ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 342 เพลิงเร้นลับยอมจำนน
บทที่ 342 เพลิงเร้นลับยอมจำนน
บทที่ 342 เพลิงเร้นลับยอมจำนน
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เปลวเพลิงรอบข้างจึงจางหาย
รูปลักษณ์ของฉู่เชิ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป น้ำหนักของเขาลดลงอย่างมาก
แต่มีพลังมหาศาลแฝงอยู่ในกลิ่นอาย
ฉู่เชิ่งกรอกโอสถกำมือหนึ่งเข้าปาก ทำให้ปราณวิญญาณที่ใกล้จะเหือดหายเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จนกลับมามีกำลังวังชา
เขายื่นมือออกไป เปลวเพลิงสีดำก็ปรากฏขึ้น มันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ทรงพลังและอำนาจ!
“นี่มันอันดับสามสิบหกในรายชื่อเพลิงวิญญาณ… เพลิงเร้นลับ!”
มุมปากของฉู่เชิ่งยกยิ้ม
ในที่สุดก็ขัดเกลาเพลิงวิญญาณนี้ได้!
บัดนี้เขาครอบครองเปลวเพลิงสามชนิดแล้ว
เพลิงเร้นลับ เพลิงสวรรค์ รวมถึงเพลิงเหมันต์สงัด!
เขาครอบครองวิชาเพลิงสวรรค์ผลาญภพเช่นกัน ทำให้หลอมรวมเปลวเพลิงสามชนิดนี้เข้าสู่ร่างเพื่อปลดปล่อยพลังอันแก่กล้าอย่างยิ่งออกมา
นับแต่เข้าดินแดนลับนี้มาก็ไม่ถูกใครรบกวน ทำให้เขาแข่งขันกับผู้ที่มาสำรวจพร้อมกันได้อย่างทัดเทียม จนในที่สุดก็ได้ทรัพยากรที่ดีจำนวนมากระหว่างทาง
บัดนี้ตัวเขาได้เข้าสู่ขั้นเทียมเทพแล้ว
ความจริง เขาควรบรรลุขั้นนี้นานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ถูกระงับไว้
เป็นครั้งแรกที่ฉู่เชิ่งรู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีลู่หยวนวิเศษอย่างยิ่ง!
หากไม่มีลู่หยวนมาก้าวก่าย เขาก็จะกลับไปสู่คืนวันที่สามารถยืนหยัดต่อกรกับคนนับหมื่นได้!
ผู้คนมากมายกำลังแข่งขันกับเขาอยู่ในดินแดนลับแห่งนี้ บ้างก็มีรากฐานการบ่มเพาะสูงกว่า บ้างก็มีวัตถุอันทรงพลังให้พึ่งพา!
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เชิ่ง ผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้คล้ายกับไม่มีค่าในสายตา!
ในที่สุด เขาก็เข้าสู่ส่วนลึกที่สุดของดินแดนลับจนได้รับเพลิงวิญญาณนี้มาครอง!
ฉู่เชิ่งยกมือขึ้น
ครืน!
หมู่เมฆสีดำกำลังเคลื่อนตัวเหนือท้องนภา และสายฟ้าทั้งหลายก็เคลื่อนตัวไปมาอยู่ภายในนั้น ราวกับมังกรอัสนีพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง พร้อมจะทะยานลงมาทุกเมื่อ
“ภัยพิบัติอัสนี…”
มุมปากของฉู่เชิ่งยกยิ้ม
ครั้งนี้เขาเข้าสู่ขั้นเทียมเทพโดยตรง จนเกือบจะก้าวเข้าสู่ระดับสูง!
การก้าวข้ามนี้คือเอกลักษณ์เฉพาะในแผ่นดินหยวนหง!
หากการบรรลุครั้งนี้ได้ยินถึงหูคนอื่นเข้า เกรงว่าคงจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำนาน!
ฉู่เชิ่งเงยหน้ามองสายฟ้าบนท้องนภา
ขอเพียงรอดจากมันในวันนี้ไปได้ เขาก็จะได้กลับแดนมัชฌิม!
ลู่หยวน ข้าจะกลับไปหาเจ้า!
เพื่อคืนความอัปยศอดสูทั้งหมดที่เจ้าเคยมอบให้ในคราวเดียว!
เปรี้ยง!
สายฟ้าพลันฟาดลงมาจากท้องนภาประหนึ่งมังกรยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่ง รอบข้างพลันปรากฏสายฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยพลังมหาศาล พร้อมกับเสียงคำรามดังสนั่นในอากาศ ทำให้หูอื้อตาพร่ามัว!
ฉู่เชิ่งลุกขึ้นแล้วเชิดหน้าขึ้นสูง
ทันใดนั้น!
เขาก็ประสานมือ เปลวเพลิงทั้งสามลูกพลันลุกโชนทั่วทั้งร่าง
เพียงแตะปลายเท้าก็ทะยานเข้าสู่ใจกลางสายอัสนี!
…
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน สายฟ้าทั้งหมดในดินแดนลับก็หยุดนิ่ง
ยามนี้ผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ด้านนอกขณะที่ใช้รากฐานการบ่มเพาะ เพื่อสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องร่างกายเอาไว้
แม้สายฟ้าจะหายไปแล้ว แต่สายตาของคนเหล่านี้ยังจับจ้องหมู่เมฆเหนือท้องนภา
เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะทราบว่ามีใครบางคนเผชิญเคราะห์อัสนีเพื่อทะลวงผ่าน
เมื่อเห็นว่าทั้งสายฟ้าและหมู่เมฆสีดำหายไปแล้ว คนเหล่านี้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดินแดนลับเปิดแล้ว ไม่มีทางออกไปได้ก่อนเวลาจะหมด
การที่สายฟ้าฟาดลงมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากพวกเขาเข้าไปพัวพันก็จะไม่สามารถใช้กำลังขัดขืนหรืออาจถึงแก่ความตาย!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมารวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล
“ทิศทางของภัยพิบัติอัสนีเมื่อครู่น่าจะเป็นส่วนลึกที่สุดของดินแดนลับ! ที่นั่นมีเพลิงเร้นลับอยู่!”
“ใช่ ถ้าจำไม่ผิด มีสี่คนที่มุ่งหน้าไปทางนั้น ข้าไม่ทราบว่าใครเป็นคนทะลวงขั้นจนทำให้เกิดสายฟ้าแบบนั้น!”
“ยังต้องพูดอีกหรือ?! ต้องเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลจินอย่างจินอู่ไม่ผิดแน่! เขาแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนสี่คนที่เข้าไปและเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์เอาชนะเพลิงเร้นลับได้! ต้องเป็นเขาที่ทำให้มันยอมจำนนเพื่อนำมาเพิ่มรากฐานการบ่มเพาะ ก่อนจะก้าวข้ามขั้นจนทำให้เกิดภัยพิบัติอัสนี!”
“ก็ไม่แน่เสมอไป! ถึงแม้จินอู่จะแข็งแกร่งที่สุด แต่เขาอยู่เพียงระดับต้นของขั้นเทียมเทพ หากต้องการผนึกภัยพิบัติอัสนี เขาต้องทะลวงขั้นเทียมเทพก่อนจึงจะเข้าสู่ขั้นเซียนยุทธ์! เขาจะได้รับการบ่มเพาะที่มากขนาดนั้นจากการดูดกลืนเพลิงเร้นลับได้อย่างไร?! ในความเห็นของข้า ศิษย์จากยอดเขากระบี่สงัดอย่างโจวหนีซางน่าจะเป็นได้ไป! นางเพิ่งไปถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นเทียมเซียน หากได้รับเพลิงวิญญาณหรือโชคชะตาบางอย่าง ย่อมสามารถเข้าสู่ขั้นเทียมเทพได้ภายในหนึ่งอึดใจ!”
ทุกคนต่างพากันคาดเดาโดยไม่มีใครยอมใคร
แต่การคาดเดาของทุกคนจดจ่ออยู่ที่ทั้งสามคน ไม่มีใครเอ่ยถึงฉู่เชิ่งแม้แต่คนเดียว
ถึงอย่างไรในบรรดาสี่คนที่เข้าไป โอกาสที่ฉู่เชิ่งจะทำสำเร็จมีน้อยมาก
ขณะทุกคนกำลังสนทนา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากกลุ่มคน
“มันมาแล้ว!”
ทุกคนหันสายตาไปทางต้นเสียง ทำให้เห็นพลังทะยานขึ้นจากพื้นดินท่ามกลางขุนเขาที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและหินหลอมเหลว
ตู้ม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนจนทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับลงมาทั่วร่าง
พวกเขาบางส่วนมีรากฐานการบ่มเพาะที่ดี ทำให้สามารถโคจรพลังเพื่อขัดขืนพลังนี้ได้ ขณะที่บางส่วนที่มีรากฐานการบ่มเพาะต่ำพลันถูกพลังดังกล่าวกดทับจนต้องคุกเข่า
ทันใดนั้น!
ร่างหนึ่งทะยานอยู่ระหว่างขุนเขาท่ามกลางสายตาของทุกคน
พวกเขาเงยหน้ามองด้วยดวงตาเบิกกว้างเพื่อพยายามดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ชายผู้อยู่บนท้องนภาเดินมาหาพวกเขาทีละก้าว
“ฉู่เชิ่งหรือ?!”
คนผู้หนึ่งอุทานออกมาจากท่ามกลางฝูงชน
คนที่เหลือเห็นร่างในอากาศชัดเจน
“ฉู่เชิ่งงั้นหรือ?! เป็นไปได้อย่างไร?!”
“ยอดฝีมือสามคนนั้นพ่ายแพ้ให้แก่เขาหรือ?! นี่มันเป็นไปไม่ได้! คนอื่นว่าไปอย่าง แต่จินอู่ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด! เขาคือคนที่อยู่ขั้นเทียมเทพ!”
ไม่มีคนไหนเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นฉู่เชิ่ง แต่อีกฝ่ายย่างเข้ามาจากบนอากาศ พลังอันแก่กล้ายังคงกดทับพวกเขาทั้งระยะใกล้ไกล
ผู้ที่ยังต้านทานพลังได้เมื่อครู่ รู้สึกเหมือนกับกำลังแบกขุนเขาไว้บนบ่า ทำให้เริ่มหายใจได้ลำบาก
เมื่อฉู่เชิ่งเข้ามาใกล้ ฝูงชนต่างถอยห่างเพื่อเปิดทางเดินให้กับเขา
ไม่ว่าจะไม่เชื่อมากแค่ไหน แต่ความเป็นจริงก็ได้ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
ฉู่เชิ่งคือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาคนเหล่านี้!
ยิ่งกว่านั้น… เขายังทะลวงขั้นได้ในหนึ่งอึดใจจนก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเทพ!
หากพวกเขาจำไม่ผิด ฉู่เชิ่งยังอยู่เพียงขั้นเทียมเซียนตอนมาที่นี่ครั้งแรก!
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ก้าวเข้าสู่ระดับสูงแล้ว!
โอกาสเช่นนี้นับว่าพิเศษอย่างแท้จริง!
ฉู่เชิ่งเดินลัดเลาะไปตามดินแดนลับ ซึ่งมีค่ายกลขนาดใหญ่ถูกสลักเอาไว้ทีละก้าว
เป็นเพราะตัวตนของค่ายกลนี้ที่ทำให้ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้
ฉู่เชิ่งถอยไปครึ่งก้าวราวกับต้องการจะทะลวงค่ายกลออกไป
หนึ่งในคนซึ่งอยู่ด้านหลังเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับกลางของขั้นเทียมเทพจะเปิดได้!”
ฉู่เชิ่งราวกับไม่ได้ยินขณะยกเท้าขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงขาเตะ
ตู้ม!
ค่ายกลสั่นสะเทือน
ฉู่เชิ่งลดขาลง
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ค่ายกลพังทลายต่อหน้าทุกคน