ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 270 เจิ้งชิงเทียนยอมจำนน
บทที่ 270 เจิ้งชิงเทียนยอมจำนน
บทที่ 270 เจิ้งชิงเทียนยอมจำนน
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนของลู่หยวน คลื่นอากาศก็พัดผ่านไปทั่วพื้นที่
เจิ้งชิงเทียนจับจ้องทุกสิ่งตรงหน้าอย่างตั้งใจ นางพบว่าชั่วขณะที่คลื่นกวาดผ่าน ทุกสรรพสิ่งทั่วเขตแดนลับเริ่มกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนจะสลายไปในอากาศราวกับไม่มีตัวตน
เมื่อทุกสิ่งพังทลาย กลุ่มแสงสีทองเคลื่อนไหวไปมา ก่อนร่างมายาจะปรากฏ พร้อมราชวังสูงตระหง่าน
ใต้เท้าของลู่หยวนคือพระราชวังเก้าวิหคเพลิงที่มีแท่นสักการะสูงโดดเด่น!
แท่นดังกล่าวเป็นศูนย์กลางแผ่แสงสีทองกระจายออกมา ก่อนร่างมายามนุษย์หัววิหคเพลิงจะปรากฏขึ้น
พวกเขาคือตัวตนของเผ่าวิหคเพลิงเมื่อหลายแสนปีก่อน!
เผ่าดังกล่าวโค้งคำนับก้มศีรษะไปยังแท่นสักการะเพื่อแสดงความเคารพ
เจิ้งชิงเทียนมองร่างมายาของเผ่าวิหคเพลิงผู้คุกเข่าอยู่ไกลออกไป ก่อนเหลือบสายตามาทางลู่หยวน
นางเห็นอีกฝ่ายรวบรวมพลังที่แข็งแกร่งกลับมา เหลือเพียงพลังมังกรบนร่างที่ยังไม่สูญสลาย แต่เท่านั้นก็มากพอทำให้เขาดูทรงอำนาจ
ชายหนุ่มยืนอยู่กลางท้องนภาด้วยท่าทีองอาจขณะชุดคลุมสีชาดห่มดำปลิวไสวไปตามสายลม ให้เผ่าวิหคเพลิงซึ่งเลื่องชื่อในนามสัตว์เทวะที่ทรงพลังน้อยกว่ารับการสักการะ พร้อมแววตาสงบนิ่งปราศจากความผันผวน
ลู่หยวนมองจากมุมสูงราวกับเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้!
เจิ้งชิงเทียนกลืนน้ำลาย ไม่ช้าจึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายประหนึ่งตัวตนสูงสุดของโลกผู้มองข้ามทุกสรรพสิ่ง
บุตรศักดิ์สิทธิ์อาจจะสามารถทำลายการจองจำที่ยาวนานนับแสนปีได้!
ลู่หยวนไม่ทราบความคิดมากมายในใจของเจิ้งชิงเทียน สายตาของเขายังคงกวาดมองร่างมายา
ยามเนตรเทวะกวาดผ่าน ดวงตาโลหิตที่สามก็ขยับตาม
ผ่านไปหลายอึดใจ ดวงตาของเขาหยุดนิ่งขณะจับจ้องตัวตนผิดปกติในหมู่ผู้สักการะ!
“เจิ้งชิงเทียน”
ลู่หยวนตะโกนเรียกอีกฝ่าย
เจิ้งชิงเทียนพลันกลับมาได้สติ “นายท่านเชิญพูดมา”
ชายหนุ่มจ้องมองออกไปไกล แล้วเอ่ยอย่างเนิบช้า “ข้าได้ยินมาว่าเผ่าวิหคเพลิงเป็นเผ่าที่หยิ่งผยอง พวกเขาไม่ต้องการยอมรับผู้อื่น”
“ถูกต้อง!”
เจิ้งชิงเทียนกล่าวตอบ แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดนายท่านจึงกล่าวเรื่องนี้ แต่นางยังคงรายงานตามความจริง “อย่างที่ท่านทราบ มนุษย์ผู้หนึ่งเข้าร่วมกับเผ่าวิหคเพลิง เพื่อแต่งงานกับองค์หญิงประจำเผ่า แล้วให้กำเนิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้มีสายเลือดของเผ่าวิหคเพลิงขึ้นมา”
“พวกเขายังคงสืบเชื้อสายนี้ต่อกันมา โดยแบกรับสายเลือดวิหคเพลิงกับตระกูลโบราณเอาไว้ แล้วสร้างราชวงศ์บนแผ่นดินหยวนหง ซึ่งเป็นราชวงศ์ฉวนจงในปัจจุบัน”
ลู่หยวนหรี่ตาลงก่อนจะคลี่ยิ้ม “มีผู้ใดเคยคิดหรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้แต่งงานกับองค์หญิงของเผ่าวิหคเพลิง ไม่ได้มาจากแผ่นดินหยวนหง?”
เจิ้งชิงเทียนขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ชายหนุ่มชี้ดัชนีไปทางหนึ่ง
นางมารมองตามปลายนิ้ว ก่อนพบว่านอกจากร่างของผู้สักการะ ยังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเผ่าวิหคเพลิง ร่างกายและใบหน้าของอีกฝ่ายถูกปกปิดอยู่ใต้ชุดคลุมสีดำ โดยแบกตรีศูลทองคำม่วงไว้บนแผ่นหลัง
คราบโลหิตบนตรีศูลยังไม่จางหายขณะแผ่กลิ่นอายออกมา มันดูสะดุดตาจนไม่เข้ากับสิ่งรอบข้าง
เจิ้งชิงเทียนมองอย่างตั้งใจก่อนพบว่าร่างดังกล่าวพลันเงยหน้าขึ้น สายตาของทั้งสองสบกันจนมองเห็นเค้าโครงหน้าตา!
ยามเจิ้งชิงเทียนเห็นใบหน้าอีกฝ่าย รูม่านตาของนางพลันหดลงด้วยหัวใจสั่นไหว
คนผู้นี้แปลกประหลาด แม้ใบหน้าจะเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่กลับเต็มไปด้วยอักขระแปลกตา โดยมีลวดลายเพลิงสว่างไสวล้อมรอบ
บริเวณกลางหน้าผากปรากฏดวงตาที่สามเช่นเดียวกับลู่หยวน
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือดวงตาของเขาล้วนเป็นสีขาวปราศจากสีดำ ส่วนดวงตาที่สามมีรูม่านตาเพียงข้างเดียว
เสียงของลู่หยวนดังก้องในหูของนาง “ใบหน้าเต็มไปด้วยอักขระ เพลิงล้อมรอบ ดวงตาที่สามและรูม่านตาหนึ่งข้าง เขาคือชาวสวรรค์”
“คู่ของเผ่าวิหคเพลิงไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นคนจากแดนเซียน!”
ขณะเจิ้งชิงเทียนตกตะลึง ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางอากาศก่อนคลี่ยิ้ม “น่าสนใจ …น่าสนใจ เมื่อหลายแสนปีก่อน คนจากแดนเซียนมาเยือนเพื่อสานสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์ที่นี่”
รอยยิ้มของเขาเริ่มจางหาย “ข้าจำได้ว่าในการต่อสู้เมื่อสามแสนปีก่อน เผ่าวิหคเพลิงแตกต่างจากเผ่าอื่นตรงที่เข้าร่วมศึกนองเลือดเกือบทั้งหมด เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พวกเขากลายเป็นสัตว์เทวะเผ่าแรกที่ตกต่ำ”
“เจิ้งชิงเทียน ทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหงเมื่อสามแสนปีก่อนอาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง”
แม้ภายนอกนางจะเฉยเมย แต่กลับมีความคิดมากมายอยู่ในใจ
นางรู้สึกว่าทุกสิ่งตรงหน้าเป็นเพียงเรื่องโกหก ราวกับการต่อสู้เมื่อสามแสนปีก่อนเป็นเพียงภาพลวงตา
เมื่อคนจากแดนเซียนปรากฏตัว ชิวสิงรอดมีชีวิต ทว่าราชวงศ์กลับต้องทนทุกข์ เหล่าสัตว์เทวะแทบสูญพันธุ์
ราวกับมีใครบางคนชักใยทุกสรรพสิ่งอยู่เบื้องหลัง
เรื่องน่าขันก็คือเจ้าแห่งวิถีคุณธรรมเช่นนาง เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ตามืดบอดและถูกชักใยมาโดยตลอด!
แต่หลังจากผ่านมาหลายแสนปี ลู่หยวนกลับสามารถตีความทุกสิ่งได้ด้วยตนเอง สติปัญญาเช่นนี้นับว่าหาได้ยาก!
ผ่านไปหลายอึดใจ เจิ้งชิงเทียนจึงหันกลับมาแล้วประสานมือให้อีกฝ่าย สายตาของนางมองต่ำเพื่อแสดงท่าทียอมจำนน “นายท่าน!”
[ระบบแจ้งเตือน เจิ้งชิงเทียนยอมจำนนต่อท่านโดยสมบูรณ์! ความภักดีในตอนนี้คือหนึ่งร้อยส่วน!]
ลู่หยวนยิ้มบาง “ใกล้ถึงเวลาแล้ว รวบรวมสมบัติเสร็จเมื่อไหร่ก็จะได้ออกไปจากที่นี่ มู่พ่านซานยังรอข้าอยู่!”
เจิ้งชิงเทียนพยักหน้าก่อนมายืนอยู่ข้างกาย
ร่างของชายหนุ่มวูบไหว ทะยานลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็หยุดอยู่เหนือภาพมายาของแท่นบูชา
หม้อทองแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางแท่นบูชา
บนหม้อมีตัวอักษร ‘เบิกสวรรค์’ ถูกเขียนด้วยพู่กันอย่างสละสลวย
หากมองอย่างละเอียดก็จะพบว่าปราณวิญญาณทั่วทั้งเขตแดนลับทะลุผ่านภาพมายาของหม้อทองแดง
ส่วนภาพมายาของผู้คนและสิ่งปลูกสร้างต่างเปล่งแสงสีทอง ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปในหม้อ
อาวุธวิเศษชิ้นนี้คอยขับเคลื่อนเขตแดนลับ!
เพราะการมีอยู่ของมัน ทำให้ซากปรักหักพังวิหคเพลิงอายุนับแสนปียังสามารถส่งพลังออกไปบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง เพื่อสร้างโชคชะตายิ่งใหญ่ที่เผ่าวิหคเพลิงจะได้สักการะแท่นบูชาอีกครั้ง
“หม้อเบิกสวรรค์?”
ลู่หยวนก้าวไปข้างหน้าพลางยื่นฝ่ามือไปสัมผัสภาพมายาของหม้อ
มันแตกต่างจากภาพมายาอื่นที่สูญสลายยามสัมผัส มือของเขาทะลุผ่านไปก่อนคว้าวัตถุที่จับต้องได้!
แม้สัมผัสแรกจะเย็นยะเยือก แต่ลู่หยวนสามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายไร้ที่สิ้นสุดซึ่งเคลื่อนผ่านไอเย็นดังกล่าวได้
กลิ่นอายดังกล่าวยิ่งใหญ่ไร้ใครเทียบ เมื่อมันเข้าสู่ฝ่ามือ พายุหมุนหลายลูกพลันปรากฏ ก่อเกิดแรงดึงดูดมหาศาล!