ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 317 ความจริง
บทที่ 317 ความจริง
บทที่ 317 ความจริง
ทุกคำพูดที่ลู่หยวนเอ่ยลอยมาเข้าหูของเจิ้งชิงเทียน ทำให้นางเงียบไปสักพักเพื่อสะกดความร้อนรุ่มที่ก่อตัวภายในใจ แล้วคำนับอีกฝ่าย “นายท่านโปรดชี้แนะด้วย”
“เมื่อครู่เจ้าก็สัมผัสได้ไม่ใช่หรือ?”
สิ้นคำของลู่หยวน เจิ้งชิงเทียนก็ตกตะลึงก่อนจะตอบสนอง
“พลังของราชันมารหรือ?!”
เจิ้งชิงเทียนพลันหรี่ตาราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
เสียงของลู่หยวนยังคงลอยเข้าหูนาง
“แดนเซียนมองว่าสัตว์ประหลาดคือสิ่งสกปรก หากมีพลังมารขึ้นมา จะต้องมีคนมาฆ่ามันแน่นอน!”
“เนื่องจากราชาคุนเผิงพ่ายแพ้ในปีนั้น เขาก็หนีเข้าสู่โลกแห่งความเป็นความตาย พร้อมกับร่างที่แตกสลายนี้!”
“ทำให้พลังมารของราชันมารเข้าสู่ร่างของมันในเวลานั้น! สำหรับราชาคุนเผิงผู้มีพลังของเผ่ามาร จะมีคนจากแดนเซียนยอมเปิดประตูสวรรค์เพื่อทอดบันไดต้อนรับมันอย่างนั้นหรือ?”
“เจิ้งชิงเทียน เป็นไปได้หรือว่าพวกเขาจะดวงตามืดบอด?!”
ร่างของนางแข็งทื่อจนไม่กล้าตอบรับต่อคำดุด่า
ลู่หยวนหรี่ตาขณะมองปราณวิญญาณที่ม้วนเข้าสู่หมู่เมฆและประตูสวรรค์ รอบข้างเต็มไปด้วยแสงหลากสีสันกับปรากฏการณ์แปลกประหลาด แม้กระทั่งระหว่างประตูก็มีสิ่งปลูกสร้างเหนือหมู่เมฆที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง
ราวกับฟ้าดินกำลังแปรเปลี่ยน ประตูสวรรค์เปิดออก แดนเซียนกำลังมาเยือน!
“ข้าจำได้ว่าตั้งแต่เผ่าคุนเผิงล่มสลาย ทั่วหล้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง!”
“ก่อนเกิดการต่อสู้กับราชาคุนเผิง บนแผ่นดินแห่งนี้นับว่ามีเผ่าพันธุ์อยู่มากมาย ซึ่งเผ่ามารที่ไม่โดดเด่นก็เป็นหนึ่งในนั้น ประกอบกับเผ่าพันธุ์ทั้งหลายต่างมองว่าเป็นลางร้าย หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ยาวนาน พวกมันก็ไม่อาจเจริญรุ่งเรืองได้อีกต่อไป!”
“แต่เกิดอะไรขึ้นหลังจากจบการต่อสู้ครั้งนั้นเล่า?”
ลู่หยวนนิ่งงันแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
ภายในใจของเจิ้งชิงเทียนเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง!
น้อยคนบนแผ่นดินหลักจะทราบเกี่ยวกับราชาคุนเผิง หลังจากผ่านมาหลายชั่วอายุคน ทุกคนต่างพากันคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงความอิจฉาที่มันกำลังก้าวเข้าสู่บันไดสวรรค์ก่อนเข้าสู่แดนเซียน!
ไม่มีผู้ใดคิดลึกล้ำจนถึงขั้นนำมันมาเชื่อมโยงกับเผ่ามาร!
ถึงอย่างไรในช่วงสงครามครั้งนั้น เผ่ามารก็ไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยว ในตอนนั้นพวกมันยังคงใช้ชีวิตหลบซ่อน ไม่กล้าปรากฏตัวบนโลก!
แต่หลังจากได้รับคำชี้แนะของลู่หยวน เจิ้งชิงเทียนก็รู้สึกได้ว่าชั้นหมอกเบื้องหน้าได้มลายหาย ก่อนความจริงจะปรากฏ!
หลังการต่อสู้ครั้งนั้น สิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินเกือบครึ่งถึงแก่ความตาย เผ่าพันธุ์เกือบทั้งหมดเริ่มตกต่ำ บางเผ่าพันธุ์ถึงขั้นสูญพันธุ์หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี ทำให้ไม่หลงเหลือตัวตนอยู่บนโลกอีกต่อไป
สัตว์เทวะหลายเผ่าพันธุ์ที่คุ้มกันแปดแดนร้างโบราณเริ่มเก็บตัวบ่มเพาะหลังสิ้นสุดสงคราม จึงไม่มีส่วนร่วมในเรื่องบนแผ่นดินหลักอีกต่อไป!
เป็นเพราะเผ่าพันธุ์ทรงพลังเหล่านี้เริ่มสูญพันธุ์และปลีกวิเวก จึงทำให้บางเผ่ากลับมาผงาด
ผู้บ่มเพาะยังคงก้าวเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้น ทำการทะลวงขุนเขาธารา ใช้จิตกระบี่เคล็ดดาบ รวมถึงวิถีเพื่อเก็บเกี่ยวผลวิญญาณ ทำให้โชคชะตานับไม่ถ้วนเริ่มสุกงอมท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์ จนนำไปสู่จุดสูงสุดของการปกครองทั่วแผ่นดิน!
ท่ามกลางความมั่งคั่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แทบทุกคนต่างลืมเลือนไปว่ามีเผ่าพันธุ์หนึ่งกำลังเติบโตขึ้นอย่างเงียบงัน
นั่นก็คือ… เผ่ามาร!
ในช่วงที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังผงาด เผ่ามารแทบไม่เคยปรากฏบนแผ่นดินใหญ่
ดังนั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเชื่อสนิทใจว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว บางครั้งก็ถึงขั้นลืมเลือนไปว่าเคยมีเผ่าพันธุ์นี้มาก่อน
แต่แล้ววันหนึ่ง เผ่ามารปรากฏตัวจากที่ใดไม่ทราบ ซึ่งอำนาจที่พวกมันครอบครองเหนือกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์แทบทุกด้าน!
เผ่ามารเหล่านี้เปรียบเสมือนกับฝันร้ายที่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจิ้งชิงเทียนก็กลืนน้ำลายก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในใจ
หรือว่ามหาสงครามในครั้งนั้น… ล้วนถูกขับเคลื่อนโดยราชันมาร?!
เมื่อมองย้อนกลับไป มันก็มีสิ่งผิดปกติในการต่อสู้ครั้งนั้นจริง!
ทั่วหล้าถูกกวาดล้าง แต่ผู้ได้รับผลประโยชน์ในตอนท้ายเป็นถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่ามาร!
การตกต่ำของเผ่าพันธุ์อื่น ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่ามารผงาด และได้อำนาจที่มิมีใครเทียบได้!
“นะ…นายท่านเจ้าคะ”
ใบหน้าของเจิ้งชิงเทียนซีดเผือด นางเพียงรู้สึกว่าตอนนี้จิตใจกำลังสับสน
หากราชันมารเป็นผู้บงการเรื่องทั้งหมดนี้ เช่นนั้นเหตุใดถึงเลือกเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์แทนที่จะเป็นเผ่าพันธุ์อื่น?
หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีส่วนเกี่ยวข้อง?!
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ถูกบังคับให้กลายเป็นมาร ความคิดบางอย่างที่นางไม่แม้แต่จะกล้านึกก็ผุดขึ้นในใจ
พลังมารทั่วทั้งร่างของเจิ้งชิงเทียนไม่อาจสงบเหมือนอย่างทุกทีอีกต่อไป พวกมันผันผวนไปมาราวกับไม่อาจควบคุมได้
ลู่หยวนประสานนิ้วเข้าหากันเพื่อสะกดพลังมารที่ปั่นป่วนของนาง
“แทนที่จะมัวแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น สู้ตามสัตว์ประหลาดเข้าไปค้นหาเลยดีกว่า!”
เจิ้งชิงเทียนกลับมามีสติขณะสายตาจับจ้องประตูสวรรค์ที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆซึ่งอยู่ไม่ไกล
กลายเป็นว่าร่างส่วนใหญ่ของมันเข้าไปได้แล้ว ในขณะที่ประตูสวรรค์กำลังปิดลง
เจิ้งชิงเทียนหรี่ตาลงขณะที่สะกดความคิดทั้งหลายในใจ นางจึงประสานมือเพื่อตอบรับ “น้อมรับ!”
อูโจ้วผู้อยู่ข้างกายจ้องมองทั้งสองคนอย่างเหม่อลอย ถึงแม้จะได้ฟังทุกประโยค แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใด เขาจึงคิดตามไม่ทัน
เขาไม่แม้แต่จะเข้าใจว่าเจิ้งชิงเทียนกับลู่หยวนกำลังพูดเรื่องอะไร
อูโจ้วส่ายหน้าหลังจากผ่านไปหลายอึดใจ ในเมื่อไม่เข้าใจก็ไม่ควรคิดให้มากความ!
ยังไงก็ตามนายท่านไปก่อนดีกว่า!
ลู่หยวนรอให้โครงกระดูกสัตว์ประหลาดเข้าไปจนเกือบครบทุกส่วน เขาจึงนำทั้งสองคนก้าวเข้าสู่ประตูสวรรค์ท่ามกลางหมู่เมฆ
ก๊อง!
เสียงประหนึ่งระฆังดังก้องในหูของพวกเขาหลังจากก้าวเข้าสู่ประตูนั้น
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพของแสงสายรุ้งก่อนหน้านี้ได้หายไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงท้องนภามืดมิด
พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายมารเข้มข้น ทั้งสกปรกและชั่วร้ายจนอูโจ้วต้องปิดปากทันทีที่เข้ามา
พลังมารมหาศาลจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ลู่หยวนเพียงใช้ความคิดก็มีพลังอันบริสุทธิ์ปกคลุมรอบร่างของอูโจ้ว ทำให้กลิ่นอายมารเข้มข้นจำนวนมากซึ่งอยู่รอบข้างถูกผลักออกไป จนอีกฝ่ายหายใจได้ทั่วท้อง
นับตั้งแต่ลู่หยวนก้าวเข้ามา เขาก็สัมผัสได้ว่าหอคอยอสูรสวรรค์กระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยอาวุธวิเศษรอบข้างเคลื่อนไหวไปมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันคล้ายกับอยากทะยานออกมาเพื่อกลืนกินพลังมารทั้งหลายเข้าไป!
ส่วนสือจิ่วผู้อยู่ด้านข้างไม่ได้ไร้อารมณ์เหมือนทุกที นางยังคงมองรอบข้างขณะจมูกเล็ก ๆ ยังคงขยับไปมา ราวกับกำลังตามหากลิ่นอายนั้น
ลู่หยวนลืมตาขึ้นมองรอบข้าง
ทันใดนั้นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งลอยอยู่ในอากาศไกลออกไป ก็ดึงดูดความสนใจของเขา