ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 250 ความพยายามของหุ่นเชิดกีฏ
บทที่ 250 ความพยายามของหุ่นเชิดกีฏ
บทที่ 250 ความพยายามของหุ่นเชิดกีฏ
“เหอะ เจ้าเด็กอวดดี! ได้ยินนามของข้าแล้ว แต่ยังกล้าเดินเข้ามาหาอีก รนหาที่ตาย!”
หุ่นเชิดกีฏขยับสองมือ ทำให้เส้นด้ายโลหิตนับพันเบี่ยงเล็กน้อยก่อนจะแยกออกจากกัน แล้วพุ่งเข้าหาสือจิ่ว
มารตัวน้อยไม่รีบร้อน แม้เบื้องหน้านางจะมีหนอนภูตผีจำนวนมากพุ่งเข้ามาหา พร้อมเส้นด้ายโลหิตนับไม่ถ้วนเคลื่อนตามหลังก็ตาม
นางก้าวไปข้างหน้าแล้วยืนนิ่ง ก่อนจะประสานปลายนิ้วเข้าหากันจนก่อเกิดเป็นผนึกแปลกประหลาดตรงหน้า
คำพูดและประโยคแปลกประหลาดยังคงถูกเอื้อนเอ่ยออกจากปาก
เมื่อหุ่นเชิดกีฏผู้ยังมีท่าทีเย่อหยิ่งจองหองได้ยินเสียงนี้ มันจึงตกตะลึง
มันจ้องสือจิ่วด้วยสายตาไร้อารมณ์ มุมปากสั่นไหว ทั่วร่างสั่นสะท้านราวกับเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึง
ร่างโบราณอันคุ้นเคยยังคงซ้อนทับกับสาวน้อยตรงหน้า
สือจิ่วเอ่ยคำสุดท้าย ทำให้บริเวณหน้าผากของนางมีค่ายกลสีดำแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ก่อนจางหายอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลไร้ขอบเขตแผ่ขยายอย่างรวดเร็วจากเหนือท้องนภา
หมู่เมฆสีม่วงดำปกคลุมทั่วฟากฟ้า อสนีบาตสีดำวาบไหวไปมา ท่ามกลางหมู่เมฆอัสนีมีหนอนภูตผีที่น่าสะพรึงกลัวแฝงตัวอยู่ข้างใน พวกมันกัดทึ้งไปมา ก้ามขนาดใหญ่บริเวณปากบดขยี้ตาม ประหนึ่งกระบี่และดาบที่พัวพันกัน
“ฆ่า!”
ทันทีที่สิ้นเสียงอันแผ่วเบาของสือจิ่ว ผืนฟ้าประหนึ่งกรวยคว่ำ ทำให้หนอนภูตผีนับไม่ถ้วนร่วงลงมา ก่อนจะเข้าห้ำหั่นกันบนปฐพี
หนอนภูตผีนับไม่ถ้วนรุมกัดทึ้งกันเองจนเกิดเสียงเสียดสี พวกมันปกคลุมไปทั่วจนทุ่งหญ้ากลายเป็นสีดำ ฟ้าดินตกอยู่ภายใต้ค่ายกลดังกล่าว ทุกอย่างดูมืดมิดจนมองไม่เห็นท้องนภา
สือจิ่วเหยียบย่างขึ้นสู่อากาศธาตุ นางก้าวออกไปทีละขั้น ขณะเดินเข้าหาศัตรู
หุ่นเชิดกีฏคล้ายกับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเมื่อเห็นมารตัวน้อย มันขยับมือโดยพลัน ก่อนเส้นด้ายโลหิตนับไม่ถ้วนจะพุ่งเข้าหานางเพื่อหมายจะสังหาร
สือจิ่วยกมือขึ้น ปลายนิ้วชี้ไปที่อากาศ ทำให้เส้นด้ายโลหิตพลันหยุดนิ่ง พลังมารแทรกซึมเข้าไปในเส้นด้ายแล้วกลืนกินพวกมันจนสิ้น
ดวงตาของสือจิ่วในยามนี้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ กลิ่นอายรอบข้างยังคงหนักอึ้ง ไม่นานพลังมารจำนวนหนึ่งก็เข้าเกาะกุม
ตูม!
หุ่นเชิดกีฏเพียงสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกดทับลงมา ทำให้มันพลันคุกเข่าลงกับพื้น ไม่สามารถขยับได้ชั่วขณะ ทำได้เพียงมองสือจิ่วผู้เดินเข้ามา
มันทราบว่านี่คือแรงกดดันสูงสุดจากเส้นชีพจรโลหิตของราชันมาร!
“องค์หญิง…”
ร่างของหุ่นเชิดกีฏสั่นสะท้าน แล้วส่ายหน้าไปทางสือจิ่วอย่างสิ้นหวัง “ทั้งหมดเป็นคำสั่งของท่านราชันมาร ไม่ใช่ข้าน้อย ไม่ใช่ข้าน้อย”
สือจิ่วไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร นางจึงคิ้วขมวด
นางเพียงรู้ว่าตั้งแต่สัมผัสกลิ่นอายของหุ่นเชิดกีฏได้ ความปรารถนาแรงกล้าที่จะกลืนกินและหลอมมันให้กลายเป็นพลังมารก่อเกิดขึ้นภายใน
แต่นางยังฆ่ามันไม่ได้ ถึงอย่างไร เพราะนายท่านบอกให้ต้านเอาไว้เพื่ออยากถามบางอย่าง!
สือจิ่วยกมือขึ้นแล้ววางบนศีรษะของหุ่นเชิดกีฏ ค่ายกลหมุนวนปรากฏเหนือฝ่ามือ ก่อนพลังมารของหุ่นเชิดกีฏจะถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง
นางมีเส้นชีพจรโลหิตราชันมาร ทำให้ร่างของมันสามารถสัมผัสแรงกดดันของเผ่ามารได้อย่างชัดเจน
หลังจากสือจิ่วปลดปล่อยแรงกดดันจากเส้นชีพจรโลหิต หุ่นเชิดกีฏจึงไม่ต่างจากปลาบนเขียง ทำได้เพียงรอถูกเชือดเท่านั้น
“องค์หญิง ข้าไม่กล้า เป็นท่านราชันมาร เป็นท่านราชันมาร!”
ไม่ว่าหุ่นเชิดกีฏจะตะโกนแค่ไหน สีหน้าของสือจิ่วกลับไม่มีทีท่าแปรเปลี่ยน
ผ่านไปหลายอึดใจ พลังมารนับไม่ถ้วนถูกดึงออกไป ทำให้ร่างของหุ่นเชิดกีฏมีขนาดเล็กลง
หุ่นเชิดกีฏผู้ยังเหลือเรี่ยวแรงตะโกนเมื่อครู่กลับมีท่าทีเฉยชา ก่อนจะแน่นิ่งอยู่บนค่ายกลขนาดใหญ่
หนอนภูตผีทั่วทั้งขุนเขาและที่ราบถูกกัดทึ้งจนเกือบหมด
สือจิ่วหยุดมือ แล้วหันไปเอ่ยว่า “นายท่าน”
ลู่หยวนสืบเท้ามาข้างหน้า พลางเดินมาหาหยุดนิ่งหน้าหุ่นเชิดกีฏ
มันเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มหล่อเหลา สวมชุดสีชาดห่มดำพร้อมมีรอยยิ้มแสยะอยู่ในแววตา
โดยมีอดีตองค์หญิงจากเผ่ามารของพวกมันยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมแสดงท่าทีเคารพ
บัดนี้… หุ่นเชิดกีฏเข้าใจเรื่องราวไม่มากก็น้อย ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะสูญเสียความทรงจำไป
“เจ้าหนู แกฉลาดมาก!” หุ่นเชิดกีฏเอ่ยว่า “องค์หญิงถึงกับถูกเจ้าหลอกใช้!”
ลู่หยวนมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา “หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะมาสนทนากับเจ้า ข้าแค่อยากถามไม่กี่ข้อเท่านั้น”
“ข้อแรก ราชันมารยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
สายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์จับจ้องสีหน้าของหุ่นเชิดกีฏ นับตั้งแต่ออกจากหอคอยสวรรค์แห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาได้รับข้อมูลจำนวนมากจนเกิดเป็นข้อสงสัยมากมาย
หนึ่งในนั้นคือเรื่องราชันมารตายแล้วหรือยัง… จึงได้หยิบยกมาถามในโอกาสนี้
หุ่นเชิดกีฏมองลู่หยวน สายตาปราศจากความผันผวน ผ่านไปหลายอึดใจ มันตอบมาสามคำว่า “ข้า ไม่ รู้”
“ไม่รู้หรือ?”
ลู่หยวนยกยิ้ม “เอาละ ถ้างั้นข้าขอดูหน่อยว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง!”
เขาก้าวถอยหลัง ส่วนสือจิ่วก้าวมาข้างหน้า หลังจากร่ายผนึกอยู่สักพักก็ไม่มีแรงกดดันเหนือศีรษะของหุ่นเชิดกีฏอีก
พลังมารที่เหลืออยู่ในร่างของมันพลันเคลื่อนไหวและบิดเบี้ยว ร่องรอยของพลังดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของมารตัวน้อย นางสามารถเชือดเฉือนอีกฝ่ายประหนึ่งชิ้นเนื้อบนเขียงได้
เพียงไม่กี่อึดใจ หุ่นเชิดกีฏหน้าซีด พลังมารประหนึ่งดาบเคลื่อนไปตามเลือดเนื้อทุกส่วนบนร่างของมัน
เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หน้าผาก ขาที่กำลังคุกเข่าเริ่มสั่นสะท้าน
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสมองของหุ่นเชิดกีฏ
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบ แต่ร่างของหุ่นเชิดกีฏที่คุกเข่าบนพื้นกำลังกระตุกอย่างต่อเนื่อง เส้นโลหิตผุดขึ้นบนหน้าผาก สีหน้าดูชั่วร้าย ดวงตาปูดโปนจนแดงก่ำ เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย
ขณะสติของหุ่นเชิดกีฏเลือนราง มันได้ยินน้ำเสียงไม่ร้อนรนของชายหนุ่มดังขึ้น “เป็นอย่างไร? ตอนนี้เจ้ารู้หรือว่ายังไม่รู้?”
ยามอ้าปาก โลหิตจึงทะลักออกมา
มันเงยหน้าขึ้นมองไปทางสือจิ่ว สายตาหมองหม่นเล็กน้อย “องค์หญิง เป็นราชันมารที่บอกให้ข้าฆ่ามารดาของท่าน ข้าไม่ได้คิดที่จะทำ”
คำพูดเหล่านี้ลอยเข้าหูของสือจิ่ว ราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน
มารตัวน้อยยังคงยืนนิ่ง สายตาสงบนิ่ง รักษาท่าทีเป็นอย่างดี
ลู่หยวนก้าวออกมา ก่อนคลี่ยิ้มให้หุ่นเชิดกีฏ “เจ้าได้ยินคำถามของข้าหรือไม่?”
สายตาของแม่ทัพมารหมองหม่น มันเพียงจ้องมองสือจิ่วพลางพึมพำกับตัวเอง
บุตรศักดิ์สิทธิ์เองก็หมดความอดทนเช่นกัน เขาจึงกวัดแกว่งกระบี่วิถีโลกา แล้วฟาดฟันเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่าย
พรวด!
โลหิตสาดกระเซ็น แขนขาดสะบั้นหลุดออกจากบ่าร่วงลงกับพื้น
กลิ่นอายวิถีคุณธรรมซึ่งมาจากกระบี่วิถีโลการุกล้ำบาดแผลบนไหล่ พลังมารที่หลงเหลืออยู่ดีดดิ้นอย่างคลุ้มคลั่งเพื่อขัดขืน
สายตาสับสนและหมองหม่นของหุ่นเชิดกีฏพลันว่างเปล่า กลิ่นอายวิถีคุณธรรมภายในเส้นด้ายโลหิตที่ทำให้มันรู้สึกขยะแขยง กลืนกินเกือบทั่วทั้งร่าง
ลู่หยวนชักกระบี่กลับ ก่อนจะแทงไปยังหัวใจของมัน
สิ้นเสียง ‘ฉึก’ กระบี่ยาวจ่ออยู่ตรงหน้าอกแม่ทัพมาร
เสียงของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังคงดังขึ้น “หุ่นเชิดกีฏ ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ราชันมารกับแม่ทัพของเขา ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?!”