ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 351 ตระกูลเยวี่ยถูกทำลาย ตระกูลใหญ่ออกโรง
บทที่ 351 ตระกูลเยวี่ยถูกทำลาย ตระกูลใหญ่ออกโรง
บทที่ 351 ตระกูลเยวี่ยถูกทำลาย ตระกูลใหญ่ออกโรง
ตอนนี้แทบทุกคนโคจรการบ่มเพาะเพื่อมุ่งหน้าสู่วังจักรพรรดิ
ผู้ที่อยู่ใกล้ยิ่งตื่นเต้นกว่าผู้ใด เส้นชีพจรจักรพรรดิปรากฏตรงหน้าไม่ไกลเกินเอื้อม!
แม้พวกเขาจะทราบเป็นอย่างดีว่า จะต้องเจอยอดฝีมือจำนวนมากในแดนมัชฌิม ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะที่ล้มพวกตนได้ไม่ถึงสองกระบวนท่า!
แต่มหาโชคชะตาได้ปรากฏตรงหน้าแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาจึงถูกความปรารถนาครอบงำไว้ทั้งสิ้น
ขณะผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังก่อจลาจล พวกเขาพลันได้ยินเสียงแห่งการสังหารมาจากเบื้องหน้า
ผู้คนนับร้อยรวมตัวกันอยู่ข้างกายเยวี่ยตงไห่ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
คนเหล่านี้ดูไม่คุ้นตาคล้ายกับไม่เคยปรากฏในแดนมัชฌิมมาก่อน!
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ทรงพลัง และคนส่วนใหญ่ก็บรรลุถึงขั้นเทียมเซียนระดับสมบูรณ์แล้ว!
คนเหล่านี้เริ่มสังหารผู้คนรอบข้าง หากไม่ใช่คนของตระกูลเยวี่ย ใครก็ตามที่กล้าย่างก้าวเข้ามาข้างหน้าจะถูกบดขยี้จนตายทันที!
แม้กระทั่งสมาชิกตระกูลที่เป็นพันธมิตรกับเยวี่ยตงไห่ก็ถูกคนเหล่านี้สังหารอย่างโหดเหี้ยมทันที!
เยวี่ยตงไห่ถูกคนเหล่านั้นปิดล้อมไว้ ใครก็ตามที่ไม่โง่ย่อมมองออกว่านั่นคือขุมกำลังของอีกฝ่าย!
“เยวี่ยตงไห่ ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?!”
ใบหน้าของประมุขผู้เป็นพันธมิตรกับเขาล้วนหน้าถอดสีขณะก้าวมาชี้นิ้วสาปแช่งอีกฝ่าย!
เยวี่ยตงไห่ยิ้มหยัน “พวกเจ้าโง่หรือไร? คิดว่าข้าจะแบ่งสิทธิ์ในการปกครองแดนมัชฌิมให้อย่างนั้นหรือ?! คนเดียวที่จะครอบครองเส้นชีพจรจักรพรรดิจนได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็คือตระกูลเยวี่ย!”
เหล่าประมุขที่เป็นพันธมิตรต่างอดไม่ได้ที่จะตะโกน “เยวี่ยตงไห่ เจ้าลืมแล้วหรือว่าได้ลงนามในยันต์ไปแล้ว! หากไม่ทำตามที่รับปากไว้ ตระกูลเยวี่ยก็จะถูกทำลาย!”
เยวี่ยตงไห่พ่นลมทางจมูกอย่างเย็นชา “แล้วไง?”
หลังจากสิ้นคำ เขาก็เลิกพูดจาเหลวไหลเมื่อสัมผัสได้ว่าพลังในร่างกายกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างไรหัวใจก็ถูกแผดเผาไปแล้ว!
เมื่อครู่เขาใช้พลังไปมากตอนโจมตีใส่กำแพง หากยังล่าช้าไปกว่านี้ ตนอาจจะไม่สามารถสัมผัสเส้นชีพจรจักรพรรดิได้ก่อนจะตาย!
แม้จะเตรียมใจตายไว้แล้ว แต่เขายังอยากนำพาตระกูลไปให้ถึงฝั่งฝัน!
เยวี่ยตงไห่ยกง้าวขึ้น “ฆ่า!”
ภายใต้คำสั่งของเขา สมาชิกตระกูลเยวี่ยนับไม่ถ้วนเริ่มสังหารผู้คนภายในแดนมัชฌิม
องครักษ์ทมิฬแต่ละคนต่างก็มีร่างกายกำยำ เมื่อเผชิญหน้ากับองครักษ์วังจักรพรรดิ พวกเขาจึงหลบเลี่ยงอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย โดยเป้าหมายไม่ใช่การต่อสู้ห้ำหั่น แต่เป็นการรีบเข้าถึงเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
เยวี่ยตงไห่ได้รับการคุ้มกันจากพวกเขา ฟันฝ่าศัตรูเข้าไปเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมาย
แสงสีทองซึ่งเคลื่อนลงมาจากท้องนภาได้รวมตัวอีกครั้งที่ใจกลางของวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม โดยสิ่งที่มีขนาดเล็กกำลังร่ายรำอยู่ในลำแสงเส้นนั้น
สิ่งนั้นเหมือนมังกรขนาดเล็ก ร่างซึ่งเต็มไปด้วยพลังแห่งโชคชะตาอันใหญ่ยิ่งของมันกำลังแหวกว่ายอย่างต่อเนื่อง
ขอเพียงเข้าไปใกล้ก็จะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงมหาศาลบริเวณราก
มันคือเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
ใครก็ตามที่สามารถครอบครองมันได้ก็จะกลายเป็นนายเหนือหัวคนใหม่ของแดนมัชฌิม!
เพียงไม่กี่อึดใจ เยวี่ยตงไห่และสมาชิกของตระกูลเยวี่ยก็มาถึงเบื้องหน้าเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความปรารถนาไร้ที่สิ้นสุดพร้อมกับความยินดีที่เกิดขึ้นภายในใจ
ทุกสิ่งที่เคยจินตนาการเอาไว้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว!
เยวี่ยตงไห่พลันยื่นมือออกไปคว้าเส้นชีพจรจักรพรรดิ!
ทันใดนั้น!
ตู้ม!
คลื่นรุนแรงพลันเคลื่อนลงมาจากท้องนภา
พรวด! พรวด! พรวด!
ผู้ที่รวมตัวกันรอบเส้นชีพจรจักรพรรดิต่างถูกบดขยี้เป็นก้อนเนื้อในทันที โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วจนย้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ให้กลายเป็นสีแดง!
แม้กระทั่งเยวี่ยตงไห่ผู้ครอบครองอาวุธระดับครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เว้น ก้อนเนื้อของเขาเกลื่อนกลาดไปตามพื้น ขณะที่รวมเข้ากับชิ้นเนื้ออื่นจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นของใคร
ยามนี้ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว ซึ่งผู้ที่บังเอิญอยู่นอกระยะแรงกดดันต่างคุกเข่าด้วยขาอันสั่นเทา หลายคนถึงขั้นหมดสติจนขับถ่ายของเสียออกมา
กลิ่นโลหิตคลุ้งขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะแผ่กระจายไปครึ่งวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม
มู่พ่านซานยืนอยู่ในอากาศด้วยสายตาที่ปราศจากอารมณ์
เขากำลังก้มมองอย่างเย็นชาไปยังผู้คนซึ่งเคลื่อนตัวไปมาราวกับมดปลวก ที่ตอนนี้พากันหุบปากไม่เคลื่อนไหว
จิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขาที่เพิ่งก่อตัวขึ้นกลับมลายสิ้นหลังจากเห็นสมาชิกตระกูลเยวี่ยสิ้นชีพประหนึ่งคำเตือน
ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักได้ว่าการฉกฉวยเส้นชีพจรจักรพรรดิกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว!
ต่อให้ตระกูลขนาดเล็กอย่างพวกเขาครอบครองอาวุธระดับครึ่งก้าวศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็คงถูกสังหารก่อนจะทันได้สัมผัสเส้นชีพจรจักรพรรดิ นั่นคือเจตนาแอบแฝงของมู่พ่านซาน!
เมื่อมู่พ่านซานเห็นจิตวิญญาณต่อสู้ของอีกฝ่ายมลายหายไปกับตา เขายิ่งรู้สึกพึงพอใจ
ก่อนจะสังหารก็ต้องมอบความหวังให้เสียก่อน!
หากจะลงมือสังหารทีละตระกูลย่อมเป็นเรื่องยาก
ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะมอบความหวังการมีชีวิตให้แก่คนเหล่านี้เสียก่อน แล้วค่อยละเลงโลหิตเพื่อเป็นบทเรียนที่จะจำไม่มีวันลืม!
ยามนี้ประมุขทั้งหลายถึงขั้นตั้งใจที่จะถอนตัว
ขืนอยู่ต่อแล้วจะมีประโยชน์อันใด?!
รอความตายหรือ?!
“ถอย!”
ยามนี้ประมุขทั้งหลายตะโกนอย่างร้อนรน หลังจากได้รับคำสั่ง ผู้คนในตระกูลต่างคลานกลับมาไม่หยุดราวกับมองเห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอด
ฝูงชนที่เข้ามาประหนึ่งคลื่นกลับลงทะเลในชั่วพริบตา
มู่พ่านซานสูดลมหายใจ
เคร้ง!
ง้าวมังกรครามแปดแดนร้างตกลงพื้นจนเกิดเสียงแจ่มชัด
มู่พ่านซานเงยหน้ามองไกลออกไป พบว่ามีคนไม่น้อยที่ไม่ชะลอความเร็ว พวกเขาโคจรการบ่มเพาะแล้วพุ่งเข้ามาเพื่อเริ่มการต่อสู้!
ตระกูลเหล่านี้รับมือยากที่สุด!
พวกเขาไม่เหมือนกับกลุ่มที่แล้ว ซึ่งเห็นฉากเชือดไก่ให้ลิงดูก็พากันถอยหนี!
ทันทีที่คนกลุ่มนี้ลงมือ โชคชะตาของทั้งตระกูลก็จะได้รับผลกระทบ
หากทำไม่สำเร็จก็ต้องตาย!
กระบี่ในมือของมู่พ่านซานพลันสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะปลดปล่อยแสงสว่างขนาดใหญ่จนท้องนภาสว่างไปกว่าครึ่ง
“สวี่หลิวอวิ๋นกับสวีชู่ยังไม่มาอีกหรือ?”
มู่พ่านซานถามอย่างแผ่วเบาทางด้านข้าง
เพราะส่งยันต์ไปแล้ว แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหว เขาจึงส่งใครบางคนไปตามตัว
ผ่านมาสักระยะแล้ว ถึงเวลาที่ทั้งสองคนควรจะตอบกลับมาเสียที!
คนทั้งหลายซึ่งยืนอยู่ทั้งซ้ายขวาของมู่พ่านซานอยู่ไม่ไกลต่างประสานมือทำความเคารพ
“รายงานนายท่าน… สองคนนั้น…”
คำพูดของคนผู้นั้นพลันหยุดชะงัก
มู่พ่านซานขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “พูดมา”
จากนั้นอีกฝ่ายจึงเอ่ยต่อ “สองคนนั้นไม่อยู่ในวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมแล้ว คนที่ถูกส่งไปค้นหาที่บ้านพักพวกเขาพบว่าของใช้ทั้งหลายต่างหายไป เกรงว่า…”
แม้เขาไม่เอ่ยต่อ มู่พ่านซานก็เข้าใจว่ามันหมายถึงสิ่งใด
“เหอะ… แปรพักตร์จากราชวงศ์หรือ”
มู่พ่านซานเย้ยหยันอยู่ในใจขณะที่จิตสังหารทอประกายในดวงตา
สวี่หลิวอวิ๋น สวีชู่ หากเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ ข้าจะส่งพวกเจ้าลงนรกด้วยตัวเอง!