ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 102 เหิงอีเจี้ยนแพ้ (ต้น)
บทที่ 102 เหิงอีเจี้ยนแพ้? (ต้น)
บทที่ 102 เหิงอีเจี้ยนแพ้? (ต้น)
ทันทีที่ร่างของเสิ่นโตวพุ่งออกไป เจตจำนงกระบี่ก็ทะยานสู่ท้องนภาราวกับทวยเทพจากสวรรค์ทั้งเก้า มันพุ่งเข้าใส่เซียวเทียนในทันที
ตูม!
ทันทีที่ปราณกระบี่ก่อตัวขึ้น หมู่เมฆสีดำก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่งเหนือท้องนภา พลังอันแก่กล้าและหนักอึ้งเคลื่อนเข้ามาอย่างรุนแรง จนทั่วทั้งเทือกเขาไม่อาจแบกรับไหว และพังทลายในทันที ราวกับวันสิ้นโลกมาเยือน
ตายซะ!
เสิ่นโตวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ปราณกระบี่ฟาดฟันมาในทันใด ตรงเข้าหาบุตรแห่งโชคชะตา
วิ้ง!
เสียงกระบี่ดังขึ้น ปราณกระบี่ทำลายล้างพลันหายวับไป
เสิ่นโตวตะโกนใส่เหิงอีเจี้ยนอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าอยากหยุดข้างั้นหรือ?!”
ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์ยืนอยู่บนฝักกระบี่ ผ่านไปหนึ่งอึดใจ เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าร่างของลูกศิษย์ ตอบอย่างแผ่วเบาว่า “ข้อตกลงสามปีเกิดขึ้นจากพวกเขาทั้งสอง วิถีแห่งสวรรค์เป็นพยาน ตอนนี้เซียวเทียนชนะแล้ว แต่ตระกูลเสิ่นกลับไม่ยอมรามือ หมายจะฆ่าเขา ตระกูลเสิ่นไม่กลัวว่าวิถีแห่งสวรรค์จะลงโทษหรือ?!”
เสิ่นโตวยิ้มหยัน ดวงตาฉายแววสังหาร “วิถีแห่งสวรรค์หรือ… วิถีแห่งสวรรค์อะไรกัน?! ข้ารู้แค่ว่า ใครก็ตามที่ทำร้ายเหยียนเอ๋อร์ของข้า จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
ผู้นำตระกูลเสิ่นยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง เจตจำนงกระบี่ที่กำลังบดขยี้ท้องนภาก่อเกิดขึ้นทันที กระหน่ำฟาดฟันไปทางลานประลอง
เจตจำนงกระบี่นี้ทำให้ทุกคนหน้าซีดเผือดราวกับยมทูตปรากฏขึ้นเบื้องหน้า พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่ออีก ทำการกระตุ้นการบ่มเพาะทั่วร่างเพื่อถอยห่างออกมาจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสของสำนักอักขระสวรรค์คุ้มกันพวกลู่หยวน ก่อนล่าถอยออกมาหลายร้อยลี้เช่นกัน
ลู่หยวนหันศีรษะมาหาผู้อาวุโสแล้วกล่าวว่า “ไปจับหนึ่งในผู้อาวุโสของพวกเขามา ให้นำทางไปห้องโถงบรรพชนตระกูลเสิ่น เพื่อนำหอกพันมังกรเก้าสวรรค์กลับมา”
ผู้อาวุโสตกตะลึง… หากไปตอนนี้ มันก็ไม่ต่างจากขโมยน่ะสิ
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ทำไมไม่รอให้ผู้นำตระกูลเสิ่นสะสางเรื่องราวทั้งหลายก่อน แล้วค่อยทำตามสัญญาของท่านล่ะ”
ลู่หยวนขมวดคิ้วแล้วเร่งเร้าว่า “พูดอะไรน่ะ ยังไม่รีบไปอีก?!”
รอเสิ่นโตวหรือ…
ใครจะบ้าอยู่รอจิ้งจอกเฒ่าดี ๆ กันล่ะ!
หากรอให้สะสางเรื่องนี้เสร็จก่อน เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่
หากไม่ฉวยเอาของในช่วงโกลาหลเช่นนี้ แล้วจะให้รอไปถึงเมื่อไหร่
อีกอย่าง เขาคือผู้ชนะ ไม่ได้ใช้กำลังแย่งมาเสียหน่อย
ผู้อาวุโสชำเลืองมองลู่หยวน ไม่กล้าขัดคำสั่งอีก ก่อนจากไปในพริบตา
เสิ่นโตวและเหิงอีเจี้ยนเผชิญหน้ากันบนจัตุรัสตระกูลเสิ่น
ทั้งสองสำแดงเจตจำนงกระบี่แก่กล้าแผ่ไปโดยรอบพื้นที่อย่างไม่ปรานี ก่อนร่างทั้งสองจะพุ่งเข้าหากัน
ตูม! ตูม! ตูม!
โลกเปลี่ยนไปทันที ทั่วพื้นที่คล้ายกับฉีกขาด ทุกสิ่งรอบข้างเริ่มโกลาหล
ลู่หยวนหรี่ตามองการต่อสู้ “เหิงอีเจี้ยนชนะ…”
ก่อนจะทันได้กล่าวอะไรอีก กลิ่นอายที่คล้ายกับบดขยี้สวรรค์ก็พุ่งมาที่จัตุรัส!
ตูม!
สิ้นเสียงอันกึกก้อง สายตาหนักอึ้งของชายหนุ่มเหลือบมองสถานการณ์อีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าคือเสิ่นฉงผู้เป็นบรรพชนตระกูลเสิ่นลงมาสู้กับเหิงอีเจี้ยนด้วยตัวเอง เขายืนตระหง่านขวางหน้าศัตรูกับลูกหลานไว้ เป็นฉากเปิดตัวสุดที่เห็นได้ทั่วไป
แน่นอนว่า… หากคนรุ่นเยาว์ถูกรังแก พวกตำนานเดินได้ย่อมโผล่ออกมาช่วย
เป็นไปตามความคาดหมาย ตามบทในนิยายกำลังภายใน มันได้เวลาที่พวกตาเฒ่าที่เก่งอย่างกับสัตว์ประหลาดออกโรง!
เหิงอีเจี้ยนผู้นั้นไม่อาจเทียบเสิ่นฉงผู้ปรากฏตัวมาช่วยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยได้เลย เขายังไม่ทันขยับกระบี่ก็ถูกเสิ่นฉงกำราบลงได้แล้ว
ตูม!
บรรพชนตระกูลเสิ่นตวัดกระบี่ลงไป ทำลายกระบี่ฟ้าประทานของเหิงอีเจี้ยนทันที
ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์รับรู้ได้ว่าตัวเองไร้พลัง แต่ด้วยมีเซียวเทียนยืนอยู่ด้านหลัง หากเขาถอย ชีวิตของทั้งคู่จะจบสิ้นในวันนี้แน่
ผู้คนนอกลานประลองไม่มีเนตรเทวะแบบลู่หยวน จึงไม่เห็นว่าบรรพชนของตระกูลเสิ่นปรากฏกายออกมาบนลานประลองตัวเอง พวกเขารู้เพียงว่าเจตจำนงกระบี่มหาศาลระเบิดขึ้น ก่อนจะปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัส
ทุกคนมองเห็นสองสามร่างยืนตระหง่านในหมอกควันอย่างเลือนราง ก่อนปราณกระบี่ที่ดูแคลนสวรรค์และโลกจะพุ่งตรงสู่ท้องนภา!
ปราณกระบี่นี้แข็งแกร่งกว่าปราณกระบี่ของเหิงอีเจี้ยนสามเท่า!
จนปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่ยักษ์เริ่มจางหายไป ความว่างเปล่าระหว่างทั้งสองก็สงบลง หลังจากเผชิญหน้ากันครั้งแรก
ในบริเวณ เหิงอีเจี้ยนเหาะอยู่กลางอากาศ เจตจำนงกระบี่รอบข้างสงบนิ่ง มือซ้ายของเขาคว้าจับอาวุธ ด้ามกระบี่ยักษ์ถูกดึงออกจากฝักทันที
เจตจำนงกระบี่พลันระเบิดออก ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนจู่โจมจากทุกทิศทาง ก่อนรวมตัวกันกลายเป็นคมกระบี่ขนาดยักษ์ในพริบตา
เสิ่นฉงเห็นดังนี้ จึงเย้ยหยันว่า “โธ่ เหิงอีเจี้ยน ตอนที่เจ้าต่อสู้เพื่อฉายาปรมาจารย์กระบี่ ไม่เพียงแค่แขนหักเท่านั้น แม้กระทั่งคมกระบี่ยักษ์มังกรคำรามในมือยังถูกทำลาย”
“การนำปราณกระบี่มาหลอมสร้างกระบี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเสิ่น สารเลวเซียวเทียนนั่นสอนเจ้ามาหรือ?”
เสิ่นฉงชำเลืองมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก
เหิงอีเจี้ยนยืนถือกระบี่ ไม่กล้ากล่าวอะไรสักคำ มีเพียงสายตาทิ่มแทงจับจ้องตรงไปที่ฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่ที่แขนหัก รากฐานการบ่มเพาะของเขาก็ลดลงไปมาก ตอนนี้จึงไม่อาจทัดเทียมกับห้าถึงหกในสิบสุดยอดปรมาจารย์อีกต่อไป
การปะทะกับเสิ่นฉงในตอนนี้ เขาไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะด้วยซ้ำ
บรรพชนตระกูลเสิ่นชำเลืองมอง พร้อมจิตสังหารฉายในดวงตา “ขโมยจากตระกูลเสิ่นของข้า แถมยังกล้ามายั่วยุ ทำลายชื่อเสียงตระกูลจนย่อยยับ เจ้าสมควรตายยิ่งนัก! เจ้ากับเซียวเทียนจะต้องถูกสังหารในวันนี้!”
เสิ่นฉงใช้มือแทนกระบี่ ทันทีที่ออกคำสั่ง ปราณกระบี่ที่บดขยี้ท้องนภาก็พุ่งออกไป ความว่างเปล่ารอบข้างถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์ พร้อมเจตจำนงกระบี่อันทรงพลังแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่
เหิงอีเจี้ยนเค้นพลังกระบี่ที่ปกคลุมท้องนภาจนก่อเกิดโล่กระบี่แก่กล้า ปกป้องตนเองกับลูกศิษย์เอาไว้ข้างใน
ตูม!
เสียงอึกทึกดังขึ้น ทั่วทั้งปฐพีสั่นสะเทือน โล่กระบี่หายไป พร้อมพลังวิญญาณในรัศมีหลายร้อยลี้ที่ถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว สายลมโหมกระหน่ำ พลังอันแรงกล้ารวมตัวในพื้นที่
เหิงอีเจี้ยนยืนอยู่ใจกลางจัตุรัสขณะมองดูโล่กระบี่ตรงหน้าถูกฟันเป็นชิ้น ๆ ด้วยกระบี่เล่มเดียว พลังกระบี่ทั่วท้องนภาหายไปพร้อมกับสายลม
เขารู้ดี หากเสิ่นฉงออกหน้าเองในวันนี้ โอกาสที่เขาและเซียวเทียนจะมีชีวิตรอดกลับไปได้ช่างน้อยนิดนัก
เหิงอีเจี้ยนไม่ลังเลอีกต่อไป มอบยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาให้ศิษย์เอกทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าจะป้องกันให้เจ้าสักพัก หาโอกาสหลบหนีไปซะ!”
บุตรแห่งโชคชะตารับยันต์เคลื่อนย้ายพริบตามา สภาพร่างชุ่มโลหิตถูกกดดันด้วยปราณและเจตจำนงกระบี่จำนวนมากเมื่อครู่จนอ่อนแรง
ยอดฝีมือเผ่ามังกรเงยหน้าขึ้น จิตวิญญาณต่อสู้ฉายในดวงตา
หลังจากได้พบกับเหิงอีเจี้ยน คุณชายเซียวจึงได้ใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายในฐานะอาจารย์และสหาย
อาจารย์มาที่นี่เพื่อเขา เพราะต้องการสนับสนุนศิษย์รัก ถึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนอีกครั้งหลังปลีกวิเวกมาตลอดหลายปี
ตอนนี้ที่เราทั้งคู่ถูกสุนัขเฒ่าของตระกูลเสิ่นไล่ต้อน …ทั้งหมดก็เพราะเขา
ดูจากช่องว่างระหว่างทั้งสอง เหิงอีเจี้ยนอาจจะรู้ว่าเป็นการยากที่จะรอดไปจากที่นี่!
หากทิ้งอาจารย์แล้วหลบหนีเพียงลำพังในตอนนี้ มันจะต่างอะไรกับพฤติกรรมของเดรัจฉาน?!
เซียวเทียนรู้สึกลังเลยิ่งนัก
แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าหากยืนกรานที่จะอยู่ต่อ มีแต่จะทำให้ทั้งสองจบชีวิตลงที่นี่!
เหิงอีเจี้ยนย่อมรู้ความคิดของลูกศิษย์ จึงปลอบอีกฝ่ายทันทีว่า “ไม่ต้องห่วง ถ้าเจ้ารอดปลอดภัย ข้าจะสามารถต่อสู้ได้อย่างสบายใจ หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ ข้ามีแต่จะกังวลเอาเปล่า ๆ”