ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 120 ค่ายกลสาปสายเลือด (ปลาย)
บทที่ 120 ค่ายกลสาปสายเลือด (ปลาย)
บทที่ 120 ค่ายกลสาปสายเลือด (ปลาย)
“เจ้าว่าอย่างไรนะ…” ศัตรูถามเสียงเคร่งขรึม
ลู่หยวนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแสยะ “ข้าแค่กำลังรอค่ายกล… ค่ายกลที่สามารถเอาชนะเจ้าได้ก็เท่านั้น!”
ทันทีที่กล่าวจบ เสิ่นฉงพลันรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งทรวงอก เพราะความละโมบ ความเกลียดชัง และความขลาดเขลาไม่ได้พุ่งเข้าหาบุตรศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับหันไปอีกทิศทางหนึ่ง
บรรพชนเสิ่นเบิกตาโพลง เขารู้สึกได้ทันทีว่าเป็นที่ไหนจึงหันศีรษะไปมอง และพบว่าไกลออกไป ค่ายกลโลหิตปรากฏขึ้นตรงหน้าจงซื่อ ค่ายกลนั่นเหมือนกับแอ่งโลหิตส่งกลิ่นคละคลุ้ง ข้างในเป็นธารสีแดงก่ำ ช่างขยะแขยงยิ่งนัก
สมาชิกตระกูลเสิ่นจำนวนมากอยู่ข้างในใจกลางของค่ายกลโลหิต แสงสีชาดกลืนกินพวกเขา เลือดเจิ่งนองออกมารวมตัวที่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง …นี่คือชั่วเวลาที่ค่ายกลอันชั่วร้ายถือกำเนิด
เมื่อจับจ้องค่ายกล ความละโมบ ความเกลียดชัง และความขลาดเขลาของเสิ่นฉงก็ถูกดูดเข้าไป
วิ้ง!
เสียงแหลมดังขึ้นขณะค่ายกลเริ่มขยับช้า ๆ อักขระส่องประกายก่อนจะพุ่งออกจากค่ายกลเข้าหาบรรพชนเสิ่น มันกลายเป็นอักขระสลักลงบนหน้าผากของเสิ่นฉง
“ค่ายกลสาปสายเลือดหรือ?”
เมื่อเสิ่นฉงกล่าวคำเหล่านี้ออกมา ร่องรอยความเศร้าโศกก็ผุดขึ้นในใจ!
ค่ายกลสาปสายเลือดนี้ไม่ดูเหมือนกับค่ายกลนัก แต่เหมือนกับคำสาปร้ายมากกว่า
การจะปลุกคำสาปร้ายนั้นจำเป็นต้องสังเวยคนเป็น โดยใช้เลือดเนื้อของญาติร่วมสายเลือดอันเป็นที่รัก คำสาปร้ายดังกล่าวจึงจะก่อเกิดขึ้นมาได้ ทันทีที่คำสาปร้ายสมบูรณ์ จะมีรอยประทับบนร่างกายของญาติทางสายเลือดที่ถูกเลือกเอาไว้
คำสาปร้ายนั้นจะกลืนกินหัวใจของผู้คนตลอดเวลา ทำให้พวกเขามีความคิดวิปลาสฟุ้งซ่านดังหลอนฝิ่น ความคิดเหล่านี้จะยังคงกัดกร่อนหัวใจของผู้คน เพิ่มความเป็นไปได้ในการกลายเป็นมารมากยิ่งขึ้น
ยิ่งกว่านั้น คนที่แบกรับคำสาปนี้ไว้จะมีอายุขัยสั้นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รากฐานการบ่มเพาะเกิดข้อติดขัด
เสิ่นฉงฝืนระงับความตื่นตระหนกไว้ เขาคือยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ จะมายอมให้ลู่หยวนทำการสังเวยเพื่อใช้งานค่ายกลนี้ได้อย่างไร?
หากเป็นเพียงการสังเวยของผู้อยู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ หรือแม้กระทั่งขั้นเทียมเซียน ค่ายกลย่อมมีผลกับเขาไม่มากนัก ขอเพียงให้ความสนใจเรื่องอนาคต ย่อมหาหนทางกำจัดพลังมารในใจได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สองใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในค่ายกลโลหิตทางหางตาของเสิ่นฉง พวกเขาคือผู้อาวุโสสองคนของสำนักอักขระสวรรค์
เสิ่นฉงพลันหันมาทันที “เจ้าถึงกับสังเวยเซียนยุทธ์สองคนงั้นหรือ?!”
เหนือกว่าเซียนยุทธ์ก็มีเพียงปรมาจารย์ยุทธ์ ค่ายกลสายเลือดอำมหิตที่เกิดจากการสังเวยของสองคนนี้ย่อมทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ที่ทำให้เสิ่นฉงตกตะลึงยิ่งกว่าคือ ลู่หยวนถึงกับทำร้ายสองคนนี้… ไม่ใช่ว่าทั้งสองเป็นองครักษ์ของตนเองหรอกหรือ?!
จิตใจช่างโหดเหี้ยมนัก!
เสิ่นฉงภูมิใจในความโหดเหี้ยมอำมหิตของตน แต่พอมองทางฝั่งลู่หยวน กลับมองไม่เห็นหัวใจของอีกฝ่ายแม้น้อยนิด!
“หากไม่ใช้เซียนยุทธ์สองคน แล้วมันจะใช้ได้ผลได้อย่างไร?!”
สายตาของลู่หยวนอ่อนลง “ข้าไม่ได้ใช้เล่ห์กลอะไรกับพวกเขา แค่พวกเขาเห็นพลังมารของข้า จุดจบย่อมเป็นความตาย… เป็นการตายอย่างคุ้มค่า”
“สุนัขเฒ่าเสิ่น เรื่องนี้ยังไม่จบหรอกนะ”
หึ่ง!
มีเสียงร้องของกระบี่ดังขึ้นจากด้านข้าง เหิงอีเจี้ยนปรากฏกายพร้อมกับถือกระบี่เอาไว้
ชั้นหมอกบางปกคลุมกระบี่ยักษ์เอาไว้ เป็นการยากที่ผู้คนจะมองเห็นรูปลักษณ์เดิมของกระบี่ยักษ์
“กระบี่ทะเลหมอกหรือ?!”
เสิ่นฉงโพล่งออกมา เอ่ยนามของกระบี่เล่มนั้น
นี่คือสมบัติของตระกูลเสิ่นที่ถูกซ่อนเอาไว้ในถ้ำหมื่นกระบี่ หนึ่งในอาวุธระดับจักรพรรดิที่ยังหลงเหลืออยู่!
เส้นเลือดบนหน้าผากของบรรพชนเสิ่นปูดขึ้นมา ความโกรธจุกแน่นในอก
เมื่อครู่เขาหมกมุ่นกับค่ายกลจำนวนมากที่ลู่หยวนใช้ จนถึงขั้นลืมตำแหน่งของจงซื่อและเหิงอีเจี้ยนไป!
ตั้งแต่มาที่ยอดเขามังกรเร้นด้วยตัวเอง ทุกย่างก้าวที่เดินคล้ายกับถูกบุตรศักดิ์สิทธิ์ชี้นำ
เจ้าเด็กคนนี้วางแผนเก่งเสียจริง!
อย่างแรกให้เหิงอีเจี้ยนและจงซื่อคอยราวีเขาอยู่เบื้องหน้า ล่อลวงให้นึกว่าทั้งสองยังคงไม่ได้ไปไหน
จากนั้นค่ายกลจตุรเทพก็ปรากฏขึ้น ให้ผู้อาวุโสสองคนใช้พลังของสัตว์เทวะสองตนเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา
ตามด้วยควบคุมคนของตระกูลเสิ่น ส่วนลู่หยวนนั่งอยู่บนหอคอย ทั้งหมดนี้เพื่อคอยปั่นป่วนเขา
แต่จงซื่อฉวยโอกาสตั้งค่ายกลสาปสายเลือด ส่วนเหิงอีเจี้ยนไปตระกูลเสิ่นเพื่อชิงกระบี่ทะเลหมอกมา
ทุกย่างก้าวถูกคำนวณไว้ล่วงหน้า!
ใบหน้าของเสิ่นฉงแข็งทื่อ ความมืดผุดขึ้นมาจากก้นบึ้ง ความโกรธแค้นชิงชังครอบงำจิตใจ พลังสีดำที่ปกคลุมรอบกระบี่ยาวในมือคล้ายกับสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือครองได้ มันจึงเริ่มผัวผวนขณะคืบคลานเข้าหาเสิ่นฉงอย่างต่อเนื่อง
บรรพชนเสิ่นลอบรำพึงว่าไม่ดีแล้ว หากถูกความคิดชั่วร้ายในใจควบคุมเข้า เช่นนั้นตนเองจะกลายเป็นมาร!
เขารีบใช้การบ่มเพาะ เพื่อสะกดอารมณ์ปั่นป่วนในใจเอาไว้
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้เป็นเช่นนี้ ในใจของเหิงอีเจี้ยนลอบรู้สึกยินดี “เป็นอย่างไร เสิ่นฉง ข้าเพิ่งเอากระบี่มาจากตระกูลเสิ่นของเจ้า ดูตอนเจ้าโกรธสิ หน้าถึงกับเปลี่ยนสีเลย”
“ถ้าเจ้ารู้ว่า ตอนที่ข้าไปเอากระบี่ทะเลหมอก ข้าได้ทำลายถ้ำหมื่นกระบี่ของตระกูลเสิ่นจนสูญสิ้นขึ้นมา เจ้าจะไม่โกรธจนกระอักโลหิตออกมาเลยหรือ?!”
สายตาของคนฟังแข็งทื่อ ถ้ำหมื่นกระบี่ซ่อนมรดกนับไม่ถ้วนของตระกูลเสิ่นมานานนับหมื่นปี มีมรดกมากกว่าหนึ่งพันชิ้นที่มีเจตจำนงกระบี่และพลังกระบี่อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?!
หากถ้ำหมื่นกระบี่ถูกทำลาย รากฐานตระกูลเสิ่นก็แทบถูกทำลายจนสิ้น!
เขารีบมองไปทางเมืองหลวนของตระกูลเสิ่น เห็นเพียงว่าไกลออกไปในทิศทางของถ้ำหมื่นกระบี่ มีสถานที่ที่ไฟกำลังมอดดับอยู่ เขาพยายามรับรู้ถึงค่ายกลกระบี่ทั้งซ้ายขวาของถ้ำ แต่มันกลับเปล่าประโยชน์
“สารเลว!”
เสิ่นฉงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด โทสะไร้พรมแดนพลุ่งพล่านจากก้นบึ้งของหัวใจ พลังแห่งมารร้ายยังคงเติบโตขึ้น เจริญงอกงามอยู่ในกายของเขา
ถ้ำหมื่นกระบี่ถูกทำลาย!
นอกจากเสิ่นโตวกับเสิ่นซูเหยียนแล้ว ลูกหลานสายตรงของตระกูลเสิ่นตายหมด!
ต่อให้ชนะในวันนี้ ตระกูลเสิ่นก็ถูกทำลายจนสิ้นแล้ว!
ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น แต่สร้างความเสียหายยิ่งกว่าถูกกองกำลังยิ่งใหญ่ของแผ่นดินบดขยี้
งานเลี้ยงวันเกิดของหลานสาวที่ควรเป็นบรรยากาศของความสุข กลายเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายของตระกูล!
ดี …ดีมาก!
“ลู่หยวน! เจ้าทำแบบนี้ คงไม่ใช่แค่อยากบังคับให้ข้ากลายเป็นมารใช่หรือไม่? หากข้ากลายเป็นมารในวันนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งทันที!”
เสิ่นฉงกรีดร้องเสียงเล็ดลอดไรฟันออกมา เสียงนั้นสั่นสะเทือนทั้งปฐพี รากฐานการบ่มเพาะทั้งหมดที่เขาใช้สะกดอารมณ์หายไปในพริบตา พลังสีดำแผ่ซ่านออกมาจากแขนขาและกระดูก ก่อนปกคลุมทั่วร่างกายในทันที
เมื่อเห็นดังนี้ กลุ่มพลังสีดำที่ปกคลุมรอบกระบี่ยาวจึงไหวระริกอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังเฉลิมฉลอง
บรรพชนเสิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตากลายเป็นสีดำสนิท กลิ่นอายทั้งหมดที่เพิ่งพลุ่งพล่านอยู่รอบข้างสงบลง
แต่พลังที่แผ่ออกมาจากเขาเหมือนกับวันสิ้นโลกไร้พรมแดนพลันปกคลุมทั่วหล้า กลิ่นอายเย็นเยือกแผ่ออกมาอย่างไม่สิ้นสุด
อากาศแปรปรวนราวกับสวรรค์รับรู้ได้ถึงการกลายเป็นมารของยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ เมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า ส่งเสียงคำรามลั่นน่าหวาดผวา
ทันทีที่เสิ่นฉงยกมือขึ้น พลังมารทั้งหมดเริ่มกวาดออกไป ราวกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่งรุกคืบเข้าหาชายหนุ่ม!
พลังสีดำน่าสะพรึงม้วนตัวราวกับสสาร กลืนกินทุกสิ่งรอบข้างจนเหลือเพียงความว่างเปล่า