ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 133 ลู่เทียนเฟิ่ง
บทที่ 133 ลู่เทียนเฟิ่ง
บทที่ 133 ลู่เทียนเฟิ่ง
ฐานที่มั่นตระกูลลู่
ณ หุบเหวไร้ก้นบึ้งห้อมล้อมด้วยน้ำตกที่แว่วเสียงน้ำไหลไม่ขาดสาย กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศใจกลางหุบเหว ทั่วทั้งเล่มปกคลุมด้วยตะไคร่และวัชพืชครึ้มเขียว
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์เปรอะเปื้อนนั่งอยู่บนด้ามกระบี่ มือหนึ่งค้ำกายไว้ยามเอนหลัง อีกมือถือน่องไก่ฉ่ำมันเข้าปาก พลางฮัมเพลงเป็นทำนองอันไร้ผู้ใดรู้จัก
หากมองดี ๆ จะเห็นได้ว่าแขนขาของชายผู้นี้ถูกห่วงเหล็กตรึงไว้
ทันใดนั้น แสงทองสายหนึ่งก็ค่อย ๆ เคลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเขา
ท่าทางการแทะน่องไก่ของชายผู้นั้นพลันเชื่องช้าลง ยันต์แผ่นหนึ่งคลี่ตัวออก เผยข้อความจากลู่หยวนบนนั้น
เขาเหลือบมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งตัวตรงคว้ายันต์ไว้ในมือ “เจ้าหนูหยวนคิดอันใดอยู่ ให้ตาเฒ่าผู้นี้ไปคุ้มกันตระกูลเสิ่น?”
“เขายังบอกด้วยว่าหลังเรื่องนี้ลุล่วง เขาจะขอร้องบรรพชนให้คลายตรวน และให้ข้าหวนคืนสู่สาแหรกตระกูลลู่?”
ชายผู้นั้นถอนหายใจอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้เชื่อคำเพ้อเจ้อของลู่หยวน
เขากำลังจะทำลายยันต์แล้วแทะน่องไก่ต่อ ทว่าทันใดนั้นก็ชะงัก หางตาเหลือบไปพบข้อความตัวเล็กจ้อยอีกสองสามคำบนแผ่นยันต์
“ท่านอาเทียนเฟิ่ง ท่านอาจยังไม่รู้ว่าในแผ่นดิน ไม่มีสมญา ‘นักพรตกระบี่สวรรค์’ อยู่อีกต่อไปแล้ว”
ลู่เทียนเฟิ่งมีปฏิกิริยาอย่างชัดเจนต่อประโยคนี้ “นี่ข้าไม่ได้ออกไปนานเพียงใดแล้ว?”
เขาคำรามก้องหุบเหว “นี่ข้าติดอยู่ที่นี่มานานเพียงใดกัน?!”
ไม่กี่อึดใจผ่านมา เสียงตอบก็ดังมาจากเบื้องบน “นายท่าน ท่านอยู่ที่นี่มาสามร้อยกว่าปีแล้ว!”
เมื่อลู่เทียนเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ เขาก็เขวี้ยงกระดูกไก่ที่เหลือในมือทิ้ง “น่องเวรนี่ ผ่านไปสามร้อยกว่าปีก็ลืมสมญาข้ากันหมดแล้วหรือ?! หากไม่ใช่เพราะข้าทำผิดต้องถูกผนึกฐานการบ่มเพาะ ข้าสั่งน้ำมูกหนเดียวทั้งแดนเหนือก็ไม่รอดแล้ว!”
“ข้าละอยากเห็นนักว่าสามร้อยกว่าปีมานี้ สามัญสำนึกในโลกหล้าเป็นเช่นไร!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ลู่เทียนเฟิ่งก็ลุกขึ้น แรงกดดันรอบกายทวีสูง น้ำตกซึ่งหลั่งรินลงเริ่มไหลย้อนกลับ กระแสธารไร้ขอบเขตจากหุบเหวไร้ก้นบึ้งทะยานตรงขึ้นสู่นภา
ตูม! ตูม! ตูม!
ตระกูลลู่ทั้งตระกูลเริ่มสั่นสะท้าน สัตว์อสูรทั้งหลายที่ถูกกำราบเลี้ยงไว้ต่างหมอบย่อตัวลงภายใต้พลังนี้ ไม่กล้าโงหัวขึ้นมาอีก
คนตระกูลลู่คนอื่น ๆ เองก็สัมผัสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพียงพริบตา พวกเขาก็มายังหุบเหว
ลู่เทียนเหอเองก็ตามมา และพบว่าร่างหนึ่งทะยานขึ้นจากใจกลางหุบเหว ปราณกระบี่ทะยานตรงสู่นภา
วิ้ง!
กระแสธารหยุดนิ่งลงกะทันหัน ค้างกลางอากาศไม่ขยับเคลื่อนทั้งขึ้นลง ราวกับดินแดนทั่วทิศถูกสะกดนิ่ง
ร่างของลู่เทียนเฟิ่งเคลื่อนตามขึ้นมา ปราณกระบี่อันไม่อาจมองเห็นควบแน่นใต้เท้าให้เหยียบยืน
เมื่อลู่เทียนเหอเห็นน้องชาย หัวใจของเขาก็บังเกิดความปรีดาขึ้น “น้องเฟิ่ง วันนี้ตัดสินใจออกมาแล้วหรือ?”
นับแต่ลู่เทียนเฟิ่งกระทำความผิดเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาก็ถูกผู้อาวุโสมากมายในตระกูลตัดสินโทษ โดนประมุขคนก่อนสั่งให้ผนึกฐานการบ่มเพาะของเขาไว้ พร้อมทั้งนำชื่อออกจากสาแหรกตระกูล
แม้จะไม่ถูกคุมขัง แต่ลู่เทียนเฟิ่งก็ระเห็จตัวเองมาอยู่ในหุบเหวนี้ ไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกอีก
ลู่เทียนเฟิ่งก็ถือได้เช่นกันว่าเป็นยอดฝีมือ การปลีกตัวไม่สุงสิงของเขาก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลลู่
ลู่เทียนเหอเองก็หวังอยู่เสมอว่าน้องชายจะยอมรับความผิด เกลี้ยกล่อมบรรพชนให้คืนชื่อสู่สาแหรกตระกูล และปลดปล่อยจากพันธนาการนี้ได้
แต่ลู่เทียนเฟิ่งเป็นคนปากแข็ง ยอมตายดีกว่าโอนอ่อน และกระทั่งยอมอยู่ในหุบเหวนี้มาสามร้อยปี
ยามนี้ เมื่อในที่สุดเขาก็ออกมา ตระกูลลู่ก็เท่ากับได้ยอดฝีมือเพิ่มอีกคน!
เมื่อเห็นท่าทางยินดีของลู่เทียนเหอ ลู่เทียนเฟิ่งก็เช็ดมือมัน ๆ ของเขากับอาภรณ์ ก่อนตบบ่าพี่ชายใหญ่พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ แค่ก ๆ ๆ ข้าจะออกไปข้างนอกสักพักนะ!”
“ออกไปข้างนอก?”
ลู่เทียนเหอขมวดคิ้ว “เจ้าจะออกไปทำการใด?”
ประมุขตระกูลลู่พลันคิดถึงบางสิ่งได้ และทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นกางม่านพลังปกคลุมทั้งสองทันที พลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ายังลืมหญิงผู้นั้นไม่ลงอีกหรือ? สามร้อยปีก่อน บรรพชนยังโมโหเพียงนั้น แล้วสามร้อยปีผ่านไป เจ้าก็ยังอยากพยศอยู่อีกหรือ?!”
“สตรีผู้นั้นหามีเจตนาบริสุทธิ์ต่อเจ้าไม่! ลืมไปแล้วหรือว่านางเกือบหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ”
“โลกนี้ยังมีสตรีอีกนับพันหมื่น ปล่อยนางไปไม่ได้หรือไร?! ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าจะไปหามาให้เจ้าเลือกสามพันคนเลย! อยากได้สิ่งใดก็ย่อมได้! ขอเพียงปริปากเท่านั้น”
ลู่เทียนเฟิ่งเม้มปาก วางมือของเขาลง ดวงตาปรากฏเค้าความรวดร้าว และหลังเงียบไปสองสามอึดใจก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าคร้านเกินกว่าจะยุ่งกับสตรีผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว วันนี้ที่ข้าจะออกไป เป็นเพราะเจ้าหนูหยวนเรียกข้าต่างหาก”
ว่าแล้วลู่เทียนเฟิ่งก็ส่งแผ่นยันต์ให้พี่ชาย
หลังจากอีกฝ่ายรับไปอ่าน เขาเองก็ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเข้าใจการกระทำนี้ของลู่หยวน
คนของตระกูลลู่ ไฉนต้องไปคุ้มกันตระกูลเสิ่น?
ทว่าสองสามวันมานี้ เหมือนเขาจะเคยได้ยินคนพูดกันว่าเสิ่นฉง บรรพชนตระกูลเสิ่นกลายเป็นมารและตกตาย ขณะนี้ตระกูลเสิ่นไร้ผู้นำ!
หรือว่า
ลู่เทียนเหอชะงักในใจ
หรือหยวนเอ๋อร์จะสยบตระกูลเสิ่นแล้ว?!
ประมุขลู่ไม่แน่ใจว่าตนคิดถูกหรือไม่ และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวกับลู่เทียนเฟิ่งว่า “ในเมื่อเจ้าจะออกไป ก็ออกไปเถอะ หากต้องการสิ่งใดก็นำไปจากตระกูลบ้างก็ได้ จำไว้เพียงว่าหลังถึงตระกูลเสิ่น ต้องบอกข้าด้วยว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นเช่นไร”
คู่สนทนาพยักหน้าแล้วมองไปรอบ ๆ “ดูจะไม่มีสิ่งใดต้องนำไปด้วย ข้าจะนำกระบี่สวรรค์ยักษ์นี่ไปด้วยแล้วกัน แล้วก็ให้คนห่อน่องไก่ให้ข้าไปกินระหว่างทางสักร้อยน่องสิ!”
ลู่เทียนเหอย่อมตอบตกลง
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ลู่เทียนเฟิ่งก็ยกมือขึ้น เจตจำนงกระบี่ขยี้นภาพลันแพร่ออกจากร่าง หุบเหวเริ่มสั่นสะท้านรุนแรง ตามด้วยกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งทะยานออกมาจากข้างใน
ผู้ถือครองกระบี่สะบัดตะไคร่วัชพืชบนกระบี่ยักษ์ เผยโฉมดั้งเดิมของกระบี่สวรรค์ต่อสายตาทุกผู้ในที่สุด
ที่ด้ามกระบี่มีเก้ามังกรกระหวัดพัน แต่ละตนช่างดูราวกับมีชีวิต ดุร้ายทรงอำนาจนัก
ทว่าตัวกระบี่ยาวนั้นแดงฉานเยี่ยงโลหิตอันปกคลุมทั่วทั้งกระบี่
ทันทีที่กระบี่ยักษ์นี้ปรากฏขึ้น คนตระกูลลู่บางคนในบริเวณก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ จิตสังหารพลันเอ่อขึ้นในใจ
กระบี่สวรรค์ยักษ์นี้กล่าวได้ว่าเป็นกระบี่ประหารของตระกูลลู่ เมื่อสามร้อยปีก่อน จำนวนผู้ตกตายด้วยกระบี่นี้น่าจะเกินแสนด้วยซ้ำ
กระบี่สวรรค์ยักษ์หดตัวลงหลายเท่าภายใต้บัญชาของลู่เทียนเฟิ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในแหวนเก็บของ พี่ชายกล่าวกับเขาอีกสองสามคำ ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายไป
ยามมองร่างซึ่งคล้อยลับไปของลู่เทียนเฟิ่ง ลู่เทียนเหออดขมวดคิ้วไม่ได้ ขณะตนอยู่ในตระกูลลู่ เขารู้สึกว่าสถานการณ์ทั่วแดนเหนือแปรเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล และล้วนเกี่ยวข้องกับลู่หยวนทั้งสิ้น
บุตรชายข้าเติบโตขึ้นแล้ว!
เขาเอียงคอน้อย ๆ และถามบริวารเฒ่าข้างกาย “เจ้าสำนักอู่ยังเก็บตัวอยู่หรือ?”
บริวารเฒ่าตอบกลับอย่างนอบน้อม “ขอรับ!”
“ยามเจ้าสำนักอู่ออกมา ให้บอกข้าทันที!”
“ขอรับ ท่านประมุข!”