ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进c化系统) - ตอนที่ 195 : รายงาน
ตอนที่ 195 : รายงาน
แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือการทำสัญญากับอสูรที่บินได้อย่างราชาอินทรีย์ที่เขาเคยให้กับโจวอวิ๋นไป แต่เพราะจำนวนอสูรที่ทำสัญญาเพิ่มมากขึ้น หวังเย่าก็รู้สึกได้ถึงภาระทางจิตที่เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ในด้านนี้ระบบไม่ได้ให้สิทธิพิเศษกับเขา ระบบช่วยแค่ให้เขาควบคุมสัตว์อสูรได้ดีขึ้นก็เท่านั้น
โชคดีที่เขาฝึกทักษะกระบี่บินมา จิตของเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก เมื่อฝึกส่วนที่ 3 สำเร็จ เขาก็สามารถทำสัญญากับอสูรอีกตัวได้
แน่นอนว่าด้วยจิตของหวังเย่าในตอนนี้แล้วการทำสัญญากับอสูรตัวใหม่นั้นไม่ใช่ภาระอะไร มันก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เขาได้ทำสัญญากับแพรี่ด็อกไป แต่แพรี่ด็อกนั้นอยู่แค่ระดับเงิน แถมเลเวลของมันก็ต่ำ มันจึงไม่ได้เป็นภาระต่อจิตของเขามากนัก
แต่เป็นธรรมดาที่หวังเย่าจะไม่สนใจสัตว์อสูรระดับเงิน เพราะระดับของมันต่ำเกินไป การวิวัฒนาการต้องใช้ทั้งแรงและเงินอย่างมากกว่าจะขึ้นไปอยู่ระดับที่สูงได้
ยิ่งไปกว่านั้นอสูรก็มีข้อจำกัดในการวิวัฒนาการอยู่ เมื่อใช้พรสวรรค์ที่พวกมันมีจนหมด มันก็ยากที่จะวิวัฒนาการได้อีก มันก็เหมือนกับอสูรของหลี่ว่านเฟิงที่พัฒนาไปได้แค่ระดับสวรรค์
เพราะแบบนั้นหวังเย่าจึงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอสูรของเขาทั้งสามตัว
การ์ฟิลด์นั้นแต่เดิมอยู่แค่ระดับทองแดงแต่ตอนนี้มันกลับพัฒนาขึ้นมา 3 ระดับแล้ว พรสวรรค์ของมันต่ำ เดาว่าคงยากที่จะเลื่อนระดับได้อีก
แน่นอนหวังเย่าหวังว่าระบบจะมีทางออกสำหรับข้อจำกัดพวกนี้
ถ้าไม่งั้นแล้วหวังเย่าคงได้แต่ไปหาสมบัติระดับเทพหรือยาศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการเพิ่มระดับของการ์ฟิลด์ขึ้นมา
เมื่อเข้ามาในห้องซ้อม หวังเย่าก็ได้กดสวิตซ์ที่กำแพงก่อนที่กำแพงทั้งสี่ด้านจะมีลมพ่นออกมา
หวังเย่ารู้สึกได้ถึงลมแรงที่พัดอัดเข้าใส่หน้าของเขา
“แปลก ลมนี่ไม่ได้เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้า มันคือลมที่เกิดขึ้นจากกฎลม มันทั้งรุนแรงและรวดเร็ว”
หวังเย่าสงสัยมากว่าโรงฝึกแห่งนี้สร้างขึ้นมาได้ยังไง มันไม่ธรรมดา มันราวกับมีอัญมณีแห่งสายลมอยู่ที่นี่ด้วย มันสามารถสร้างลมขึ้นมาได้ตามที่ต้องการ
หลังจากที่ครุ่นคิดสักพัก หวังเย่าก็นั่งลงที่พื้น เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิ ในหัวของเขาไม่มีความสับสนอีกต่อไป เขาค่อย ๆ หลับตาลงและเริ่มฝึกทักษะพายุสังหารทันที
ทักษะพายุสังหารนี้คือการใช้ลมและควบคุมลม รวมถึงใช้จิตในการทำความเข้าใจลม
หวังเย่าใช้เวลาฝึกฝนกว่า 10 นาทีก่อนจะแผ่จิตออกมาเพื่อรับรู้ถึงสายลมภายนอก มันทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาห่อหุ้มไปด้วยลม รูขุมขนของเขาต่างก็เปิดออกทั้งตัว
พลังลมได้ไหลผ่านรูขุมขนเข้ามายังร่างกายของหวังเย่า
หวังเย่าคิดและทำการควบคุมพลังลมที่เข้ามาในตัวให้รวมเป็นหนึ่งเดียว
10 นาทีต่อมา จู่ ๆ หวังเย่าก็คำรามออกมาเสียงดังสนั่น จากนั้นพลังลมในตัวก็แตกกระจายออก ก่อนจะมีสายลมพัดกระจายออกมาจากตัวเขา
….
เวลาในการฝึกฝนนั้นมักจะผ่านไปในพริบตา โดยเฉพาะกับการฝึกที่มีความก้าวหน้า
2 ชั่วโมงต่อมา หวังเย่าก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นอย่างช้า ๆ
แต่เขาลอยได้แค่ 5 วินาทีเท่านั้น ก่อนจะร่วงลงไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เขาแค่ต้องพยายามต่ออีกหน่อยก็จะฝึกส่วนที่ 3 ได้สำเร็จแล้ว
ตอน 3 ทุ่ม หวังเย่าก็ได้ออกจากห้องซ้อม เมื่อเอาโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่ามีหลายสายที่ไม่ได้รับ ซึ่งก็คือจ้าวเมิ่งซี, จูเย่เหยียน, ฟ่านฉิงเหมย และ หลงปู้หยู๋
เมื่อเห็นว่าหวังเย่าไม่รับสาย จูเย่เหยียนและหลงปู้หยู๋ต่างก็ฝากข้อความเอาไว้
พวกเขารายงานมูลค่าของสมบัติทั้งหมดว่ามีค่าอย่างน้อย 500 ล้านเครดิต มันถูกเก็บไว้ในคลังของกลุ่มทหารรับจ้างโลกา
เมื่อเห็นข้อความ หวังเย่าก็กดโทรศัพท์เพื่อโทรกลับทันที
“ซีอีโอจู ผมหวังเย่านะ เรื่องคลังของกลุ่มทหารรับจ้างโลกาคงฝากให้คุณดูแลไปก่อน ของทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นสมบัติของกองกำลังที่จะถูกใช้เป็นของรางวัลแจกจ่ายให้กับสมาชิก นอกจากนี้แล้วคุณต้องใช้ระบบคะแนนตามผลงานในการแลกของ หากมีคะแนนมากพอก็สามารถใช้แลกสมบัติต่าง ๆ ได้”
จูเย่เหยียนตอบตกลง เพราะว่างานของเขาคือทำทุกอย่างที่หวังเย่าต้องการให้เป็นจริง
หวังเย่าเชื่อในตัวจูเย่เหยียนจึงไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก จากนั้นเขาก็โทรหาหลงปู้หยู๋และสั่งภารกิจ
ภารกิจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทั้งสองส่วนนั้นดูจะง่ายดาย ส่วนแรกคือต้องส่งศพพวกนี้และรับค่าหัว 32.5 ล้านมา เพราะมันเป็นค่าหัว ดังนั้นจึงไม่มีการหักภาษี
อีกส่วนคือบอกแผนการของเย่เจินเหรินแห่งยอดเขาสงบให้กับประธานสมาคมมังกรพิทักษ์และเจ้าเมืองได้รับรู้
การปราบปรามคนร้ายนอกเมืองฉางอันนั้น ไม่ได้ถูกจัดการโดยเจ้าเมืองฉางอัน แต่เป็นการร่วมมือกันระหว่างตระกูลชั้นนำกับสมาคมใหญ่ ๆ ดังนั้นจึงต้องแจ้งกับทางเมืองฉางอันและประธานสมาคมมังกรพิทักษ์ด้วย
เป็นธรรมดาที่หลงปู้หยู๋จะจัดการเรื่องนี้ได้ แต่มันต้องใช้เวลา ซึ่งเขาอยากให้หวังเย่าพาเขาไปที่มิติดวงจันทร์เร็ว ๆ
หลังจากที่เก็บโทรศัพท์แล้ว หวังเย่าก็นิ่งไป
พวกคนร้ายที่อยู่ใกล้กับเมืองฉางอันนั้นออกอาละวาดแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน พวกมันทั้งโหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม แถมยังหลบซ่อนตัวเก่งเหมือนหนูท่อ
เขาได้ตรวจสอบข้อมูลมาแล้ว ในบรรดาทั้ง 36 เมืองนั้น เมืองฉางอันคือเมืองที่มีการก่อการร้ายมากที่สุด รองลงมาก็เมืองตัดขวาง, เมืองหูหนาน, เมืองสวรรค์เร้นและเมืองอื่น ๆ ถดถอยลงมา
เมืองตัดขวางตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาตัดขวาง ภูเขาและป่าที่นั่นค่อนข้างอันตราย ภูมิประเทศก็ซับซ้อน พวกคนที่อยู่ที่นั่นมีนิสัยป่าเถื่อน ดังนั้นจึงมีคนร้ายอยู่มากมาย
เมืองหูหนานตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ก่อนหน้านี้โจรเซียงซีค่อนข้างมีชื่อเสียง แล้วยังมีคนขนศพในเซียงซี เพราะภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนจึงกลายเป็นที่หลบซ่อนอย่างดีของพวกโจร
…
“ พวกนั้นไม่สมควรเป็นมนุษย์” หวังเย่าพึมพำออกมาพร้อมกับเดินไปยังเขตที่พัก จากนั้นเขาก็ได้โทรเรียกฟ่านฉิงเหมย
ทั้งสองเข้าไปในร้านกาแฟแล้วนั่งมองหน้ากันด้วยความโหยหา
“ หวังเย่า ขอบคุณนายมาก” ฟ่านฉิงเหมยมาถึงที่โต๊ะก็นั่งลงก่อนจะพูดขึ้นมา
หวังเย่ารู้ว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร เขาพยักหน้าและพูดขึ้น “ ฉันเองก็อยากขอบคุณเธอเหมือนกัน”
ทั้งสองรู้สึกว่าโชคดีที่ได้พบกัน
ฟ่านฉิงเหมยยิ้มออกมาอย่างอายๆ เธอใช้มือทั้งสองข้างจับแก้วกาแฟเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นมาจิบแล้วเริ่มเล่าเรื่องที่เธอเจอใน 6 เดือนที่ผ่านมา