ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 337 สถานการณ์แปรเปลี่ยน
บทที่ 337 สถานการณ์แปรเปลี่ยน
บทที่ 337 สถานการณ์แปรเปลี่ยน
วิหคเพลิงน้อยทั้งสามตนถูกโซ่ตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจหลบหนีได้
ลู่หยวนก้าวมาข้างหน้าขณะพลังมารปกคลุมรอบกาย
ฟู่!
พลังมารเข้าโจมตีวิหคสามตนอย่างรุนแรง
หอคอยอสูรสวรรค์แผ่พลังมารอันบริสุทธิ์บางส่วนออกมา
พลังมารรวมตัวกันและบดขยี้วิหคเพลิงทั้งสามตนจนมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม
วิ้ง!
วิหคเพลิงสามตนไม่อาจต้านทานการบดขยี้ของพลังมารได้ ก่อนจะกลายเป็นขนวิหคเพลิงแท้จริงอีกครั้ง
ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศ โดยเอามือประสานไว้ด้วยกัน พลังมารพลุ่งพล่านขณะส่งขนวิหคเพลิงทั้งสามตนเข้าสู่ฝ่ามือของเขา
พลังมารไร้ที่สิ้นสุดฝังเข้าสู่ร่างของลู่หยวนพร้อมขนนกเหล่านั้น
ลู่หยวนหลับตาลง
[แจ้งเตือนจากระบบ: กำลังเริ่มหลอมขนวิหคเพลิงแท้จริง!]
เจิ้งชิงเทียนและสือจิ่วผู้อยู่ไกลออกไปปลดปล่อยความสามารถในการบ่มเพาะทั้งหมดออกมา พลังซึ่งแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์ทั้งสองชนิดแผ่ออกมาจากร่างแล้วทะยานขึ้นไป ประหนึ่งเสาค้ำฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน โดยเติมเต็มห้วงอากาศที่กำลังจะแตกสลาย!
บนค่ายกลนอกดินแดนลับ อักขระซึ่งสลายตัวเริ่มหยุดนิ่ง ทำให้พวกมันอยู่ในสภาพกึ่งถูกทำลายกึ่งสมบูรณ์!
ผ่านไปชั่วครู่ มีปราณกระบี่พุ่งเข้าสู่พื้นที่ ทำให้อากาศสั่นไหว
เมื่อปราณกระบี่หายไป ร่างของกู่อี้เจี้ยนก็ปรากฏขึ้น
นางยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีอักขระค่ายกลที่แตกหักอยู่ตรงหน้า
ชั่วพริบตาต่อมา เนี่ยอิ่งก็ตามมาทัน
กู่อี้เจี้ยนเงยหน้าขึ้น จากนั้นหันไปด้านข้างโดยไร้แววความสุขหรือความโกรธอยู่บนใบหน้า “เนี่ยอิ่ง นี่คือค่ายกลที่เจ้าพูดถึงงั้นหรือ?”
เนี่ยอิ่งเงยหน้ามอง จากนั้นดวงตาพลันหดลงด้วยความตกตะลึง
ต้องทราบก่อนว่านี่คือค่ายกลที่ติดตั้งโดยจักรพรรดิแห่งราชวงศ์แดนมัชฌิมองค์ก่อน มันเต็มไปด้วยพลังไร้ที่สิ้นสุด จะมาพังทลายเช่นนี้ได้อย่างไร?!
เกิดอะไรขึ้นกับค่ายกลนี้กันแน่?!
กู่อี้เจี้ยนเอ่ยอีกครั้ง “หากเจ้าเข้าไป เกรงว่าคงออกมาไม่ได้”
เนี่ยอิ่งทราบว่านางต้องการจะสื่ออะไร
ค่ายกลส่วนใหญ่พังไปแล้ว หลังจากเข้าไป มันมีสิทธิ์พังได้ทุกเมื่อ ต่อให้เป็นเขาก็คงถึงแก่ความตายอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากค่ายกลถูกทำลาย ผู้ที่ลอบสังหารกู่จินเจาซึ่งอยู่ข้างในอาจหลบหนีไปได้
หากเข้าไปตอนนี้ เขาอาจจะตามหาตัวฆาตกรไม่เจอ!
เนี่ยอิ่งสูดหายใจอย่างแผ่วเบาขณะที่เผยสายตาเย็นชา เขาประสานมือทำความเคารพต่อกู่อี้เจี้ยนแล้วเอ่ยว่า “รบกวนพระองค์เปิดค่ายกลด้วยพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะเข้าไป… ช่วยฝ่าบาท!”
นางถอนสายตากลับมามองค่ายกลในพื้นที่โดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ กู่อี้เจี้ยนยกมือขวาขึ้น สองนิ้วประสานเข้าด้วยกัน แล้วกลุ่มปราณกระบี่ก็เคลื่อนผ่าน ก่อนจะตรงเข้าฟาดฟันอากาศเบื้องหน้า
เมื่อปราณกระบี่หายไป มีบาดแผลเล็ก ๆ ปรากฏบนปลายนิ้วของนาง โดยมีหยดโลหิตไหลออกมา
เพียงกู่อี้เจี้ยนใช้ความคิด โลหิตก็ไหลออกมาแล้วตรงเข้าสู่อักขระของค่ายกล
วิ้ง!
ค่ายกลพลันวูบไหว อักขระก็หายไป พร้อมหลุมดำแห่งความว่างเปล่าปรากฏขึ้น
เนี่ยอิ่งเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ขอบพระทัย ฝ่าบาท”
สิ้นคำ เขายืดร่างกายแล้วทะยานเข้าสู่ค่ายกล
เมื่อหลุมดำถูกทำลาย อักขระค่ายกลก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
กู่อี้เจี้ยนมองเขาก่อนจะจากไป
เมื่อออกมาจากห้องโถงใหญ่ องครักษ์จำนวนมากผู้อยู่รอบ ๆ ก็สังเกตเห็นนาง ก่อนประสานมือทำความเคารพ
กู่อี้เจี้ยนยกเท้าเตรียมกลับสุสานกระบี่ แต่เมื่อก้าวไปข้างหน้า นางก็พลันหยุดนิ่ง
นางชำเลืองมององครักษ์ผู้อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฮ่วนซิงไป๋อยู่ที่ไหน?”
องครักษ์ก้มศีรษะแล้วตอบด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าบาท ท่านฮ่วนกลับจวนตระกูลไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู่อี้เจี้ยนหรี่ตาคล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ผ่านไปสักพัก ในที่สุดนางก็ตัดสินใจกลับสุสานกระบี่
ข่าวการปรากฏตัวของนางในวังจักรพรรดิลุกลามประหนึ่งไฟป่า
สำนัก ตระกูลชั้นสูงหรือกองกำลังทั้งหลายต่างทราบข่าวคราว
แต่เมื่อทราบว่ากู่อี้เจี้ยนกลับเข้าสุสานกระบี่หลังจากเพิ่งออกมา พวกเขาต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
ไม่มีใครคาดเดาความคิดของนางหรือแม้กระทั่งเข้าใจสถานการณ์ในวังจักรพรรดิได้
ตระกูลส่วนใหญ่ยังคงถ่ายทอดคำสั่งให้เข้าใกล้ตระกูลฮ่วนให้มากที่สุด
ถึงอย่างไร ตอนที่กู่อี้เจี้ยนปรากฏตัวในวังจักรพรรดิ นางก็ตรัสถามถึงฮ่วนซิงไป๋!
การประจบเขาคือสิ่งที่ถูกต้อง!
ผ่านไปสักพัก ตระกูลชั้นสูงส่วนใหญ่ต่างรับรู้สถานการณ์
ทั่วทั้งเมืองฮ่วนต่างถูกรุมกลุ้ม
…
แดนมัชฌิม ลานบ้านของตระกูลชิว
ยามนี้คือช่วงสายัณห์ ดวงอาทิตย์กำลังตกดินขณะหมู่เมฆสีแดงปกคลุมท้องนภา
ชั้นเมฆาสีดำลอยต่ำ ทำให้ผู้คนยิ่งรู้สึกหดหู่ใจ
ชิวเฟิงจู้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนบริเวณกลางลานบ้าน ส่วนคนในตระกูลชิวที่เหลือยืนขนาบข้างด้วยสภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด
ผ่านไปสักพัก นางก็ถามขึ้นว่า “สถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทุกคนในตระกูลชิวรายงานทุกสิ่งที่ทราบให้ฟัง
ชิวเฟิงจู้จดจำทุกคำพูดแล้วใคร่ครวญถึงสิ่งที่หลิงเทาเพิ่งแจ้งให้ทราบ ทำให้นางพอจะเข้าใจสถานการณ์ของแดนมัชฌิมในยามนี้
“มีวี่แววของชิวเสวียนหรือไม่?”
ชิวเฟิงจู้ถามอีกครั้ง แต่ตอนนี้ทุกคนกลับเงียบ
สถานการณ์ที่พลิกผันในวันนี้ ทำให้ทั้งตระกูลผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้พวกเขาสามารถส่งกำลังคนออกไปค้นหาชิวเสวียนได้
ผ่านไปตั้งครึ่งวัน แต่ยังไม่มีข่าวคราว
ชิวเฟิงจู้ขมวดคิ้ว แต่ในที่สุดนางก็ตัดสินใจได้
“เรียกสมาชิกตระกูลชิวทั้งหมดที่อยู่ข้างนอกกลับมา! รวมถึงคนที่กำลังออกตามหาชิวเสวียนด้วย! นับจากนี้ไป ห้ามใครออกไปเด็ดขาด!”
สิ้นคำ ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน
ตอนนี้ สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลง ตระกูลชั้นสูงทั้งหมดกำลังเคลื่อนไหวทันทีที่ทราบข่าว แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เตรียมมาตรการรองรับก็ยังสืบเสาะหาข่าวคราวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
แต่ชิวเฟิงจู้กลับสั่งให้ทุกคนอพยพมาอยู่หลังประตูงั้นหรือ?!
“สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของพวกเราอีกแล้ว!”
“อย่าลืมสิว่าที่พวกเราออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อสืบข่าวคราวเกี่ยวกับชิวชิงหลี แต่สถานการณ์ในแดนมัชฌิมเปลี่ยนไปแล้ว ลำพังแค่พวกเรา ย่อมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนทั้งตระกูลชิวได้!”
ชิวเฟิงจู้กวาดสายตามองทีละคน “ทุกท่าน ตัวอย่างก็มีให้เห็นมามาก อย่าได้ลืมเลือนเป็นอันขาด”
“ไม่ฝ่าฝืนย่อมเป็นการดี!”
คำพูดเหล่านี้ดึงความทรงจำในใจของทุกคนกลับมา ทำให้เรื่องราวในอดีตบางส่วนปรากฏขึ้น
ตอนที่ตระกูลส่งคนมาทำภารกิจ ข้อห้ามสำคัญที่สุดก็คือการตัดสินใจด้วยตัวเอง!
ก่อนหน้านี้มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย หนึ่งในนั้นคือตัดสินใจโดยพลการจนทำให้ตระกูลชิวต้องเข้าต่อสู้อย่างไร้ความหมาย
แม้ภายหลังสถานการณ์จะสงบลง แต่ตัวต้นเรื่องก็ถูกถลกหนังเลาะกระดูกต่อหน้าทุกคนในตระกูลชิว!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ก่อนจะประสานมือแล้วเอ่ยคำทันที “น้อมรับคำสั่งท่านอาเฟิงจู้!”
ชิวเฟิงจู้พยักหน้าก่อนสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกลับเข้าห้อง
ทันทีที่ก้าวออกจากห้อง นางก็หยิบยันต์ออกมาแล้วเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนมัชฌิม จากนั้นยันต์กลายเป็นแสงสีดำก่อนจะมุ่งหน้าไปทางกองบัญชาการของตระกูลชิว
ชิวเฟิงจู้ยืนอยู่กับที่ด้วยความลังเลสักพัก จากนั้นหยิบยันต์อีกใบออกมาและเริ่มเขียนบางอย่าง ก่อนจะหยุดนิ่งแล้ววางมืออีกครั้ง
นางจำได้ว่ายันต์ที่ถูกส่งไปที่วังจักรพรรดิคราวก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หากคราวนี้ยังส่งไปอีก เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตน
ชิวเฟิงจู้ขมวดคิ้วก่อนจะสะบัดนิ้ว แล้วยันต์ก็ถูกเผา
เปลวเพลิงลุกโชนปกคลุมยันต์ ในที่สุดก็ถูกกลืนกินจนหมดสิ้น
“กราบทูลฝ่าบาท…”