ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 311 โครงกระดูกสัตว์ประหลาด
บทที่ 311 โครงกระดูกสัตว์ประหลาด
บทที่ 311 โครงกระดูกสัตว์ประหลาด
โครงกระดูกสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ลอยไปข้างหน้าพร้อมจักรพรรดินี ส่วนนางนอนอยู่ภายในตัวมันด้วยสภาพที่หน้าอกยังคงกระเพื่อมขึ้นลงสม่ำเสมอ
ในมุมมองของลู่หยวน จักรพรรดินีคล้ายกับเป็นหัวใจของโครงกระดูกนี้ และคอยให้พลังในการขับเคลื่อน!
เขามองทิศทางที่โครงกระดูกกำลังลอยล่อง ระยะทางไร้ที่สิ้นสุดไม่อาจทราบได้ว่ามันกำลังจะมุ่งไปสู่ที่ใด
ลู่หยวนครุ่นคิดสักพักก่อนโยนอูโจ้วไปด้านข้าง จากนั้นถือกระบี่วิถีโลกาด้วยสองมือ สิ้นเสียงร้องของกระบี่ แสงสีขาวพลันส่องประกายจากส่วนปลาย พร้อมทั้งพลังนับล้านระเบิดออก ก่อนหินหลอมเหลวรอบข้างจะถูกพัดออกไป
หลังจากสูดลมหายใจ ลู่หยวนก็ฟาดฟันกระบี่ด้วยสองมืออย่างบ้าคลั่ง ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนทำให้คลื่นอันปั่นป่วนรอบข้างม้วนตัวพร้อมกัน ก่อนที่พลังวิถีกระบี่จะระเบิดกวาดออกไป
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ปราณกระบี่ตรงเข้าโจมตีใส่โครงกระดูกจนทิ้งร่องรอยไว้
คลื่นขนาดใหญ่เคลื่อนเข้าใส่บริเวณศีรษะวิหคเพลิง ก่อนกระจายออกไป
วิถีกระบี่เคลื่อนตามด้วยประกายอันเฉียบคม เมื่อสิ้นเสียง ‘ตู้ม’ กระดูกซี่โครงหลายท่อนพลันถูกสะบั้น
หลังจากคลื่นขนาดใหญ่ม้วนตัว โครงกระดูกสัตว์ประหลาดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มันไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดและยังคงเคลื่อนต่อไปข้างหน้า
ส่วนกระดูกซี่โครงที่ถูกสะบั้นจนตกลงสู่ก้นหินหลอมเหลวลอยกลับหัวกลับหาง ก่อนประกอบกับเข้าที่เดิม ในบริเวณที่จักรพรรดินีอยู่ เพลิงสวรรค์พลันรุนแรงขึ้นเล็กน้อย ทำให้กระดูกที่แตกหักเริ่มหลอมรวมกันอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่กี่อึดใจ กระดูกเหล่านั้นก็กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม!
สายตาของลู่หยวนจับจ้องไปยังจักรพรรดินี เขาพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือดและกำลังขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
เขาเห็นเช่นนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
โครงกระดูกสัตว์ประหลาดนี้มาจากที่ใดไม่ทราบ แต่มันกำลังใช้จักรพรรดินีเป็นเครื่องสังเวย!
ทุกสิ่งที่โครงกระดูกกำลังทำตอนนี้คือการดูดกลืนพลังจากนาง!
อูโจ้วผู้ถูกโยนมาด้านข้างไม่มีพลังเนตรเทวะเหมือนลู่หยวน จึงมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน เขาเพียงรู้สึกว่าตัวเองช่างโดดเดี่ยวและอับจนหนทาง จึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มกรีดร้องออกมา
ลู่หยวนถอนสายตากลับมาขณะฟังเสียงตะโกนของอูโจ้วอยู่ไม่ไกล ก่อนจะสะบัดฝ่ามือออกไปจนร่างของอีกฝ่ายกระเด็นไปหลายตลบ
หลังจากกระเด็นมาไกล เขากลับมีความสุขแทนที่จะเศร้าโศก ดวงตากำลังทอประกาย!
เขาปกปิดใบหน้าอันบอบช้ำขณะตะโกนด้วยความยินดี “นายท่านอยู่ข้างกายข้าสินะ! ข้าคิดถึงนายท่านเหลือเกิน! นายท่าน!”
ลู่หยวนกำลังจะลงมืออีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นได้ เขาประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ทำให้ร่างของอูโจ้วถูกดึงกลับมาจนอยู่ตรงหน้า
“อุบายแบบใดที่ทำให้โครงกระดูกของวิหคเพลิง มังกรและคุนเผิงรวมเข้าด้วยกันจนสามารถเคลื่อนไหวได้?”
ลู่หยวนถามตามตรง
อูโจ้วสับสน แต่เมื่อสัมผัสกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้ จิตใจอันสิ้นหวังก็พลันผ่อนคลาย
หลังจากสงบสติลงแล้ว อูโจ้วก็ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด ผ่านไปหลายอึดใจจึงโพล่งออกมา “เผ่ามารทำได้!”
ลู่หยวนหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
อูโจ้วจึงเอ่ยต่อ “นายท่าน ข้าเองก็ไม่ทราบ แม้สัตว์เทวะเหล่านี้จะจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน แต่พวกมันก็มีราชาประจำสัตว์อสูรและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายอยู่”
“แต่พวกมันแตกต่างกันออกไป ยามที่มีชีวิตก็ต่อสู้ห้ำหั่นเพื่อช่วงชิงดินแดน ยามพบปะก็มีเพียงความกระหายเลือด ในใจต่างรู้สึกแค่ว่าสายเลือดของตนสูงศักดิ์กว่าสัตว์เทวะอื่น”
“ต่อให้ตัวตาย กระดูกของพวกมันก็ยังเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถูกนำมาวางซ้อนทับกันก็จะผลักไสกันและกัน เพื่อไม่ให้ใครได้ดีกว่าตน!”
“หากเป็นไปตามที่นายท่านว่ามา การที่กระดูกของพวกมันซ้อนทับกันได้ ย่อมต้องใช้อุบายที่ไม่ธรรมดา!”
“เท่าที่ข้าทราบมา มีเพียงเผ่ามารเท่านั้นที่ทำได้!”
อูโจ้วนิ่งไปสักพักราวกับกำลังนึกถึงบางอย่าง
ผ่านไปหลายอึดใจ เขาพลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “บรรพชนเผ่าคนก่อนเคยกล่าวไว้ว่าตอนที่เผ่ามารุกรานแผ่นดินหลัก พาหนะของราชันมารถูกฆ่าในสงคราม ด้วยความโกรธจึงทำให้เขาเลาะกระดูกของสัตว์เทวะทรงพลังจำนวนมากที่ตายอย่างเวทนา นำมาซ้อนทับกันเพื่อกลายเป็นพาหนะตัวใหม่!”
“เรื่องนี้เป็นความอัปยศชั่วลูกชั่วหลานท่ามกลางเผ่าสัตว์เทวะก็ว่าได้!”
ลู่หยวนหลุบตาพลางครุ่นคิดสักพัก จากนั้นจึงถามขึ้น “สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพาหนะ?”
อูโจ้วส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น สรรพสิ่งก็กลายเป็นเถ้าธุลี เกรงว่าคงถูกทำลายไปแล้ว”
“ถูกทำลายหรือ?”
ลู่หยวนมองร่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหว ทันใดนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา “ข้าว่าไม่ใช่นะ!”
สิ้นคำ เขาแบกอูโจ้วแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศที่โครงกระดูกสัตว์ประหลาดอยู่
…
หลายวันต่อมา ท้องถนนในแดนมัชฌิมยังคงพลุกพล่าน ผู้คนเดินขวักไขว่ เต็มไปด้วยความคึกคัก ราวกับไม่มีความเปลี่ยนแปลง
แต่ภายใต้คลื่นใต้น้ำอันรุนแรงกลับทำให้รูปแบบบางอย่างเปลี่ยนไป!
ภายในลานบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลชิว ชิวเฟิงจู้พยายามจัดการกับงานเลี้ยงของตระกูลและสำนักทั้งหลาย
จำนวนตระกูลและสำนักที่จัดงานเลี้ยงส่งเทียบเชิญมานี้มีมากกว่าสิบแห่ง อีกทั้งยังมีอีกหลายกลุ่มที่รอจัดงานในภายหลัง
การไปงานเลี้ยงทุกวันอย่างนี้ เกรงว่าคงไม่จบภายในสิบถึงสิบห้าวันเป็นแน่!
ถ้ามันเป็นเพียงการขายผ้าเอาหน้ารอดก็ว่าไปอย่าง
ทันทีที่ชิวเฟิงจู้เข้าสู่ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากรอบข้าง ซึ่งคนที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงก็พูดจาส่อเสียดมากมายพลางถามถึงจุดประสงค์ที่พวกเขามาแผ่นดินหลัก
แม้นางจะบ่ายเบี่ยงได้คนแล้วคนเล่า แต่สมาชิกตระกูลชิวที่เหลือซึ่งถูกลูกเล็กเด็กแดงจากตระกูลเหล่านั้นเชื้อเชิญกลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาต่างเมามายจนพูดจ้อไม่หยุด
หลายสิบคนจากตระกูลชิวผู้มาที่นี่ต่างเที่ยวเล่นกับศิษย์ของตระกูลอื่นทุกวัน บางคนถึงขั้นไม่กลับที่พักตัวเองเป็นเวลาสามถึงห้าวัน
ชิวเฟิงจู้ไม่กังวลว่าตัวเองจะพูดอะไร แต่คนที่อยู่ใต้อาณัติล้วนยังเป็นหนุ่มสาว หากบังเอิญหลุดปากหรือถึงขั้นพลาดมีอะไรกันขึ้นมา มันจะกลายเป็นปัญหาเอาได้!
เมื่อคิดได้ดังนี้ นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ส่วนในใจก็ยิ่งรู้สึกโกรธและเกลียดผู้ที่คอยควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้
คนผู้นี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนัก!
แค่ใช้ฮ่วนซิงไป๋เพียงคนเดียวก็ทำให้ทุกคนในตระกูลชิวติดอยู่กับที่ ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้!
สิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่าคือการตั้งคำถามของหลิงอวิ๋น ทำให้ตระกูลทั้งหลายต่างพากันระแวดระวังจนถึงขั้นเริ่มตรวจสอบภายในอย่างไม่มีข้อยกเว้น ส่งผลให้ตัวหมากลับจำนวนมากถูกกำจัดเช่นกัน
ชิวเฟิงจู้กุมหน้าผาก ตัวหมากที่เหลือเพียงหนึ่งถึงสองตัวก็ไม่อาจส่งผลต่อสถานการณ์ในตอนนี้ได้!
แต่ว่า… สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมนางได้ก็คือการเคลื่อนไหวของหลิงเทาอันเฉียบคม!
ถึงแม้หลิงเทาจะไม่ใช่คนโดดเด่นเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่เขายังนับว่าเป็นผู้อาวุโสเก้าแห่งตระกูลหลิง!
เขาสามารถสอบถามหลายสิ่งแทนพวกตนซึ่งติดอยู่ที่นี่ จนเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้!
ในวันนั้น ตอนหลิงเทาเดินเข้ามา ชิวเฟิงจู้ก็มอบยันต์ที่สามารถใช้ติดต่อหากันได้!