ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 116 พรากชีวิตลู่หยวน (ต้น)
บทที่ 116 พรากชีวิตลู่หยวน (ต้น)
บทที่ 116 พรากชีวิตลู่หยวน (ต้น)
ตูม!
แรงกดดันอันรุนแรงแผ่ไปทั่ว ทุกสิ่งใต้เท้าของเสิ่นฉงถูกบดขยี้
เทือกเขาพังทลายหายไปนานแล้ว ควันธุลีฟุ้งกระจายปกคลุมทุกหนแห่งบนปฐพี
ชิ้ง!
เสียงกระบี่ร่ายรำดังกึกก้อง ลำแสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นพร้อมคลื่นพลังมหาศาลแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง เผยให้เห็นคมกระบี่ยักษ์ฝ่าควันธุลี
เหิงอีเจี้ยนถ่ายพลังวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในอาวุธ จนพลังไร้ผู้เทียบเทียมอาบคมกระบี่ยักษ์ชี้ตรงไปที่เสิ่นฉง
“พวกมดปลวก!”
เสิ่นฉงพ่นคำเหล่านี้ออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ
เขาไม่อยากล่าช้าไปกว่านี้อีกแล้ว!
อัสนีเหนือเมืองหลวน เกิดขึ้นจากการบ่มเพาะของเขา
เนื่องจากมันดึงดูดความสนใจของทุกคน ทำให้เขาไม่มีเวลามาสนใจยอดเขามังกรเร้นที่นี่
จุดประสงค์ของการใช้อสนีบาตสวรรค์เป็นการหลอกล่อผู้คน ถึงอย่างไร หากผู้คนทราบว่าเขาสังหารลู่หยวน โทสะของลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยจะมาเยือนทันที มันไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเสิ่นจะสามารถแบกรับได้!
ตอนนี้มันกินเวลานานเกินไป สายฟ้าในท้องนภาผลาญการบ่มเพาะของเขาไปมาก อีกทั้งยังมีลูกหลานมากมายของตระกูลใหญ่แห่งตำหนักธารสุญญะอยู่ในเมืองหลวน ยิ่งเวลาผ่านไป หากการต่อสู้บานปลายจนดึงดูดความสนใจมายังที่นี่ ย่อมยากจะรับมือ!
เมื่อคิดได้ดังนี้ พลังของเสิ่นฉงพลันเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลกระบี่ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขามังกรเร้นไว้ทันที
ผู้คนในหุบเขาไม่อาจรับรู้กลิ่นอายภายนอกได้อีกต่อไป ส่วนผู้คนนอกหุบเขากลับมองเห็นว่ายอดเขามังกรเร้นที่เดิมใหญ่โตโอ่อ่านั้นหายไปแล้ว!
ด้วยการใช้ค่ายกลกระบี่เพื่อปิดกั้นยอดเขามังกรเร้นอย่างสมบูรณ์ ความกดดันของบรรพชนเสิ่นจึงคลายลง ด้วยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงอีกต่อไป ทั่วทั้งยอดเขาตกอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว!
เสิ่นฉงกวาดสายตาออกไปพร้อมจิตสังหารพวยพุ่ง เขากำลังจะต่อสู้อีกครั้ง แต่กลับเห็นเหิงอีเจี้ยนดึงพลังมหาศาลกลับไป ก่อนที่ร่างจะวูบไหวกลับเข้าไปในหอคอย
เพราะความผันผวนของปราณกระบี่รอบหอคอย ค่ายกลจำนวนมากจึงถูกกระตุ้นให้ทำหน้าที่ป้องกัน ดังนั้นมันจึงยังคงสภาพสมบูรณ์ได้แม้จะอยู่ภายใต้ปราณกระบี่อันทรงพลัง
เมื่อเสิ่นฉงเห็นอีกฝ่ายถอยก็ข้องใจ สายตาหรี่ลง “เหิงอีเจี้ยน เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เหิงอีเจี้ยนคลายปราณกระบี่ขณะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของหอคอย เรียวปากเอ่ยคำพูดราบเรียบราวผิวน้ำ แต่คล้ายกับเป็นการประกาศจุดจบ “เสิ่นฉง เวลาสุดท้ายของเจ้ามาถึงแล้ว”
“เหอะ อวดดีนักนะ!”
เสิ่นฉงเย้ยหยัน ก่อนจะชักกระบี่ออกมา
ชิ้ง!
อักขระจำนวนมากพลันพวยพุ่งรอบค่ายกลกระบี่ของเสิ่นฉงพร้อมหลายสิบค่ายกล มันเชื่อมต่อกันพร้อมกลืนกินค่ายกลกระบี่ทั้งหมดเข้าไป
เสิ่นฉงไม่อาจทำอะไรได้ เขาเพียงรู้สึกว่าค่ายกลกระบี่ของตนเสียการควบคุม
บรรพชนตระกูลเสิ่นขมวดคิ้ว พลางกระตุ้นการบ่มเพาะ เขาพยายามใช้งานค่ายกลกระบี่ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ล้วนเปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น
“โธ่ สุนัขเฒ่าเสิ่น เจ้ามันช่างโอหังเสียจริง!”
เสิ่นฉงได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงหยุดกระตุ้นการบ่มเพาะและมองไปทางต้นเสียง พบว่าในหอคอยงดงามนั้น ลู่หยวนเดินออกมาจากเงามืดโดยเอามือไพล่หลัง พร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้มชั่วร้าย
“สุนัขเฒ่าเสิ่น เจ้าจะมาพรากชีวิตข้า คิดว่าทำได้จริงหรือ?”
เสิ่นฉงมองบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ใส่ใจ “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังทำบ้าอะไร แต่บอกได้เลยว่าฝีมือต่ำต้อยนั่นล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังสุดหยั่ง!”
“จริงหรือ?”
ชายหนุ่มยกมุมปาก ยื่นมือขวาออกไป ก่อนจะดีดนิ้ว
“เช่นนั้นสุนัขเฒ่าเสิ่น ลองดูเถิดว่าการลงมืออันต่ำต้อยของข้าจะเป็นเช่นไร”
สิ้นคำ ค่ายกลสีขาวพลันปรากฏขึ้นรอบยอดเขามังกรเร้น มีกระบี่ขนาดใหญ่ปรากฏออกมาจากค่ายกล
พวกมันลอยอยู่ในอากาศ คมกระบี่สั่นไหว
เมื่อเห็นดังนี้ บรรพชนตระกูลเสิ่นจึงมองดูอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดจะเอาชนะข้าได้ด้วยกระบี่ยักษ์งั้นหรือ? เหลวไหล! ขนาดปรมาจารย์กระบี่ยักษ์อย่างเหิงอีเจี้ยนยังล่าถอยไปแล้ว”
ลู่หยวนยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร ขณะที่เสิ่นฉงชักกระบี่ กำลังจะฟาดฟันอย่างเกรี้ยวกราด
ด้านหลังกระบี่ขนาดใหญ่ที่ถูกอัญเชิญออกมา ร่างแล้วร่างเล่าเดินออกมาจากรัตติกาล
สายตาของคนเหล่านี้ไร้ชีวิตราวกับศพเดินได้ มีเครื่องหมายแปลกประหลาดบนหน้าผาก พวกเขาเดินมาข้างหน้าช้า ๆ แต่ละคนถือกระบี่ยักษ์ พลางเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาศัตรูพร้อมจิตสังหาร
หลังจากเสิ่นฉงเห็นใบหน้าของคนเหล่านี้ชัดเจน เจตจำนงกระบี่เมื่อครู่กลับหายไปทันที
คนเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลเสิ่นที่หายตัวไป!
คนที่เป็นหัวหน้าถือกระบี่ยักษ์ไว้ในมือ แผ่พลังกระบี่ออกมาจากร่างกายคล้ายกับเสิ่นฉง รากฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์เช่นกัน …แสดงว่าเป็นเสิ่นโตวไม่ผิดแน่
ผู้ที่อยู่ด้านหลัง ล้วนเป็นลูกหลานสายตรงของเสิ่นหุน!
เมื่อบรรพชนเสิ่นเห็นลูกหลานจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ก็คิดไปว่าลู่หยวนร่ายวิชาบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงเค้นพลังมหาศาลออกมา หมายจะหลอมรวมเข้ากับจิตเทวะของคนเหล่านี้เพื่อคลายคำสาป
แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังค้นหาจิตเทวะของเหล่าผู้ถูกอัญเชิญมากแค่ไหน ก็ไม่ต่างกับท่องไปในเขาวงกต จนไม่อาจค้นหาคำสาปพบได้
นี่ไม่ใช่ยันต์สาปวิญญาณ!
“เจ้าทำอะไรกับพวกเขา?!”
เสิ่นฉงถอนสายตากลับ แม้ยันต์สาปวิญญาณจะเป็นคำสาปชั่วร้ายยิ่ง แต่มันยังพอมีวิธีในการทำลายอยู่
แต่คำสาปตรงหน้านี้ เสิ่นฉงไม่อาจตามหาร่องรอยได้ อาจจะเพราะเป็นวิชาต้องห้ามบางอย่าง หากเป็นเช่นนั้น การที่จะคลายมันได้ย่อมเป็นปัญหาพอสมควร!
ลู่หยวนเมินคำถามของเสิ่นฉง เพียงกล่าวว่า “ไป!”
ผู้คนที่อยู่กับเสิ่นโตวเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขากวัดแกว่งกระบี่ยักษ์ในมือทันที ขณะพุ่งเข้าหาบรรพชนตระกูลของตน
เสิ่นฉงเห็นการปรากฏตัวของผู้คนจำนวนมาก จึงรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาไม่อาจได้สติกลับคืนมาสักพัก จึงกวัดแกว่งปราณกระบี่ หมายจะกักขังเหล่าผู้ถูกอัญเชิญไว้กับที่ หลังจากสังหารลู่หยวนแล้ว ค่อยหาทางคลี่คลายให้พวกเขา
เมื่อเสิ่นฉงตัดสินใจได้แล้ว ปราณกระบี่รอบข้างก็พลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้!
ยอดฝีมือตระกูลเสิ่นจำนวนมากกวัดแกว่งกระบี่ยักษ์ ร่างเหมือนกับภูตผีพุ่งข้ามผ่านปราณกระบี่จำนวนมากในเวลาอันสั้น ตรงเข้าหาเสิ่นฉง
เหล่ายอดฝีมือทะยานออกไป ถ่ายพลังวิญญาณชนิดหนึ่งเข้าสู่กระบี่ยักษ์ในมือ ปราณกระบี่เสิ่นฉงถึงกับปะทะกระบี่ยักษ์ของเหล่าคู่ต่อสู้ จนปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ในทันที
ตูม!
กระบี่ยักษ์ในมือของทุกคนฟาดฟันลงมาพร้อมกัน จนเกิดเป็นคลื่นอากาศกดทับลงมาฉับพลัน
เสิ่นฉงชักกระบี่ยาวในมือออกมา กลิ่นอายราวกับขุมนรกพลันปกคลุมทั่วทั้งยอดเขามังกรเร้น
กลิ่นอายนั้นแตกต่างจากพลังมหาวิถี มันไม่ได้ดูน่าเกรงขาม แต่กลับทำให้ผู้คนหวาดกลัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับความตาย
แต่พวกเสิ่นโตวถูกปลูกถ่ายเมล็ดพันธุ์มารของลู่หยวน พวกเขาจึงกลายเป็นหุ่นเชิดมารไม่ต่างจากศพเดินได้ พวกเขาสูญสิ้นอารมณ์ไปนานแล้ว ความตายไม่สำคัญอีกต่อไป
ดังนั้นการต่อต้านนี้ สำหรับพวกเขานับว่าเปล่าประโยชน์!
พวกเขาจับด้ามกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้าง ยังคงฟาดฟันต่อไป
ตอนนี้ความคิดของลู่หยวนไม่ได้อยู่กับการต่อสู้อีกต่อไป เขากำลังมองกระบี่ยาวในมือของเสิ่นฉงด้วยแววตาลุกโชน
ทันทีที่กระบี่ยาวถูกชักออกมา เขาพลันรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
นั่นคือพลังของเมล็ดพันธุ์มาร!
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลู่หยวนรู้สึกว่าพลังนี้เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลด เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ราวกับเสียการควบคุม
“ระบบ ตรวจสอบกระบี่ในมือของเสิ่นฉงที!”