ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进c化系统) - ตอนที่ 525 : ต้นกำเนิดสัตว์อสูร
ตอนที่ 525 : ต้นกำเนิดสัตว์อสูร
ในป่าอันมืดมิด หวังเย่าได้เดินลัดเลาะมาเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงนกและสัตว์ป่าที่ตื่นตกใจ
ด้วยฝนที่ตกลงมานั้นทำให้เสื้อผ้าเขาแนบไปกับตัว มันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยและหนาวขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เมื่อเดินมาถึงฝั่งตะวันออกก็พบกับทะเลอันกว้างใหญ่ คลื่นที่ซัดเข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนกับจะกลืนเกาะนี้ไปอย่างไรอย่างนั้น
“ผ่านมานานแล้ว ถ้าเธอวิ่งจากตะวันออกมาทางตะวันตก มันก็น่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 วัน ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ฉันกลัวว่าชูหยุนคงอยู่ได้อีกไม่กี่วัน !”
หวังเย่าเดินไปที่ริมหาด คลื่นซัดเข้ามาถึงหน้าแข้งของเขา เขาได้ตะโกนออกมา “ชูหยุน เธออยู่ไหนกันแน่ ! ”
ครืน …
เสียงฟ้าร้องดังพร้อมกับเสียงตะโกนของหวังเย่า
งูขนาดใหญ่ตกใจเพราะเสียงฟ้าร้องและเสียงตะโกนของหวังเย่า มันกลัวซะจนรีบมุดกลับลงทะเลไป
ร่างของงูนี้เผยให้เห็นที่ผิวน้ำ หวังเย่าถึงกับเห็นร่างของคนที่โดนมันรัดไว้ด้วย
มันคือผู้หญิงผมยาวตัวผอมบาง ใบหน้าซีดเซียวแต่กลับแฝงไปด้วยความโกรธ
ชูหยุน !
หวังเย่าทั้งตกใจและดีใจไปพร้อม ๆ กัน เขารีบวิ่งลงไปในน้ำทะเลทันที
น้ำไม่ได้ลึกนัก แต่เพราะชั้นหินมากมายจึงทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะว่ายไป
หวังเย่าว่ายน้ำออกไปก่อนจะจับมือของเธอเอาไว้แล้วรีบดึงเธอขึ้นมาจากน้ำ
เมื่อขึ้นมาจากน้ำ เสื้อผ้าที่เปียกของเธอก็โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
กลิ่นตัวของเธอลอยเตะจมูกเขา ด้วยการที่เธอหลับใหลอยู่นี้จึงแทบจะทำให้หวังเย่าอยากจะจูบเธอ
เธอหมดสิอยู่ ดูเหมือนว่าเธอจะกินน้ำเข้าไปไม่น้อย
หวังเย่าไม่มีเวลามาคิดอะไรที่ไม่ดี เขารีบเอาเธอนอนลงไปกับพื้นก่อนจะตรวจชีพจรที่มือเธอรวมถึงจังหวะหายใจของเธอด้วย
เขาทำการปั๊มหัวใจให้เธออยู่หลายครั้งจนชีพจรกลับมาเต้นตามเดิม ตอนที่เขากำลังจะปั๊มหัวใจเธออีกครั้งนั้นก็มีมือมาจับที่แก้มของเขา
ชูหยุนลืมตาขึ้นมองหวังเย่า ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
ตอนนี้เธอแค่อยากจะกอดคนตรงหน้าของเธอเอาไว้แน่น ๆ
หวังเย่ารู้ว่าเธอคงหนาว ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เธอกอดเขาเอาไว้
ทั้งสองกอดกันแน่นภายใต้พายุที่พัดไปมาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน…
เหมือนกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปไหน จนเวลาผ่านไป……….
“ฉันขอโทษที่ล่วงเกินเธอไป” หวังเย่าใส่เสื้อผ้าตัวเองแล้วลุกขึ้นหันหลังให้กับชูหยุน
ชูหยุนก้มหน้าและพึมพำออกมา “ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองหวังเย่าแล้วพูดขึ้น “แต่ฉันไม่รู้สึกผิดหรอกนะ”
“ตอนที่ฉันโดนงูลากลงไปในน้ำ ฉันรู้ว่าคนที่จะมาช่วยฉันจะต้องเป็นนาย และนาย…ก็มาจริง ๆ ” ชูหยุนกัดปากแล้วพึมพำต่อ “ขะ…ขอบคุณนะ พี่หวังเย่า”
“มาเถอะ ฉันจะพาเธอกลับไป” หวังเย่าเรียสติตัวเองกลับมา เขายิ้มออกมาก่อนจะลูบจมูกตัวเองแล้วพูดขึ้น….
เมื่อกลับมาที่ใจกลางเกาะ หวังเย่าและชูหยุนก็เดินทางมาที่จุดที่ฉิงจีและเชินสิ่วอยู่ แต่ชูหยุนก็มองไม่เห็นทั้งคู่
จนเช้าวันต่อมาเมื่อมีแสงแดดส่องลงมาที่พื้น หวังเย่าก็พบว่าชูหยุนที่นอนซบไหล่เขาอยู่นั้น ได้ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ
เธอได้กินผลไม้ที่หวังเย่าหามาให้ โดยมีหวังเย่าที่คอยย่างเนื้อที่เพิ่งล่ามาได้
เขาใส่เครื่องเทศที่หาได้ทั่วไปจนเนื้อกระต่ายย่างส่งกลิ่นหอมออกมา
ตอนที่หวังเย่าส่งมันให้กับชูหยุน เธอก็รีบรับมันไว้แล้วกินมันทันที
เมื่อฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง ชูหยุนก็นึกบางอย่างออก “พี่หวังเย่า ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีสองคนที่แย่งลูกปัดกับเรา คนหนึ่งคือชายแก่ที่ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้ เขาเหมือนจะชื่อฉิงจี แต่อีกคนฉันไม่รู้จัก พวกเขามาที่นี่ด้วยรึเปล่า ? ”
บางเรื่องควรจะปิดบังแต่บางเรื่องไม่อาจจะปิดบังได้ เมื่อปิดบังไม่ได้ก็ไม่ควรบอกความจริงทั้งหมด
หวังเย่าพยักหน้า “ตอนนี้สองคนนั้นยังไม่ได้สติ ฉันเก็บพวกเขาไว้ที่อื่น แต่สองคนนี้น่ะแข็งแกร่ง ที่นี่ไม่อาจจะใช้อสูรได้ ถ้าใช้แค่มือเปล่า ไม่ว่าฉันจะมีสักสี่ห้าชีวิต แต่ฉันก็ไม่อาจจะสู้กับพวกเขาได้”
“ฉันไม่คิดว่าพวกเขาเป็นคนเลวอะไรหรอก พี่หวังเย่าต้องช่วยพวกเขา มันคงแย่ถ้าเราปล่อยพวกเขาไว้” ชูหยุนได้เห็นฉิงจีในอดีตมาแล้ว หวังเย่าบอกว่าสองคนนั้นน่ะแข็งแกร่งแต่ไม่ใช่คนเลวร้าย อีกอย่างเธอก็ยังสับสนว่าทำไมเธอถึงอยากได้ลูกปัดนั่นนัก ถ้าเธอได้แตะลูกปัด แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ?
“พี่หวังเย่า พี่เห็นลูกปัดนั้นไหม ? ”
หวังเย่ามองไปที่ชูหยุนก่อนจะพยักหน้า “หากความแข็งแกร่งน้อยเกินไป งั้นลูกแก้วนั่นก็จะทำให้เรากลายเป็นหิน ตอนนี้ฉันจะเก็บมันไว้ก่อน ถ้าสักวันเธอแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ถ้าเธออยากได้มัน ฉันจะให้มันกับเธอ”
ชูหยุนตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “แล้วลูกปัดนั่นทำอะไรได้ ? ”
หวังเย่าพลิกเนื้อในมือแล้วตอบกลับ “ฉันเองก็ไม่รู้ ยังไงซะฉันก็ไม่เคยได้ของแบบนี้มาก่อน”
“โอ้” ชูหยุน พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ เนื้อนี่เหมือนจะสุกแล้ว สองคนนั่นอยู่ไหน ฉันจะเอาไปให้พวกเขา”
หวังเย่าเงยหน้าขึ้นและพูดออกมา “ งานอันตรายยังเป็นงานของฉันอยู่ ถ้าเธออยากช่วยจริง ๆ เธอไปหาเก็บผลไม้และลองดูว่าจะมีทางออกจากที่นี่รึเปล่า”
“ได้ ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง พี่จัดการเรื่องอื่นให้เสร็จเถอะ” ชูหยุน เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีค่า อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นภาระให้กับหวังเย่า
ตั้งแต่ที่ตกอยู่ภายใต้ภาพลวงตา เธอก็เริ่มคิดบางอย่างกับหวังเย่า รวมกับเรื่องเมื่อคืนแล้ว ในใจเธอก็คิดแล้วว่า หวังเย่าคือคนที่เธอไม่อาจจะคว้ามาครองได้
การที่ได้เห็นคนที่ตัวเองชอบมีชีวิตที่ดี หรือได้ช่วยเหลือก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้หญิงทุกคน
เมื่อได้ธนูและลูกธนูที่หวังเย่าทำขึ้นมา ชูหยุนก็เริ่มเดินทางออกไปเพียงลำพังเพื่อเก็บผลไม้และหาทางออกจากที่นี่
หวังเย่านั้นรับหน้าที่ในการส่งอาหารให้กับฉิงจีและเชินสิ่ว หากมีเวลาเขาก็จะออกไปหาถ้ำ เอาไว้เป็นพักสำหรับหลบฝน
ยังไงซะการพักอยู่ใต้ต้นไม้ในระยะยาวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดี เขาไม่ใช่ลิง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งที่พักไว้ที่นี่
หวังเย่าเดินมาใต้ต้นไม้พร้อมกับเนื้อกระต่ายย่างก่อนจะพบว่าทั้งสองคนนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว
สองคนนี้คลานออกมาที่ปลายเขตภาพลวงตาและนั่งอยู่ที่นั่น
ฉิงจีนั่งอยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ส่วนเชินสิ่วนั้นนั่งอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา แม้ว่าทั้งสองคนจะอ่อนแอแค่ไหน แต่ก็ไม่ยอมอยู่ใกล้กันเด็ดขาด !
ทั้งสองไม่อาจจะออกจากเขตลวงตานี้ได้ ดูเหมือนว่าเขตลวงตานี่จะแข็งแกร่ง ภาพลวงตาก่อนหน้านี้หวังเย่าก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน
ฉิงจีรีบกินเนื้อกระต่างย่างแล้วนั่งลงไปกับพื้น เขามองไปที่หวังเย่าแล้วพูดขึ้น “ไอ้หนู นายขังฉันไว้ที่นี่เพื่อกันไม่ให้ฉันเจอเธอใช่ไหม ? ”
หวังเย่าลูบจมูกแล้วพูดขึ้น “ก็ใช่ ผมไม่ให้คุณเจอชูหยุนหรอก เธอน่ะเชื่อในการเกิดใหม่ เธอโดนคุณหลอก บางทีเธออาจจะทำอะไรโง่ ๆ ก็ได้”
ฉิงจียิ้มออกมา “นายไม่เชื่อรึไง ? ลัทธิเต๋าในหัวเซี่ยนั้นคงอยู่กันมานานหลายหมื่นปีแล้ว เรื่องบางเรื่องนายไม่อาจจะทำได้ ฉันต้องบอกนายว่าทางออกของเกาะนี้น่ะไม่มีหรอก ชูหยุนนั่นแหละคือประตู ถ้านายไม่ให้เธอดูดซับพลังของลูกปัดนี่เข้าไป งั้นนายก็ไม่มีทางออกจากที่นี่ไปได้”
ในอีกด้านเชินสิ่วที่ฟังอยู่กลับหัวเราะออกมา “เด็กโง่ อย่าไปฟังเขา ลูกปัดนั่นอยู่กับนายใช่ไหม ? นายเอามันให้กับฉันสิ ฉันน่ะมีทางที่จะพาพวกนายสองคนออกจากที่นี่แน่”
หวังเย่าหันไปมองเชินสิ่วแล้วพูดขึ้น “ ที่เกาะนี้ไม่สามารถใช้อสูรได้ ที่นี่เราไม่ต่างจากคนทั่วไป ฉิงจีพูดมายังพอน่าเชื่ออยู่ แต่นาย…นายจะทำอะไรได้ ? ”
“นี่..”
เขาเงยหน้าขึ้นมองหวังเย่า แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเคียด “ถ้าอย่างนั้นฉันจะแสดงให้นายได้ดู ! ”
เชินสิ่วกดไปที่กำไลที่มือซ้ายตัวเองก่อนที่จะมีแสงสีขาวระเบิดออกมาจากตัวเขาเหมือนกับการแปลงร่าง
การแปลงร่างเขาเคยเห็นแต่ในหนัง แต่เชินสิ่วกลับใช้มันออกมาได้ มีชิ้นส่วนเกราะนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาตามตัวของเขา ตอนที่เกราะแต่ละส่วนประกอบกันนั้นก็มีเสียงเหล็กดังขึ้นพร้อมกับแสงระเบิดออกมา
เกราะครอบคลุมไปทั้งตัวเขา พร้อมกับดาบยาวสองเมตรที่หลัง เขาราวกับหุ่นยนต์
การแปลงร่างของเชินสิ่วนั้น ทำให้ฉิงจีต้องตะลึง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเชินสิ่วจะมีอาวุธลับแบบนี้อยู่ แต่ทำไมถึงไม่ใช่มันก่อนหน้านี้ หากใช้เกราะนี้ตั้งแต่แรกเพื่อแย่งลูกปัดมา งั้นบางทีเชินสิ่วอาจจะชิงเอาลูกปัดไปได้
หลังจากที่ลอยอยู่ในอากาศสักพัก สุดท้ายเกราะก็หม่นแสงลง พลังในเกราะเองก็ลดฮวบลงไป สุดท้ายเชินสิ่วก็ต้องกลับไปนั่งที่พื้นอีกครั้งตามเดิม
เมื่อเห็นเกราะนั้น หวังเย่าก็มั่นใจว่าวัสดุที่เอามาทำเกราะ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เกราะนี้เทคโนโลยีของโลกเขาไม่อาจจะสร้างมันขึ้นมาได้ งั้นเชินสิ่ว …มาจากโลกอื่นงั้นหรือ ?
หวังเย่าดูการแปลงร่างจนจบ ด้วยตาที่เป็นประกาย ตอนนั้นนาฬิกาในหัวเขากลับเปลี่ยนเป็นหน้าจอแล้วเผยให้เห็นถึงคุณสมบัติของเกราะนี้ !
ชื่อ : คุนบ้า 779 รุ่น : 97 พลัง : พลังนิวเคลียร์รวมกับพลังแม่เหล็ก ความเร็ว : 1.2 เท่าของความเร็วแสงระยะไกลสุด : 500 ปีแสงความสามารถ : ทำลายมิติ สามารถทะลวงผ่านมิติและกลับไปที่ตำแหน่งเดิมได้, ดาบฟุซี ดาบที่ทำมาจากอุกกาบาต ดาบสามารถเปลี่ยนเป็นปืนแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สามารถยิงได้ 30 นัดข้อเสีย : นอกจากผู้ใช้แล้วไม่อาจจะโดยสารคนอื่นได้ , ขาดการป้องกันในตอนที่บิน
เมื่อเห็นคุณสมบัติของเกราะแล้ว หวังเย่าก็มองไปที่เชินสิ่วด้วยสีหน้าที่แปลกไป เหตุผลก็ง่าย ๆ เชินสิ่วนั้นหลอกเขา ! เกราะนี้ไม่อาจจะให้คนขึ้นไปได้ ซึ่งหมายความว่าเขาจะเอาลูกปัดนี้ไปใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับเกราะเพื่อที่เชินสิ่วจะหนีไปคนเดียว
เอาจริงแล้วตอนแรกหวังเย่าไม่ได้รู้สึกแย่กับเชินสิ่วมากนัก แต่จากคำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้หวังเย่ารู้สึกแย่กับอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างมาก
แม้ว่าจะโกรธ แต่ในใจหวังเย่ากลับดีใจ นาฬิกากลับทำแบบนี้ได้ มันคือระบบที่สองของหวังเย่า เมื่อรวมกับระบบเทพอสูรที่เขามีแล้ว มันต้องช่วยเขาได้อย่างมากแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระบบเทพอสูรนั้นมีบทบาทในเรื่องสิ่งมีชีวิต แต่ความแข็งแกร่งของศัตรูที่ใช้อาวุธและอุปกรณ์เข้ามาช่วยนั้นหวังเย่าไม่อาจจะรับรู้ข้อมูลได้ ไม่คิดเลยว่านาฬิกานี้จะมีความสามารถแบบนี้อยู่ !
“เชินสิ่ว ถ้าครั้งหน้าฉันรู้ว่านายโกหก ฉันรับปากว่าจะทิ้งนายให้อดตายที่นี่ ! ” หวังเย่ามองไปที่เชินสิ่วด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หวังเย่าทำดีกับทุกคน แต่หากใครกล้ามาหลอกเขา งั้นเขาก็จะให้อีกฝ่ายชดใช้
เชินสิ่วแสดงท่าทีเขินอายออกมา เขามองไปที่หวังเย่าด้วยความลังเลก่อนจะถามขึ้น “นายรู้ได้ยังไง ? ”
หวังเย่ายิ้มออกมา เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่บอกความลับให้คนอื่นรู้ “ก็ง่าย ๆ การที่เกราะนี่สามารถบินขึ้นไปและทำลายมิติได้นั้น ถ้าหากนายเอาพวกฉันไปด้วย แต่พวกฉันไม่มีเกราะที่ป้องกันการทำลายของมิติ งั้นพวกเราที่ออกไปกับนาย ก็ต้องหายไปสินะ คงมีแค่นายที่รอดออกไปได้ ? ”
ปากของเชินสิ่วกระตุกไปตาม เขาหลับตาลงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขากดไปที่กำไลที่ข้อมืออีกครั้งก่อนที่เกราะจะหายไป
เมื่อเห็นแบบนั้น ฉิงจีก็หัวเราะออกมา “ไอ้หนู แกทำเป็นเก่งได้แค่ 3 วิ แต่ก็โดนจับได้แล้ว แกคงต้องมุดดินหนีแล้ว ฮ่าฮ่า…”
เชินสิ่วเงยหน้าขึ้นมองฉิงจีแล้วเถียงกลับ “ถ้าพูดถึงเรื่องอายุแล้ว ฉันเป็นปู่ของนายด้วยซ้ำ ! ”
ฉิงจีไม่ได้ใส่ใจ “งั้นหรือ ? งั้นฉันถามนายทีว่านายอายุเท่าไหร่ ? ”
“ฉันอายุ 3,842 ปี นี่นับตามเวลาดาวโลกของนายนะ ! ”
หวังเย่าหันไปมองเชินสิ่วด้วยความแปลกใจ เขาราวกับไม่เชื่อ
หวังเย่าไม่ได้สนใจทั้งสองคนอีก เขาเดินออกมาจากเขตลวงตาก่อนที่จะไปในป่า เขาไม่ได้สนใจว่าเชินสิ่วมาจากที่ไหน ตอนนี้ที่เขาต้องสนใจคือหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน
ถ้าเขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเชินสิ่วมาจากที่ไหน เขาก็แค่เดินเข้าไปถาม ยังไงซะตอนนี้ชายคนนั้นก็ต้องพึ่งเขาในการเอาตัวรอดอยู่ดี
ฉิงจีหัวเราะออกมา “นายโง่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก ทำไมนายไม่บอกเลยล่ะว่าเทพฟุซีเป็นพ่อของนาย ? ”
เชินสิ่วยิ้มออกมา “งั้นนายก็เก่งเรื่องประวัติศาสตร์สินะ ? เรามาลองวัดกันหน่อยไหมล่ะ ? ”
ฉิงจีมองไปที่เชินสิ่ว และก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มเถียงกันต่อ
ไม่นานฉิงจีก็ไม่อาจจะรักษาความเยือกเย็นของตัวเองได้ เขาเริ่มลนลาน “เป็นไปได้ยังไง…นายคือ…”
เชินสิ่วพยักหน้า “ ใช่ ฉันคือลูกหลานของฟุซี ในดาวนิบิรุน่ะ มีคนแบบฉันอยู่จำนวนมาก ฐานะของฉันไม่ได้สูงส่ง ที่นั่นฉันเป็นแค่นักรบทั่วไป”
ฉิงจีมองไปที่เชินสิ่ว เขาไม่ได้สงสัยว่าอีกฝ่ายจะหลอกเขา เขาเริ่มตั้งใจฟังสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจากเชินสิ่ว
มันมีดาวเคราะห์ทั้งหมด 12 ดวงในระบบสุริยะ ดาวนิบิรุคือดาวที่พิเศษที่สุด มันมีวงโคจรพิเศษ การหมุนรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 3,600 ปีและหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 600 ปี
มันคือหนึ่งในดาวเคราะห์ย่อยในจักรวาล มันอยู่อันดับที่ 200 แต่ก็สามารถพัฒนาขึ้นมาในระดับแนวหน้าได้
“ เมื่อแสนปีก่อน ราชาอัลโลเลม รู้ว่ามีก๊าซลึกลับปรากฏขึ้นในจักรวาล มันได้เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชิวิตและทำให้พวกนั้นบ้าคลั่ง ”
“ประมาณสามหมื่นปีก่อน ราชาคนใหม่นิกิ และน้องสาวของเขานิมาเชอ กับน้องชายของเขาเอนริเก้ ได้พบว่าดาวโลกนี้มีหินแม่เหล็กจำนวนมาก เขาจึงเริ่มส่งคนของนิบิรุมาที่นี่”
“ ตอนนั้นโลกยังไม่มีมนุษย์ แม้แต่ลิงที่ฉลาดที่สุดก็ยังไม่เรียนรู้วิธีการเดินเลย คนงานของดาวนิบิรุถูกส่งมาขุดเหมืองที่นี่ ตอนที่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ยังไม่กำเนิดขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ”
“นักวิทยาศาสตร์พันธุกรรมของเราหนิงมาเฮอ ได้ใช้ยีนส์ของตัวเองกับน้องชายเอนกี สร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมา เขาเป็นกึ่งเทพของโลกพวกนาย”
“กึ่งเทพนั้นได้เข้ามาผสมพันธุ์กับลิงของโลก มันได้ให้กำเนิดมนุษย์ที่สีผิวแตกต่างกันขึ้นมา”
“อันที่จริงมันมีหลักฐานเรื่องนี้ แต่ชาวตะวันตกของนายพยายามปกปิดความจริงเอาไว้”
มันไม่มีเหตุผลที่เซิ่นสิ่วจะต้องโกหก เพราะมันสามารถพบได้ในหลักฐานของเผ่ามายา, อียิปต์รึอื่น ๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าบรรพบุรุษของพวกเขามีผมสีดำ !
“คิดว่าสำเนียงของพวกเอนกีกับนินมาเชอร์คล้ายกันรึเปล่า ? รึว่าพวกนั้นรู้จักกัน ? ใช่ พวกนั้นคือลูกหลานของฟุซี เทพในตำนานของชาวหัวเซี่ย หินพลังแม่เหล็กที่พวกเราเก็บมาถูกใช้ในการสร้างพวกนายขึ้น หินพวกนั้นอยู่ในร่างพวกนาย ดังนั้นนายจึงสามารถตัดมิติและสามารถใช้วิธีต้องห้ามได้”
“หินแม่เหล็กนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่จะสร้างหินกฎไฟและหินกฎหิมะ, หินกฎไฟฟ้า…”
“นายเห็นอสูรของฉันไหม เสือขาว มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้แต่มาจากดาวนิบิรุ”
“อสูรจำนวนมากในดาวนิบิรุกลายมาอยู่ในตำนานของพวกนาย แต่ที่พวกนายไม่เคยเห็นมันมาก่อน ก็เพราะว่าพวกมันไม่ใช่สัตว์ของที่นี่”
“หมื่นปีก่อนเราเชี่ยวชาญเรื่องการใช้อสูร เราได้นำอสูรมาที่โลกนี้ จากนั้นอสูรเหล่านั้นกับสัตว์ในโลกนี้ก็ผสมพันธุ์กัน สุดท้ายก็เสียความสามารถในการต่อสู้ไป จนกระทั่งหลายสิบปีก่อน ตอนที่ก๊าซลึกลับกระจายมาที่โลก มันก็ได้ปลุกสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในตัวสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น และทำให้ยุคสัตว์อสูรของโลกนี้เริ่มต้นขึ้น !”