ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 140 คุกเข่าครั้งหนึ่ง (ปลาย)
บทที่ 140 คุกเข่าครั้งหนึ่ง (ปลาย)
บทที่ 140 คุกเข่าครั้งหนึ่ง (ปลาย)
หลังจากเข้ามาขวางและเอ่ยแก้ต่าง หลิงอวิ๋นก็แผ่แรงกดดันปกคลุมรอบตัวนาง คิดจะใช้มันผลักว่าที่ลูกศิษย์ออกไป
เมื่อแรงกดดันของบรรพชนหอกกำลังจะเข้าใกล้ชายหนุ่ม เขาพลันลืมตาขึ้น ก่อนที่กลิ่นอายรอบตัวเขาจะสะกดแรงกดดันของทั้งสองเอาไว้
ทั้งสองหรี่ตามอง พบว่าลู่หยวนบีบยันต์ด้วยปลายนิ้ว ยันต์ดังกล่าวถูกสลักด้วยโลหิต ดูซับซ้อนยิ่งนัก
“นี่มัน”
ทันทีที่บรรพชนเสวียนสัมผัสกลิ่นอายนี้ได้ ทั่วร่างพลันหนักอึ้ง ถึงแม้กลิ่นอายนี้จะทรงพลัง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ร่างหลัก จึงไม่ได้แข็งแกร่งพอจะสะกดขั้นปรมาจารย์ยุทธ์
ทว่ากลิ่นอายนี้ สำหรับหญิงชราแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่อาจลืมเลือนได้
นี่คือกลิ่นอายของประมุขตระกูลลู่!
ร่างของบรรพชนเสวียนอ่อนยวบเล็กน้อย หลิงอวิ๋นย่อมสัมผัสได้ถึงพลังของกลิ่นอายนี้ การบ่มเพาะของนางในตอนนี้อยู่เพียงครึ่งก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์เท่านั้น เมื่อเจอกับแรงกดดันเช่นนี้ นางย่อมไม่สามารถเป็นอิสระจากมันได้ คลื่นพลังกดข่มจากการบ่มเพาะได้จองจำนางเอาไว้อย่างแน่นหนา
ลู่หยวนบีบยันต์ กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ถ้าเจ้าคุกเข่า ถือว่าจบเรื่อง ถ้าเจ้าไม่ยอมคุกเข่า บรรพชนของข้าจะมาคุยเรื่องที่เจ้าบอกว่าอยากสังหารตระกูลลู่ด้วยตัวเอง”
“ข้ามียันต์ใบนี้อยู่ในมือ ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา บรรพชนก็จะมาถึง! เจ้าคิดว่าเพียงชั่วพริบตานั้น จะสามารถฆ่าข้าได้หรือไม่?”
เสียงของลู่หยวนไม่ดังนัก ไม่มีความผันผวนแต่อย่างใด
แต่ในใจของบรรพชนเสวียนกลับปั่นป่วน!
ชายผู้นี้คือคุณชายแห่งตระกูลลู่ ย่อมต้องมีหลายสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตได้ เขาไม่มีทางถูกฆ่าได้ในทันที!
ประมุขตระกูลลู่
ไม่… ไม่อยากพบเขา!
จะพบไม่ได้!
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ความรู้สึกจากการถูกเทพแห่งความตายจับจ้อง มันยังตราตรึงอยู่ในใจ
ตอนนี้เพียงสัมผัสถึงกลิ่นอายนั่นได้ ร่างกายนางยังอ่อนยวบเพียงนี้ หากพบหน้าบรรพชนผู้นั้นตรง ๆ นางอาจจะกลัวจนตายในทันทีก็ได้
ยิ่งกว่านั้น ด้วยนิสัยของอีกฝ่าย หากเขาปรากฏตัวในวันนี้ เกรงว่าคนที่ข้องเกี่ยวกับนางจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ศิษย์ที่นางพยายามบ่มเพาะมาอย่างหนัก ย่อมไม่อาจหลีกหนีได้!
สมบัติที่หลงเหลือเอาไว้ก็จะตกเป็นของตระกูลลู่
ชื่อเสียงชั่วชีวิตป่นปี้เพราะ ‘สร้างความขุ่นเคืองให้กับตระกูลลู่’
ภายใต้ความหวาดกลัวทั้งหมดนี้ บรรพชนเสวียนขยับกายช้า ๆ …คุกเข่าต่อหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์
ตูม!
เมื่อเข่าของหญิงชราลงจรดพื้น ชั้นเมฆพลันลอยขึ้น ศิษย์ที่อยู่ไกลออกไปย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไร พวกเขาเพียงเห็นว่าอาจารย์สำนักอย่างบรรพชนเสวียนถึงกับคุกเข่าต่อหน้าลู่หยวน?!
ดวงตาของบรรพชนเสวียนหมองหม่น นางก้มหัวให้เขาช้า ๆ
ก่อนจะลุกขึ้นเพ่งสายตามองเล็กน้อย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ เรื่องในวันนี้ ถือเป็นอันสิ้นสุดแล้วใช่หรือไม่?”
ลู่หยวนพยักหน้าอย่างใจกว้าง ตอบด้วยเสียงอันดังว่า “เอาละ ไปได้แล้ว!”
ร่างของบรรพชนเสวียนวูบไหว หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
ศิษย์เหล่านั้นไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์สำนักกับศิษย์ใหม่ ได้ยินเพียงแค่ประโยคที่ว่า ‘ไปได้แล้ว!’
ส่วนบรรพชนเสวียนก็ตอบรับ ก่อนจากไป
ตอนนี้คุณชายลู่คือตัวตนพิเศษท่ามกลางฝูงชน!
เทียมเซียนอายุเพียงสิบเจ็ดปี เพียงสิบก้าวก็ทำลายบันไดสวรรค์ แถมยังทำให้อาจารย์สำนักขั้นปรมาจารย์ยุทธ์คุกเข่าก้มหัวได้อีก
ไม่ว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายไปในทิศทางใด ผู้คนต่างก็แย่งกันพูดถึงตัวบุคคลผู้นี้!
เมื่อชายหนุ่มเก็บยันต์ หลิงอวิ๋นก็หลุดจากการจองจำ
นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง ที่ผ่านมาไม่เคยโกรธใครมาก่อน
แต่ตอนนี้หญิงสาวขุ่นเคืองเล็กน้อย จนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป”
“คิดจริง ๆ หรือว่าพวกเขาจะกลัวเจ้า? พวกเขาแค่กลัวกองกำลังที่หนุนหลังเจ้าไม่ใช่หรือ ถ้าถึงเวลานั้นเจ้าจะปกป้องตัวเองได้หรือ? สิ่งที่เจ้าทำเป็นการเพิ่มจำนวนคนที่จะฆ่าเจ้าต่างหาก!”
“แล้วอย่างไร?”
สายตาของลู่หยวนเฉยชา ไม่เก็บคำพูดของหลิงอวิ๋นมาคิดแม้แต่น้อย
มือที่หลิงอวิ๋นถือหอกเอาไว้แดงก่ำ พร้อมคำพูดมากมายอยู่ในใจ แต่ทั้งหมดถูกบดขยี้ด้วยวาจาของลู่หยวนที่ว่า ‘แล้วอย่างไร?’
ในใจของนางสงบลงเช่นกัน ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่า ตนเองมองลู่หยวนผิดไป เด็กคนนี้พึ่งแต่เพียงภูมิหลังครอบครัว เป็นชายที่ทำตัวกร่างไปทั่วทุกหนแห่ง!
ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นลูกชายของตระกูลลู่ ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน วันนี้เขาต้องตายอย่างแน่นอน!
ศิษย์แบบนี้ ตนไม่มีทางควบคุมได้!
“หึ” หลิงอวิ๋นคลายหอกในมือ สายตาผ่อนคลายขึ้นมาก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะทำอะไรก็ตามใจ”
บรรพชนหอกเก็บหอกไป หยิบประกาศิตลับออกมาก่อนจะส่งให้ชายหนุ่ม “นี่คือประกาศิตการเข้าเขตยอดเขาหอก หากมีมัน เจ้าจะเข้าออกที่นั่นได้อย่างอิสระ สามารถนำของข้างในออกมาด้วยตัวเองได้ มีห้องอยู่มากมาย เจ้าเลือกพักอาศัยได้ตามสบาย”
หลังจากนั้น ร่างของอาจารย์ก็วูบไหว หายไปจากที่ที่เคยอยู่ในบัดดล
ลู่หยวนรับประกาศิตลับมา พร้อมรอยยิ้มผุดขึ้นในใจ
เขาย่อมรู้ว่าหลิงอวิ๋นในตอนนี้โกรธมาก แต่ว่า ด้วยนิสัยของนางแล้ว ความขุ่นเคืองเช่นนี้คงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น หากลู่หยวนต้องทำบางอย่างจริง ในฐานะที่บรรพชนหอกเป็นอาจารย์ ยังต้องให้การช่วยเหลือเขาอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ไม่สำคัญเลยว่าหลิงอวิ๋นจะให้การสอนสั่งเขาหรือไม่ การมาอยู่สำนักของนางครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาหอกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เป้าหมายของบุตรศักดิ์สิทธิ์เรียบง่ายนัก หนึ่งคือค่าชะตาของบุตรแห่งโชคชะตาปัญญานิ่มหยางอวิ๋นกับหลิงอวิ๋น สองคือ ท่าทีของอาจารย์สำนักผู้นี้ง่ายต่อการควบคุม เขาจึงสามารถใช้เล่ห์กลในมือกอบโกยสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย
นี่เป็นวันแรกในการเข้าศึกษา แต่เขาได้รับประกาศิตลับมาแล้ว!
ยอดเขาหอกย่อมเป็นตัวแทนสถานที่ที่หลิงอวิ๋นและศิษย์ของนางอาศัยอยู่ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือทรัพย์สินของบรรพชนหอก ท่ามกลางของเหล่านั้นมีทั้งคัมภีร์โบราณ ทรัพยากร และโอสถสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วน
บุตรแห่งโชคชะตาหยางอวิ๋นผู้อยู่ไกลออกไปกดข่มกลิ่นอายตัวเอง เมื่อเห็นว่าหลิงอวิ๋นมอบประกาศิตลับให้ลู่หยวน เขาก็เบิกตาโพลง
ประกาศิตลับนี้ถึงขั้นทำให้เข้าออกห้องของอาจารย์ได้ตามต้องการ
หลิงอวิ๋นถึงกับมอบสิ่งนี้ให้ลู่หยวน!
อาจารย์มีใจให้เจ้านั่นอย่างนั้นหรือ?!
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจของหยางอวิ๋นพลันเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและโทสะ
ในใจของเขาไม่เหลือภาพลักษณ์ความยิ่งใหญ่ที่อาจารย์เคยมีอีกต่อไป มีเพียงภาพของนางซุกในอ้อมแขนของลู่หยวนราวกับสาวน้อยด้วยดวงหน้าเปี่ยมความรักใคร่
กรอดดด
ฟันของหยางอวิ๋นบดขยี้เข้าหากัน เขาจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!
ทันทีที่ขยับเท้า เขาพลันเหาะจากไป
ขณะเดียวกันเหนือหมู่เมฆ ยังคงมีร่างบางส่วนยืนอยู่
บรรพชนตันพลันกล่าวขึ้นว่า “เรื่องในวันนี้จะต้องถูกแพร่งพรายออกไป เจ้าหนูลู่หยวนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก เกรงว่าต้องมีปัญหามากมายเข้ามาหาเขาเป็นแน่!”
บรรพชนดาบที่เป็นผู้นำลูบเคราสีขาว เขาพยักหน้า เห็นดีเห็นงามกับบรรพชนตัน
บรรพชนกระบี่ถืออาวุธคู่ใจเอาไว้ ร่างยืนนิ่ง ส่งสายตามองทั้งสองอย่างมีนัยยะ “เกรงว่าเด็กคนนี้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ทั้งบรรพชนตันกับบรรพชนดาบต่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร พวกเขาจึงกำลังจะเอ่ยถาม…
แต่บรรพชนกระบี่กลับก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับอาวุธในมือ เมื่อหมู่เมฆสลายไป ใบหน้าก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน เขาสัมผัสเซียวเทียนในเรือเหาะ น้ำเสียงทรงพลังดังขึ้น “เจ้าหนู ข้าคือบรรพชนกระบี่แห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ มีความเกี่ยวข้องกับกระบี่ยักษ์ที่เจ้าใช้ ทำไมเจ้าไม่มาอยู่กับสำนักของข้าล่ะ?”
เซียวเทียนเงยหน้าขึ้น พบว่าอาจารย์สำนักอยากรับเขา จึงพยักหน้าหนักแน่น ก่อนยกมือทำความเคารพ “ขอบคุณท่านอาจารย์สำนัก!”
บรรพชนกระบี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากปราณกระบี่ม้วนตัว บุตรแห่งโชคชะตาเผ่ามังกรก็ถูกพาตัวไป