ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 94.1 ฉินเฟิ่งชิงรนหาที่ตาย (1)
ตอนที่ 94 ฉินเฟิ่งชิงรนหาที่ตาย (1)
หลังจากนัดทำการใหญ่กับฟู่ชางติ่งแล้ว ทั้งสองคนเริ่มสนิทกันขึ้นมาไม่น้อย
เอาของไปไว้ในหอพักแล้ว พวกเขาไม่คิดจะไปเคาะประตูห้องอื่นอีก ตรงดิ่งลงไปโรงอาหารด้วยกัน
ในมหาวิทยาลัยมีโรงอาหารหลายแห่ง แค่บริเวณหอพักก็ปาไปแล้วสามแห่ง
ฟางผิงเป็นเด็กใหม่คนหนึ่ง รู้เรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เพียงผิวเผินเท่านั้น
แม้ฟู่ชางติ่งจะเป็นเด็กใหม่เหมือนกัน แต่กลับรู้อะไรมากมาย กระทั่งทางไปโรงอาหารยังสามารถพาเขาไปอย่างคล่องแคล่ว
“มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ไม่ต้องเสียค่าหอ ไม่ต้องจ่ายค่าข้าว ของพวกนี้ไม่ได้ราคาสูง มหาวิทยาลัยเลยพยายามให้นักศึกษาสามารถอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะต้นทุนต่ำ ในมหาวิทยาลัย ของที่ไม่ต้องจ่ายเงินราคามักไม่แพง แต่ของที่ต้องจ่ายเงินนั้นราคาสูงลิ่วจนน่าตกใจทีเดียว ยาบำรุง เคล็ดวิชา อาวุธต่างๆ ล้วนต้องเสียเงิน ทั้งนี้ยังสามารถใช้คะแนนแลกเปลี่ยนได้ด้วยเช่นกัน”
ฟางผิงได้ฟังแล้ว ค่อยนึกถึงเรื่องที่สงสัยก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ “ค่าเทอมต้องจ่ายหรือเปล่า?”
“เอ่อ…”
ฟู่ชางติ่งนึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะพูดเรื่องนี้ หัวเราะก่อนเอ่ยว่า “เก็บอยู่แล้ว แต่จะเก็บหลังจากการเลือกสาขา ค่าเทอมแต่ละสาขาราคาไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่ต่างกันมากมาย”
“อ่า”
ขณะที่คุยกัน ทั้งสองเดินมาถึงโรงอาหารแห่งที่สองพอดี
โรงอาหารในมหาวิทยาลัยหรูหราอย่างมาก การตกแต่งแทบไม่ต่างจากของห้องอาหารของโรงแรม ทั้งยังไม่ใช่โต๊ะซอมซ่อที่มีเก้าอี้ติดกันสี่ตัว แต่ที่นี่ไม่มีพนักงานตักอาหารให้คุณ เป็นแบบบริการตัวเอง
อาหารดูดีไม่น้อย!
มีทั้งเนื้อและผัก กลิ่นหอมของซุปกระดูกนั้นลอยมาไกลถึงปากประตู ยังมีนมและผลไม้ที่สามารถเลือกหยิบได้ตามใจชอบ
ฟู่ชางติ่งและฟางผิงตักอาหารไปพลาง คุยไปพลาง “นี่เป็นอาหารธรรมดา ไม่มีผลต่อการบำรุงเลือดและปราณ กินเพื่ออิ่มท้องเท่านั้น ทุกโรงอาหารจะมีสองชั้น ชั้นสองนั้นเก็บเงิน สั่งอาหารได้ รวมถึงอาหารบำรุงที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มพูนปราณ หากไม่ติดขัดเรื่องเงินทอง ไปกินชั้นสองจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่า”
แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ได้ลงมือ แต่ปกติการฝึกวิชาก็สิ้นเปลืองปราณอย่างมาก ไม่อาจใช้ยาบำรุงฟื้นฟูร่างกายทุกครั้ง
ส่วนมากจะใช้อาหารในการช่วยบำรุง
ฟางผิงคาดว่า ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาตักอาหารก่อน ฟู่ชางติ่งคงจะพาขึ้นไปกินชั้นสองแล้ว
หมอนี้มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา
แน่นอนว่านี่ถือเป็นคำพูดไร้สาระ
ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกมาสองครั้งแล้ว ถ้าไม่มีทรัพยากรจากโรงเรียน แม้ค่าใช้จ่ายจะไม่ถึงสิบล้าน แต่คงหลายล้านอยู่ดี
เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คนที่สามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ปกติในครอบครัวต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขึ้นไปอยู่ด้วย ดังนั้นนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดากันอยู่แล้ว
ทั้งสองคนตักอาหาร ก่อนจะเลือกนั่งที่ไม่ค่อยสะดุดตา
ฟู่ชางติ่งไม่มีใจจะกินข้าว กวาดสายตาสำรวจรอบๆ อยู่พักใหญ่ เอ่ยพลางถอนหายใจ “อันที่จริงฉันไม่เรียนที่ปักกิ่งเพราะมีเหตุผลข้อหนึ่ง ได้ยินมานานแล้วว่า ทางใต้มีสาวงามเยอะ พบเจอได้ทั่วไป แต่หลังจากมาถึงที่นี่ อย่าพูดถึงสาวงามเลย แค่ผู้หญิงยังเห็นแทบนับคนได้…เฮ้อ…”
ฟู่ชางติ่งผิดหวังอยู่บ้าง ตอนนี้ในโรงอาหารมีนักศึกษาหญิงอยู่บ้าง แต่มีแค่ประปราย มองไปรอบๆ แล้วแทบไม่มีคนที่เข้าตาสักคน
“ดูท่าคงต้องรอตอนที่รวมตัวช่วงบ่ายแล้ว ตอนนี้มากินข้าวที่โรงอาหารแค่ไม่กี่คนเอง”
ฟางผิงคลุกคลีกับฟู่เสี่ยวติ่งมาพักหนึ่ง พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนพูดเก่งไม่น้อย
แทบจะคุยคนเดียวอย่างสิ้นเชิง ไม่สนใจคุณว่าจะตอบกลับหรือไม่
ครั้งแรกที่เห็น ยังคิดว่าจะเป็นคุณชายสุภาพเรียบร้อย ตอนนี้ดูแล้ว แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ธรรมดา แต่ความสุขุมเยือกเย็นกลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
แน่นอนว่า อยู่กับคนแบบไหนย่อมเป็นคนแบบนั้น
ไม่นานฟางผิงค่อยพบว่า ฟู่ชางติ่งไม่ได้พูดเก่งเสียทีเดียว
ตอนที่กลับมาหอพัก ประตูห้องที่แปดสิบห้าเปิดอยู่ ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนข้างห้อง ฟางผิงเดินผ่านเลยยืนทักทายอยู่ที่ทางเดิน
พูดคุยกับชายหนุ่มที่ดูเจ้าสำอางคนนั้นไม่กี่ประโยค ค่อยรู้ว่าเขาชื่อ…ชุยเจียอวิ้น
ทั้งอีกฝ่ายไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ออกจะเย็นชาอยู่บ้าง
ฟางผิงคุยไปอีกสองสามประโยค ก็ไม่คิดต่อบทสนทนาอีก ด้านฟู่ชางติ่งที่ตอนเจอฟางผิงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ตอนนี้แค่แนะนำตัวง่ายๆ เท่านั้น ก่อนจะเงียบไปทันที
เขาเป็นมิตรกับฟางผิง นั่นเพราะตอนแรกเขามองฟางผิงไม่ออก
แต่ชุยเจียอวิ้นกลับมองออกในชั่วพริบตา ปราณน่าจะเกินหนึ่งร้อยห้าสิบแคล แต่คงไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแคล ไม่ได้หลอมกระดูกครั้งที่สอง แต่จะทำได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดยาก คนธรรมดาเช่นนี้อยู่ห่างชั้นจากฟู่ชางติ่ง ทั้งอีกฝ่ายยังไม่ใช่คนเป็นมิตร ฟู่ชางติ่งคงไม่ชวนคุยอะไรอยู่แล้ว
—
บ่ายสองโมงครึ่ง
ฟางผิงกำลังเก็บห้อง ด้านนอกได้ยินเสียงแว่วของฟู่ชางติ่งดังขึ้นมา “ฟางผิง ถึงเวลารวมตัวแล้ว!”
“มาแล้ว!”
ฟางผิงขานรับ เก็บข้าวของลวกๆ ก่อนจะเปิดประตูออกไป
ตอนนี้ทางเดินไม่ได้มีแค่ฟู่ชางติ่งคนเดียว นักศึกษาหนึ่งร้อยคนที่พักอยู่ชั้นบน เวลานี้เดินออกมาจากห้องเป็นจำนวนไม่น้อย
ทุกคนไม่ได้จับกลุ่มกันหลายคน อย่างมากก็เหมือนฟู่ชางติ่งและฟางผิง รวมกลุ่มกับห้องข้างๆ คุยกันแค่สองสามคน
เข้าเรียนวันแรก ทุกคนไม่ทันได้ตระเตรียมอะไร คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้จักเพื่อนใหม่
ฟางผิงเพิ่งออกมา กลับได้ยินเสียงคนหัวเราะดังขึ้นจากทางซ้าย “ฟู่ชางติ่ง บังเอิญจริงๆ นายมาที่นี่เหมือนกัน!”
ฟางผิงหันไปมอง ก่อนจะพบชายหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่กำลังมองฟู่ชางติ่ง
ฟังจากน้ำเสียง ไม่เหมือนกับคนที่เป็นเพื่อนกันเท่าไหร่
ฟู่ชางติ่งคล้ายไม่แปลกใจว่าคนๆ นี้ก็อยู่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เช่นกัน หันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ถังซงถิง ไม่ไปมหาวิทยาลัยปักกิ่ง คิดจะมาก่อเรื่องที่เซี่ยงไฮ้แทนหรือไง?”
“ฮ่าๆ จะก่อเรื่องหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่นายยุ่งได้ซะหน่อย!”
ถังซงถิงแค่นเสียงในลำคอ เอ่ยอย่างมาดร้าย “นายมาเซี่ยงไฮ้ก็ดีแล้ว ฉันยังกลัวว่านายจะไม่มา!”
“ปากดีจัง!”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างดูแคลน ไม่สนใจเขาอีก หันไปพูดกับฟางผิงแทน “เพื่อนสมัยมอปลาย ถูกฉันกดหัวมาตลอดสามปี ตอนสอบเกาเข่าได้คะแนนวัฒนธรรมสูงกว่าฉันไม่เท่าไหร่ กลับคิดไปว่าตัวเองกู้หน้าได้แล้ว น่าตลกนะว่าไหม?”
พูดจบ ไม่รอให้ฟางผิงตอบกลับ ก็สาวเท้าไปทันที “ไปเถอะ คนที่ดีใจจนบ้าคลั่งลืมตัวแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจ”
ฟู่ชางติ่งไม่ได้พูดเสียงเบา เห็นได้ชัดว่า ไม่คิดจะเก็บเป็นความลับ
ถังซงถิงที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเหมือนกัน ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที
เขาและฟู่ชางติ่งจบจากโรงเรียนเดียวกัน เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่ง
ฟู่ชางติ่งบอกว่ากดหัวเขามาสามปี ความจริงไม่ถือว่าโกหกเช่นกัน
โรงเรียนมัธยมของปักกิ่งไม่เหมือนกับโรงเรียนหยางเฉิงอันดับหนึ่ง การแข่งขันและความกดดันสูงกว่า มียาบำรุงแต่ละชนิดให้เป็นรางวัล ยังมีห้องเรียนสำหรับสายศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะ มีการจัดทดสอบทุกเดือน หากคะแนนดี ก็จะได้ของรางวัลที่หลากหลาย
ถังซงถิงและฟู่ชางติ่งต่างเป็นบุคคลที่โดดเด่นในนั้น ทั้งสองคนแตกคอกันมาครั้งไม่ถ้วนเพราะแย่งชิงยาบำรุง
พวกเขาแตกคอกันจริงๆ แม้ฐานะทางบ้านของพวกเขาจะดี แต่ยังคงเป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะแย่งชิงของพวกนี้
ฟู่ชางติ่งอายุเท่านี้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทั้งหลอมกระดูกครั้งที่สอง มีความข้องเกี่ยวกับของรางวัลที่ได้ตอนมอปลายอยู่บ้าง
ถังซงถิงด้อยกว่าฟู่ชางติ่งเล็กน้อย แต่ตอนเกาเข่าสอบวิชาเฉพาะและวิชาวัฒนธรรมได้เยอะกว่าฟู่ชางติ่ง
ตอนนี้เขาจึงถูกจัดให้อยู่ห้องแปด ถือว่าใกล้อันดับต้นๆ กว่าฟู่ชางติ่งอยู่มากโข
——————–