ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 124 เมืองหวงซี
บทที่ 124 เมืองหวงซี
บทที่ 124 เมืองหวงซี
เสิ่นโตวย่อมไม่กล้าถามว่าผู้ใดจะมา จึงได้แต่ตอบรับ
ลู่หยวนอธิบายอีกสองสามคำก่อนจะจากไปกับจงซื่อ
ยอดเขามังกรเร้นถูกทำลายไปแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงนำคณะไปยังเมืองหวงซีซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล
ข่าวที่เขากำลังจะไปที่นั่นแพร่ไปทั่วสารทิศ และทั้งเมืองก็พลันโกลาหล
บนถนนคับคั่งเบียดเสียดจนกระทั่งน้ำยังไม่อาจลอดผ่าน ทุกคนแห่กันไปแออัดที่ประตูเมืองเพราะอยากเห็นท่าทีของบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ผู้นี้!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่จะมาเมืองหวงซีของเรา ไปดูกันหน่อย!”
“ข้าก็จะไปดูเหมือนกัน! ได้ยินมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เป็นยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิยุทธ์ รัศมีศักดิ์สิทธิ์คุ้มกาย เป็นผู้เลิศล้ำอายุน้อย!”
“โอ๊ย ๆๆ อย่าเบียดสิ ใครเหยียบเท้าข้าเนี่ย?”
ถนนที่นอกประตูเมืองไร้ผู้คนเดินขวักไขว่ และเหล่าผู้นำตระกูลในเมืองหวงซีล้วนรวบผมจัดอาภรณ์เรียบร้อย รออยู่นอกเมืองอย่างเป็นระเบียบ
ทว่าในใจพวกเขาไม่ได้เยือกเย็นเช่นที่เห็นภายนอก
ผู้นำตระกูลเหล่านี้ล้วนรู้แก่ใจว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ต้องมาที่นี่เพื่อพักผ่อนเป็นแน่ และหากสามารถต้อนรับขับสู้ได้เป็นที่พอใจ ก็จะเป็นโอกาสแก่ทั้งตระกูล!
ขอเพียงเอาใจคุณชายลู่ ยามนั้นแม้เพียงบำเหน็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มอบให้ก็สามารถทำให้พวกเขาแตกต่างจากผู้อื่นได้ และเมื่อถึงเวลา พวกเขาก็อาจได้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหวงซี หรือกระทั่งติดอันดับต้น ๆ ของแดนเหนือเลยก็เป็นได้!
และหน้าประตูเมืองก็ถูกจับจ้องโดยหลายตระกูล คนทั้งหลายยืนตัวตรง สีหน้านอบน้อมเคร่งขรึม สายตาจ้องมองไปไกล
“บุตรศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนเช่นนี้ออกมา แต่สายตาทุกคู่ก็ล้วนมองตามไป
พบว่าลำแสงสายหนึ่งทะยานมาจากท้องฟ้า และชายชุดสีแดงห่มผ้าคลุมดำผู้หนึ่งก็เหยียบย่างบนอากาศ ปรากฏขึ้นในสายตาของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลาย
ทุกย่างก้าวของบุรุษผู้นี้เปี่ยมด้วยอำนาจเกินจะเมินเฉย ภายใต้แสงตะวัน เห็นได้ว่าชายผู้นี้คิ้วเรียวดุจกระบี่ เนตรสองดวงใสกระจ่าง สีหน้าเฉยชา ดูประหนึ่งบุตรแห่งเก้าชั้นฟ้า
เดิมยังมีผู้ยืนมองเขาซึ่งหน้า แต่เมื่อชายผู้นี้ก้าวเข้ามาใกล้ อำนาจทรงพลังก็ทำให้พวกเขาต้องก้มหัวลงทันที
ผู้มีรากฐานการฝึกฝนต่ำหน่อยไม่อาจทานทนอำนาจเช่นนี้ได้เลย และแทบเข่าทรุดคุกเข่าลงกับพื้น
ผู้นำตระกูลคนหนึ่งฉวยโอกาสยามผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ ไม่ทันสนใจ ชิงก้าวออกมากล่าวด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “หวังเหมิ่งแห่งตระกูลหวังขอนำสมาชิกทั้งตระกูลมาต้อนรับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
เมื่อผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ล้วนก่นด่าหวังเหมิ่งว่าลอบกัดในใจ และต่างรีบร้อนก้าวเข้ามาคำนับก้มหัว “คารวะบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
แต่ละคนล้วนส่งเสียงดังกังวาน หวังว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะสังเกตเห็นพวกเขา
ลู่หยวนก้าวย่างบนอากาศ ทำเพียงกวาดตามองพวกเขาแล้วส่งเสียงตอบรับแผ่วเบาในลำคอ
หวังเหมิ่งชิงพูดขึ้นก่อนอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “นายท่านเดินทางมาเหนื่อย ๆ เหตุใดไม่ไปพักที่บ้านของผู้น้อยก่อนเล่า ตระกูลหวังของเราเตรียมอาหารเลิศรสและที่พำนักไว้ให้นายท่านแล้ว รอเพียงนายท่านมาเท่านั้น!”
สายตาของชายหนุ่มกวาดลงมาโดยไม่ได้ปริปากอันใด
ผู้นำตระกูลคนอื่นล้วนกระวนกระวายใจ
หวังเหมิ่งผู้นี้คิดมัดมือชกกันชัด ๆ!
ควรพูดให้นายท่านเลือกไม่ใช่หรือ?!
แต่เจ้านี่กลับเชื้อเชิญบุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าพักบ้านตัวเองโดยตรง หักหลังพวกเขาอย่างสมบูรณ์!
ผู้นำตระกูลอีกมากมายต่างก็เอ่ยปากกล่าวด้วยท่าทีน่าสงสาร “ตระกูลของเราทั้งหลายก็เตรียมที่พักอาหารไว้เช่นกัน ขอเชิญนายท่านไปเยี่ยมเยือน!”
“เราก็ด้วยขอรับ นายท่าน เรามีสุราอายุเจ็ดร้อยปีอยู่ อยากเชิญให้มาลิ้มลอง!”
“วันนี้เรามีเนื้อสัตว์อสูรใหม่ ๆ มาด้วย!”
ผู้นำตระกูลเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้มีหน้ามีตาในเมืองหวงซี มีมาดมีศักดิ์ศรีเป็นที่เคารพ แม้หลายตระกูลจะมีเหตุพิพาทขัดแย้งกัน พวกเขาก็ไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็นและรักษาหน้าตนอย่างสุดความสามารถ
ทว่าวันนี้ ผู้นำตระกูลทั้งหลายใกล้เปิดศึกกันเต็มที!
พวกเขาแต่ละคนต่างงัดของดีที่ตนมีอยู่ออกมาเหมือนเจ้าของร้านค้าบนถนนเรียกลูกค้า
“หุบปาก!”
จงซื่อตะโกนลั่น และเสียงของยอดฝีมือขั้นเซียนยุทธ์ก็เปรียบดั่งอัสนีฟาดลงจากสวรรค์ชั้นเก้า พลังอันยิ่งใหญ่ปกคลุมทั่วเมืองหวงซีในพริบตา
ผู้นำตระกูลทั้งหลายเพิ่งอยู่ในขั้นเทียมเซียนกัน มีหรือพวกเขาจะรับพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนก็ล้วนหน้าถอดสี หุบปากและไม่กล้าพูดอันใดอีก
และผู้มีรากฐานการบ่มเพาะต่ำในเมืองก็หมดสติไปยามได้ยิน
ลู่หยวนยิ้มบาง ยืนเอามือไพล่หลังมองเหล่าผู้นำตระกูลที่หดคอเงียบเสียง กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ต้องทะเลาะกันเองเช่นนั้นหรอก ข้ากำลังต้องการที่พัก สุ่มชี้เอาแล้วกัน”
ผู้นำตระกูลหลายคนพยักหน้ารัว ๆ เหมือนกำลังตำกระเทียม
ชายหนุ่มมอง ๆ แล้วก็กำลังจะชี้หวังเหมิ่ง ทว่าทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีคนหนึ่งจากในฝูงชนไม่ห่างไปนัก
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่แล้วเช่นไร พี่หยางอวิ๋นได้รับเลือกจากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เหตุใดตระกูลหยางของข้าต้องมาประจบประแจงผู้ที่ไม่ได้ถูกสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เลือกเช่นนี้ด้วย?”
ผู้อาวุโสหลายคนย่อมได้ยินคำนี้เช่นกัน
สีหน้าของผู้นำตระกูลหยางซีดเผือดโดยพลัน และเขาก็โบกฝ่ามือฟาดหยางซือซือผู้พูดอย่างใจกล้าในฝูงชนลงไปกองกับพื้นทันที
“บังอาจ! ต่อหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายังกล้าพูดเพ้อเจ้ออีกหรือ?!”
หยางจ่าน ผู้นำตระกูลหยางรีบก้าวเข้ามาก้มหัวคำนับ “นายท่าน ผู้น้อยสั่งสอนบุตรหลานไม่ดี คนในตระกูลคิดน้อยกล่าวคำเพ้อพก ข้าจะฆ่านางเพื่อชดใช้!”
จิตสังหารของหยางจ่านพลันลุกโชน หยางซือซือผู้นี้นับได้ว่าเป็นหลานสาวของเขาเอง ในอดีต หยางจ่านรักนางมาก แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับใช้วาจาชักศึกเข้าบ้าน
หากบุตรศักดิ์สิทธิ์โกรธขึ้นมา เช่นนั้นทั้งตระกูลหยางก็จะถูกทำลาย!
แล้วจะเก็บสัตว์ร้ายนี่ไว้ในบ้านเพื่อการใด?!
หยางจ่านยกฝ่ามือขึ้น เล็งพลังไปที่หญิงสาว เตรียมลงมือสังหารนางทันที
ทว่าทันใดนั้น เสียงของลู่หยวนก็ดังขึ้น “ข้าไม่ทราบมาก่อน ชาวเมืองหวงซีมีบุตรหลานอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ”
เมืองหวงซีแห่งนี้เป็นถิ่นทุรกันดาร หลายตระกูลไม่อาจมียอดฝีมือคนใดเข้าตาได้เลย และการคัดเลือกของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็เข้มงวดยิ่งนัก ในอดีตมีลูกหลานหลายตระกูลที่ไม่อาจเข้าสู่สำนักได้ แต่มีคนผู้หนึ่งจากเมืองหวงซีนี้ทำได้อย่างนั้นหรือ
หยางจ่านเก็บพลังของเขาไปทันทีและตอบอย่างนอบน้อม “ตอบบุตรศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเราก็แค่มีทายาทมีฝีมือนิดหน่อยอยู่ และบังเอิญไปเข้าตาปรมาจารย์ท่านหนึ่งจากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เมื่อสองสามปีก่อน ไม่ควรค่าให้พูดถึงหรอก”
แม้วาจาของคู่สนทนาจะถ่อมตน แต่ก็เจือความโอ้อวดอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้ท้ายที่สุด หยางอวิ๋นผู้เข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว และคนในตระกูลก็ไม่รู้ว่าเขาในยามนี้เป็นหรือตายก็ตาม
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวขวัญ คนจากนานาตระกูลใหญ่ก็ล้วนหลบสายตาแล้วแค่นเสียงเย็นชาในใจ
บุตรศักดิ์สิทธิ์หารู้ไม่ แต่พวกเขารู้ดีแก่ใจ!
หยางอวิ๋นผู้นั้นเป็นสมาชิกตระกูลสาขาของตระกูลหยาง แต่เพราะสิ้นบุพการีจึงถูกตระกูลกลั่นแกล้งรังแกมาแต่เด็ก
ยามนี้เมื่อเขาเป็นอิสระก็ไร้ความคิดจะกลับมา ตัวเขาเองก็คงรู้ด้วยซ้ำไปว่าตนไม่ใช่คนสายเลือดตระกูลหยาง!