ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 134 สู่สำนักในเมฆา (ต้น)
บทที่ 134 สู่สำนักในเมฆา (ต้น)
บทที่ 134 สู่สำนักในเมฆา (ต้น)
เพียงพริบตา ห้าวันก็ผันผ่าน ลู่หยวนพาสตรีทั้งสองออกเดินทางไปยังหุบเขาเคลื่อนฟ้า สองสามวันก่อนหลิงอวิ๋นส่งยันต์มาหาเขา บอกว่านางรออยู่ที่นั่นเพื่อไปยังสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน
ชายหนุ่มย่อมไม่ปฏิเสธ
เขาพาคณะไปยังสถานที่นัดหมาย และพบว่าบนหุบเขา นอกจากศิษย์เดิมของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ยังมีคนอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาน่าจะเป็นผู้ถูกเลือกจากแดนเหนือในหนนี้
บุตรศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบ ๆ และพบคนคุ้นหน้าหลายคน
เมื่อชายหนุ่มมาถึงก็พบว่าที่ยอดเขามีชายสะพายกระบี่เล่มยักษ์ผู้หนึ่งกวักมือตะโกนเรียกเขา “พี่ลู่!”
คนผู้นี้คือเซียวเทียน!
ลู่หยวนวูบไหวร่างลงมาอยู่ตรงหน้าบุตรแห่งโชคชะตาเผ่ามังกร “พี่เทียน ไม่ได้พบกันนานเลย!”
คู่สนทนาเกาศีรษะกล่าวด้วยท่าทีขัดเขิน “พี่ลู่อย่าเรียกข้าเช่นนั้นเลย หนก่อนข้าโกหกเจ้า อันที่จริงชื่อข้าคือเซียวเทียน พี่ลู่ก็รู้แล้วนี่”
เซียวเทียนลดเสียงลงกล่าว “ท่านอาจารย์เหิงอีเจี้ยนบอกข้าว่าหากวันนั้นไม่ได้พี่ลู่ ข้ากับท่านอาจารย์คงได้ตายไปแล้ว!”
เขาประสานมือคำนับอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม “หากยามใดที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าผู้น้อย พี่ลู่สั่งการมาได้เลย ไม่ต้องลังเล”
บุตรศักดิ์สิทธิ์คารวะตอบน้อย ๆ แล้วช่วยประคองเซียวเทียนขึ้น “เจ้ากับข้าถือเป็นพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจมากความ”
เซียวเทียนมองผู้มีพระคุณของตนและอาจารย์ด้วยสายตาปลื้มปริ่ม แม้ไม่มีตราประทับหรือยันต์ใด ศิษย์ของเหิงอีเจี้ยนก็กลายเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เคารพลู่หยวนอย่างจริงใจ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย
ในขณะที่ดวงตาของวายร้ายเจือรอยยิ้ม ลอบกล่าวขึ้นในใจว่า ‘อย่าห่วงไป ข้ายังสูบค่าชะตาเจ้าไม่หมด อนาคตของเรายังอีกยาวไกล!’
เมื่อทั้งสองเสวนากันอีกพักหนึ่ง คนอื่น ๆ ซึ่งได้เข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็มาทักทายเขาเช่นกัน และหลังจากรบเร้าลู่หยวนให้เสวนาด้วยสองสามคำ พวกเขาก็แยกย้ายกันไป
พวกเขาล้วนรู้กาลเทศะ ย่อมรู้ว่าหากเซ้าซี้ชายหนุ่มนาน ๆ รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายรำคาญ แต่การผูกมิตรไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่า ภายหน้าเมื่อเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยหาโอกาสสานสัมพันธ์ให้มิตรภาพแน่นแฟ้น
หลังทุกคนแยกย้าย ชายผู้แต่งตัวดีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแข็ง ๆ คล้ายยิ้มเยาะบนใบหน้า
“คารวะบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
คนผู้นี้คือหลี่เจียงหนาน!
ลู่หยวนเองก็เลิกคิ้วยามพบอีกฝ่าย แต่เพราะคนผู้นี้ไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตา ชายหนุ่มจึงไม่ให้ความสนใจนัก
หลังสังหารเสิ่นฉงไปยามนั้น เขาก็ไม่คิดให้ความสำคัญกับคุณชายหลี่อีกต่อไป และหลังฟังวาจาของจงซื่อ ได้ยินว่าหลี่เจียงหนานพาคนในตระกูลจากไปแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจ
ไม่คาดเลยว่าวันนี้จะได้มาพบกันอีก
ชะตาสมพงศ์จริง ๆ!
บุตรศักดิ์สิทธิ์รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะยังมีเจตนาฆ่าเขาอยู่
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย
บางครั้งก็จำเป็นต้องมีพวกชอบวางแผนเช่นนี้อยู่เช่นกัน คนเช่นนี้จะรีบไปหาผู้เป็นปรปักษ์กับลู่หยวนท่ามกลางฝูงชน แล้วรวมกลุ่มกันมาโจมตีเป็นแน่
สายตาของชายหนุ่มกวาดไปมองหยางอวิ๋นผู้ยืนถลึงตามองมาอย่างเดือดดาลอยู่ไกลจากผู้คน
เฮอะ…
หากมีหยางอวิ๋นเพียงลำพัง เมื่อเขาเป็นฝ่ายเข้าโจมตีบุตรศักดิ์สิทธิ์ก่อน เกรงว่าลู่หยวนต้องหาวิธีกระตุ้น แต่ในเมื่อมีหลี่เจียงหนานอยู่ ชายหนุ่มก็เบาแรงลงไปได้เยอะ
อีกไม่นาน หลี่เจียงหนานจะค้นพบเองว่าหยางอวิ๋นผู้นี้เข้ากับตนไม่ได้ และเมื่อถึงยามนั้น พวกเขาจะเริ่มเตรียมตัวร่วมมือกับบุตรแห่งโชคชะตาโง่เง่ามาจัดการกับลู่หยวนเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่หยวนก็มองคุณชายหลี่และเริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
เขาประสานมือคำนับแล้วช่วยประคองหลี่เจียงหนานขึ้นทันที “พี่หลี่ไม่ต้องเกรงใจ ท้ายที่สุด ข้ายังต้องขอบคุณเจ้าที่ส่งของดีมาให้!”
“ของดี?”
หลี่เจียงหนานไม่เข้าใจวาจาของอีกฝ่าย
ลู่หยวนส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก”
คุณชายหลี่ทิ้งคำที่เขาไม่เข้าใจเมื่อครู่ไป และขณะเสวนากับบุตรศักดิ์สิทธิ์สองสามคำ เขาก็มองหน้าศัตรูคู่แค้นไปด้วย ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีแตกต่างจากคราวล่าสุดที่พบพานก็เบาใจลง
ยามอยู่ในตระกูลเสิ่นและรู้ว่าเสิ่นหุนสิ้นใจ เขาก็คิดว่าเรื่องของตนคงถูกเปิดโปงแล้ว จึงพาคนหนีหายไปทันที
ไม่คาดว่าหลังจากนั้น เสิ่นฉงก็ตายตาม อีกทั้งบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มาตามหาเขา คุณชายหลี่จึงผ่อนความกังวลบางส่วนลงได้
เพราะถึงอย่างไรลู่หยวนก็เหมือนเป็นมารร้ายในคราบมนุษย์ หากรู้ว่าเขาคิดจะรวมหัวตระกูลเสิ่นมาฆ่าตน มีหรือจะยังไม่ปรี่เข้ามาฉีกร่างเขา?!
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้มา และเมื่อพบกันวันนี้ เขาก็ดูสุภาพเอาการ หามีเค้าจิตสังหารไม่
หลี่เจียงหนานฉวยโอกาสยามบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจ ก่อนเหลือบสายตาไปมองฉินอี่หาน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าน้อย ๆ เขาก็วางใจโดยสมบูรณ์
ดูเหมือนลู่หยวนจะไม่รู้ว่าการตายของผู้คนมากมายในตระกูลเสิ่นอาจไม่เกี่ยวอะไรกับเขานัก…
ยามนี้ ร่างของหลิงอวิ๋นก็ปรากฏขึ้น นางกวาดตามองทุกผู้แล้วกล่าวว่า “มากันครบแล้ว ไปกันเถอะ!”
ทันทีที่สิ้นคำ หลิงอวิ๋นก็นำอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งออกมา มันขยายขนาดขึ้น ปรากฏเรือบินขนาดมหึมาเบื้องหน้าทุกคน
หลิงอวิ๋นกระโดดขึ้นไปยืนบนเรือบิน
เหล่าผู้เพิ่งถูกเลือกเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มองเรือบินขนาดยักษ์ตรงหน้าพวกตนด้วยดวงตาวาบวับ ทอดถอนใจไม่หยุดปาก
เซียวเทียนมองแล้วก็ยิ่งประหลาดใจ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนเรือบินก่อนใครแล้วเอื้อมมือไปสัมผัส “เรือบินลำนี้ใหญ่ยิ่งนัก!”
ศิษย์สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหลือบมองพวกเขาน้อย ๆ และหัวใจก็บังเกิดเค้าความดูแคลน
ผู้ถูกเลือกหนนี้ใช้ไม่ค่อยได้เลย แค่นี้ก็แตกตื่นกันเสียแล้ว!
ลู่หยวนย่อมไม่สนใจการกระทำของทุกคน ขณะที่ในใจแย้มยิ้มบาง ๆ
ร่างของเขาวูบไหว เหยียบย่างสู่เรือบินพร้อมสตรีทั้งสอง
คนอื่น ๆ ทะยานร่างตามขึ้นไป
เมื่อเห็นทุกคนขึ้นมากันพร้อมหน้า หลิงอวิ๋นก็เร่งเรือเหาะทะยานสู่แดนมัชฌิม
แม้นั่งเรือเหาะกันไป แต่จากแดนเหนือสู่แดนมัชฌิมก็ยังต้องใช้เวลาร่วมครึ่งเดือน
ศิษย์ใหม่ทั้งหลายจับกลุ่มกันในบริเวณกราบข้าง มองทะเลเมฆาเคลื่อนผ่านพวกเขา เมฆขาวนภาครามตรึงตาตรึงใจพวกเขาไปชั่วขณะ ยามศิษย์เก่าทั้งหลายรวมตัวกันมองเหล่าคนรุ่นเยาว์อย่างขบขันราวกับมองตัวตลก
ลู่หยวนคร้านเกินกว่าจะเสวนากับคนเหล่านี้ จึงพาไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หานไปพักผ่อนในตัวเรือ
หลายวันในช่วงนั้นจืดชืดนัก
นับแต่ชายหนุ่มเข้าห้องพักในเรือไป เขาก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย และเมื่อถึงเวลาก็ย่อมมีผู้มาส่งอาหารให้
ปกติแล้วทุกวัน ไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หานจะอยู่เป็นเพื่อนแก้เบื่อ บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้รู้สึกหน่าย
วันหนึ่ง ลู่หยวนนอนหนุนตักของไป๋ชิวเอ๋อร์ ฟังฉินอี่หานเล่าอดีตของจักรพรรดินีแห่งแดนมัชฌิม และเทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้เปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกก็กำลังย่ำเท้าน้อย ๆ นวดขาให้เขาอยู่
ทันใดนั้น เสียงเอะอะก็ดังออกมาจากนอกตัวเรือ!
เสียงนั้นอื้ออึงเซ็งแซ่ เจือเสียงสบถด่า
วาจาของผู้ฝึกกระบี่หญิงหยุดลง นางลุกขึ้นเดินออกไปดูสถานการณ์ และไม่กี่อึดใจก็กลับเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
ดวงตาที่พริ้มหลับของลู่หยวนไม่ได้ปรือขึ้นเลยยามปริปากถาม
ฉินอี่หานตอบกลับ “ข้างนอกมีคนทะเลาะกัน ผู้นำคือเซียวเทียนกับศิษย์เก่าแห่งโถงดาบนามฉู่ขวาง ส่วนสาเหตุเป็นเช่นไรนั้น ข้าไม่รู้ ต้องการให้ตรวจสอบหรือไม่?”