ แม้ว่าการหลอมกระดูกครั้งที่สองจะทำให้ได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่ยังไงก็ไม่มีความน่าเกรงกลัวเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์อยู่ดี
ฟางผิงกล้ามั่นใจ พอเปิดบริษัท ปัญหาของเขาคงตามมาเป็นพรวน
เมืองมหาวิทยาลัยไม่ใช่ว่าขาดแคลนบริษัทส่งของ เขามาจากข้างนอก ทั้งไม่ได้หาพันธมิตร อยู่ดีๆ กลับมาแย่งลูกค้าคนอื่น
ใครจะยอมกัน?
คนธรรมดาไม่อาจข่มขวัญคนพวกนี้ได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ทำให้คนหวั่นเกรงได้อยู่แล้ว ยังไงใกล้ๆ นี้ก็มีแค่มหาวิทยาลัยไม่กี่สิบแห่งเท่านั้น
รอขยับขยายไปทั่วเมืองมหาวิทยาลัยแล้ว ความสามารถของฟางผิงพัฒนามากขึ้น คงจะสามารถสยบความไม่พอใจพวกนั้นลงได้
ฟางผิงไม่อยากจัดการตอนที่เรื่องมาถึงตัว วางแผนล่วงหน้าจะมีประโยชน์มากกว่า
ทั้งหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว พอเข้ามหาวิทยาลัยจะสามารถเลือกอาจารย์เก่งๆ ทั้งได้รับความสนใจกว่าคนอื่น
ในมหาวิทยาลัยมีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกครั้งที่สามคนเดียว ทั้งยังทำได้โดยที่อาศัยทรัพยากรของโรงเรียน
เมื่อคำนวณส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ฟางผิงลอบเยาะเย้ยตัวเองอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าตกลงฉันเหมาะจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือเปล่า แต่ความต้องการของฉันมีเยอะอยู่บ้างจริงๆ”
ก่อนหน้านี้เวลาจะทำอะไร เขาชอบไตร่ตรองส่วนได้ส่วนเสียอย่างละเอียดก่อน ไม่มีความหุนหันพลันแล่นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
พวกหวังจินหยางมักบอกว่าเขาไม่เหมือนวัยรุ่น เพราะจิตใจนั้นไม่มีความมุทะลุเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
“ช่างเถอะ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ตอนนี้หลอมกระดูกครั้งที่สามเสร็จสิ้น เป้าหมายเรื่องการเงินยังคงไกลอยู่บ้าง แค่พอสร้างรากฐานได้ก็พอแล้ว หวังว่าหลี่เฉิงเจ๋อจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ฉันยิ่งกว่านี้”
ฟางผิงวางเรื่องในหัวลง วันนี้ควรจะดีใจ ไม่ใช่กลัดกลุ้มแบบนี้
“ใช่สิ จะตั้งชื่อบริษัทว่าอะไรดีนะ?”
ฟางผิงเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“บริษัทส่งของฟางผิง? บริษัทผิงฟาง? แปลกๆ ชะมัด…”
“หยวนฟาง? ฟางหยวน? หยวนผิง? ผิงหยวน?”
“ใช้ตัวอักษรหยวนที่แปลว่ากลมไม่ดีเท่าไหร่ หรือจะชื่อหยวนที่แปลว่าไกลดี หยวนฟาง?”
ฟางผิงลูบคางดำคล้ำของตัวเอง พึมพำว่า “ชื่อนี้ไม่แย่เลย ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรต้องมองไกลเข้าไว้ บริษัทจะพัฒนาไปได้ไกลเหมือนกัน บริษัทส่งของหยวนฟาง ร้านอาหารหยวนฟาง หยวนฟางกรุ๊ป…อืม ชื่อนี้ละกัน ยังไงก็แค่ชื่อบริษัท”
ฟางผิงตัดสินใจลวกๆ เขาไม่ใส่ใจเรื่องชื่อมากอยู่แล้ว
—
ไม่กี่วันหลังจากนั้น หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้ลาออกจากงาน แต่ลาหยุดช่วงหนึ่งแทน
มีเจ้าถิ่นในเซี่ยงไฮ้คนนี้คอยช่วยเหลือ ขั้นตอนจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แม้ผู้จัดการโรงแรมประจำมหาวิทยาลัยจะไม่ใช่บุคคลใหญ่โต แต่ตอนนี้อีกฝ่ายทำเรื่องแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ รวมทั้งเห็นแก่หน้าของมหาวิทยาลัย เมืองมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะมีสักกี่คนที่ไม่ไว้หน้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
การจดทะเบียนธุรกิจจึงถูกดำเนินอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ใช้ชื่อบริษัทส่งของ แต่ตั้งว่า บริษัทหยวนฟางจำกัด
ขอบเขตกิจการนั้นค่อนข้างกว้าง อาหาร ส่งของ รวมทั้งไอที ฟางผิงแทบไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเจ๋อจัดการได้ยังไง
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้รีบรับพนักงาน แต่เรียกบริษัทตกแต่งเข้าไปปรับปรุงสำนักงานอย่างง่ายๆ ก่อน
หากพนักงานใหม่มาเห็นสภาพเละเทะยุ่งเหยิงของบริษัทตอนนี้ แม้จะเป็นบริษัทผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงรั้งตัวพวกเขาไว้ไม่ได้อยู่ดี ทั้งจ้างคนช้า จะสามารถลดค่าเงินเดือนไปอีกวันด้วย
รู้ว่าฟางผิงมีเงินทุนจำกัด หลี่เฉิงเจ๋อจึงเริ่มวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ แทบจะอยากรับพนักงานในวันนั้น วันต่อมาฝึกพนักงาน อีกวันทำหน้าที่อย่างเป็นทางการเลย
เขายุ่งหัวหมุนจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ค่อยตระเตรียมเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น
ตอนนี้ห่างจากวันรายงานตัวอย่างเป็นทางการไม่ถึงสามวันแล้ว
ก่อนวันรายงานตัวจะเริ่มมีผู้ปกครองและนักศึกษาทยอยเข้ามาพักในโรงแรม
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมามหาวิทยาลัยตามลำพังเหมือนฟางผิง กลุ่มเด็กมอปลายที่เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวนั้นยังปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลง ส่วนมากล้วนเป็นคนธรรมดา ปราณประมาณหนึ่งร้อยสามสิบแคล ไม่เคยฝึกการต่อสู้ แทบไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ดังนั้นเด็กหลายคนจึงมีพ่อแม่ตามมาส่งด้วย
—
วันที่ 30 สิงหาคม
ตอนที่เห็นฟางผิงลงมาจากชั้นบนเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีสบายๆ บนโต๊ะถูกจัดแจงอาหารดีกว่าพวกเขา พวกผู้ปกครองที่สังเกตมาหลายวัน ตอนนี้จึงมีคนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พนักงาน คนนั้นคือนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ใช่หรือเปล่า? ทำไมถึงได้พักห้องดีๆ อาหารการกินดีกว่าพวกเราล่ะ?”
ตอนแรกทุกคนไม่รู้ว่าฟางผิงเป็นเด็กใหม่จริงๆ หรือเปล่า แต่หลายวันมานี้สังเกตแล้วจึงสรุปได้ว่าเป็นเด็กใหม่ของปีนี้
เป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกัน ทำไมฟางผิงถึงอยู่ดีกินดีกว่าพวกเขา?
ตอนนี้พวกเขาต่างรู้ว่าโรงแรมมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้กินฟรีอยู่ฟรี
วันมะรืนถึงจะมีการรายงานตัวอย่างเป็นทางการ แต่เวลาแค่สองวันทางมหาวิทยาลัยนั้นเตรียมหอพักให้ได้อยู่แล้ว ฟางผิงแค่ขี้เกียจย้าย เขาเลยพักอยู่ที่นี่มาตลอด
ลูกๆ ของพวกเขาไม่พักที่นี่ มากินข้าวแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น
แต่ลูกๆ ที่เป็นความภาคภูมิใจของพวกเขามักจะอายที่กินข้าวฟรี ไม่หน้าหนาเหมือนฟางผิง ส่วนมากจะออกไปกินข้าวข้างนอกกับพ่อแม่
ผู้ปกครองที่เพิ่งเอ่ยถาม เป็นเพราะลูกชายของเธออายที่จะกินข้าวที่นี่ ดึงดันจะไปกินข้างนอกให้ได้
ตอนนี้กินอาหารข้างนอก ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย วันหนึ่งก็หลายร้อยหยวนแล้ว
เห็นฟางผิงพักฟรีกินฟรีอยู่ที่นี่ หญิงกลางคนจึงรู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง ถึงขั้นลอบด่าในใจ ทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงกล้ากินข้าวฟรีอยู่ในโรงแรมนี้
พนักงานไม่กล้าล่วงเกินผู้ปกครองของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน ฟังจบค่อยอธิบายว่า “คุณฟางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเลย…”
ใช่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง
เพราะตอนลงทะเบียน บัตรรับรองผู้ฝึกยุทธ์ของฟางผิงเขียนว่าอยู่ขั้นหนึ่ง หลี่เฉิงเจ๋อก็ขี้เกียจอธิบายให้พวกเธอฟัง
ต่อหน้าฟางผิง หลี่เฉิงเจ๋อยังเกรงอกเกรงใจ เขาไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายชัดเจนให้พนักงานธรรมดาพวกนี้อยู่แล้ว
“ผู้ฝึกยุทธ์!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนทั้งหมดต่างเงียบกริบ
ผู้ฝึกยุทธ์นั้นแตกต่างจากคนธรรมดาราวฟ้ากับดิน ทุกคนล้วนรู้ดี
แม้ลูกๆ พวกเขาจะสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ได้ แต่เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์แล้วยังห่างชั้นกันมาก
คนที่สามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยได้ พื้นเพทางบ้านต่างไม่ธรรมดา ทั้งไม่มีคนจะมาพักในโรงแรมรับรองแบบนี้หรอก
ฟางผิงถือเป็นกรณีพิเศษ หลายปีที่ผ่านมา โรงแรมแห่งนี้แทบไม่เคยรองรับเด็กใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์มาก่อน คนที่หลอมกระดูกครั้งที่สองแล้วก็เหมือนกัน
นี่นับเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลี่เฉิงเจ๋อประจบฟางผิง
นักศึกษาที่อยู่ขั้นสูงๆ มาพัก คนพวกนี้แทบจะมองข้ามหัวหลี่เฉิงเจ๋อ มีแค่ฟางผิงเท่านั้นที่เป็นมิตร
ฟางผิงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเหมือนกัน
แต่เขาคร้านจะสนใจ ตอนนี้ฟางผิงกำลังขบคิดว่าควรจะย้ายออกดีหรือเปล่า?
อยู่ที่นี่กินดีอยู่ดี ทั้งยังฟรีหมด นอกจากห่างจากมหาวิทยาลัยประมาณสิบกว่านาทีก็ไม่มีข้อเสียอื่นแล้ว
ถ้าไปหอพักในมหาวิทยาลัยต้องอยู่หกคนต่อห้อง จะเทียบกับที่นี่ได้งั้นเหรอ?
แน่นอนว่าฟางผิงแค่คาดเดาเท่านั้น ไม่รู้ว่าอยู่หกคน สี่คน หรือคนหนึ่งต่อหนึ่งห้อง?
การฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์ค่อนข้างเป็นความลับ อยู่รวมกันไม่เหมาะสมเท่าไหร่
แต่ไม่ว่าจะอยู่กี่คน คงสู้ที่นี่ไม่ได้อยู่ดี?
ไม่รู้ว่าจะพักที่นี่ต่อได้หรือเปล่า ถ้าได้คงจะสบายไม่น้อย
ตอนที่กำลังครุ่นคิด หลี่เฉิงเจ๋อพลันสาวเท้าเข้ามาในห้องอาหาร
พวกพนักงานรีบพากันทักทาย หลี่เฉิงเจ๋อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ผ่านไปสักพัก เขาก็เดินมาหยุดอยู่หน้าฟางผิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ประธานฟาง ปรับปรุงสำนักงานเกือบเสร็จแล้วครับ คุณจะเข้าไปดูหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็นหรอก เอาตามความเห็นคุณเถอะ สองวันนี้ผมจะเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปิดเทอมสักหน่อย”
“งั้นเรื่องรับพนักงานพรุ่งนี้…”
“จัดการตามคุณเห็นสมควรเหมือนกัน ช่วงแรกคนน้อย การจัดการไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ การเงินคงไม่ต่างอะไร ผมไปหรือไม่ไปมีค่าเท่ากัน รอพอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ผมค่อยไปดูอีกทีแล้วกัน อีกอย่าง ถ้าเงินไม่พอ…”
ฟางผิงปวดหัวอยู่บ้าง ผ่านไปพักหนึ่งค่อยกล่าวว่า “ไม่พอให้โทรหาผม ผมจะหาวิธีเอง”
ในมือยังมียาบำรุงอยู่บ้าง ต้องดูลาดเลาว่าพอจะหาช่องทางขายได้หรือเปล่า
“ทราบแล้วครับ”
พูดมาถึงสุดท้าย หลี่เฉิงเจ๋อค่อยเอ่ยว่า “รอคุณเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมจะลาออกอย่างเป็นทางการ ขั้นตอนไม่ได้มากมายอยู่แล้ว”
“ผมพักอยู่ที่นี่ต่อได้หรือเปล่า?”
หลี่เฉิงเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย พยักหน้าว่า “ได้อยู่แล้ว แต่ว่า…จะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่? อยู่ในมหาวิทยาลัยคุณจะสะดวกมากกว่า ทั้งพอผมไปแล้ว ถ้าคุณอยู่ที่นี่นานเข้า อาจจะ…”
อาจจะทำไมหลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้บอก แต่ถ้าฟางผิงดึงดันอยู่ที่นี่นานวันเข้า จะทำให้คนอื่นดูแคลนเขาได้
มีความจำเป็นต้องทำแบบนี้เหรอ?
ฟางผิงไม่พูดอีก รอดูสถานการณ์แล้วกัน หากที่พักในมหาวิทยาลัยไม่มีปัญหาอะไร ไปอยู่ที่นั่นดีกว่า อยู่ข้างนอกไม่เหมาะอยู่บ้างจริงๆ
พูดคุยกันง่ายๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว หลี่เฉิงเจ๋อก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงกินข้าวเสร็จ ไม่คิดเดินเตร่อยู่ข้างนอกอีก กลับห้องไปฝึกวิชาต่อ
จวงกงของเขาเหมือนใกล้จะทะลวงขั้นสองแล้ว
หากสามารถทะลวงภายในสองวันนี้ เขาคงจะเหนือคนอื่นด้วยเรื่องหลอมกระดูกสามครั้ง จวงกงขั้นสองและเคล็ดวิชาต่อสู้
คาดว่าในหมู่นักศึกษาใหม่ คงไม่มีใครแข็งแกร่งเท่าเขาแล้ว
แน่นอนว่าอาจไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ยังไงมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ก็เป็นแหล่งรวมตัวของอัจฉริยะ!
———————