ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 431 ลู่หยวนและชิวเสวียนพ่ายแพ้!
บทที่ 431 ลู่หยวนและชิวเสวียนพ่ายแพ้!
บทที่ 431 ลู่หยวนและชิวเสวียนพ่ายแพ้!
ไม่ผิดแน่!
พลังรอบกายชิวสิงเริ่มถูกสยบในทันที ขณะที่พลังซึ่งรั่วไหลออกมาถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเริ่มเคลื่อนกลับมา
ร่างซึ่งล้มลงในตอนแรกเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว!
ลู่หยวนกับชิวเสวียนมองหน้ากันอย่างรู้ใจ ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความคิดในแววตาของอีกฝ่าย
ทันใดนั้น!
ทั้งสองคนก็ลงมือ ดีดตัวทะลวงอากาศมุ่งหน้าตรงเข้าหาชิวสิง!
สายตาของชิวสิงทอประกายด้วยจิตสังหาร เขายื่นมือออกไป แล้วพลังที่ชิวเสวียนฝังไว้ในร่างกายก่อนหน้านี้ก็เกือบสูญสลายจนสิ้น!
สิ่งที่เกือบจะหลุดจากการควบคุมของเขาในตอนแรก บัดนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว!
ถึงอย่างไร เมื่อเผชิญหน้ากับพละกำลังสุดหยั่ง ย่อมไม่มีใครก้าวข้ามเขาไปได้!
ต่อให้ลู่หยวนกับชิวเสวียนร่วมมือกัน พวกเขาก็หาเทียบเคียงได้ไม่!
ตอนนี้ลู่หยวนกับชิวเสวียนมาถึงตรงหน้าชิงสิงแล้ว
ง้าวของลู่หยวนกับฝ่ามือของชิวเสวียนพลันเคลื่อนลงมาในชั่วพริบตา ชิวสิงเผยยิ้มเหี้ยมก่อนจะคว้าการโจมตีทั้งสองไว้ด้วยมือเปล่า!
ปราณทั่วทั้งร่างเริ่มปั่นป่วนก่อนจะเพิ่มขึ้น เพื่อต้านการโจมตีของทั้งสอง
หลุมดำเบื้องหน้าพลันหายไป แล้วพลังมหาศาลก็ระเบิดออกจากร่างชิวสิง!
ลู่หยวนและชิวเสวียนสัมผัสได้ทันทีว่ากลิ่นอายรอบกายเริ่มก่อตัว ทำให้ร่างของพวกเขาคล้ายกับถูกกดด้วยมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น!
การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง!
แต่พลังยังคงไม่ลดลง!
อากาศที่เคลื่อนมาตรงหน้ากลับไม่สามารถต้านรับการโจมตีของทั้งสองคนได้ก่อนจะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็ว ซึ่งพลังในมือของพวกเขายังคงตรงเข้าหาชิวสิง!
ลู่หยวนกับชิวเสวียนตัดสินใจพร้อมกัน ปราณบนร่างของพวกเขาเริ่มโคจรด้วยพลังมหาศาลและกำลังจะถาโถมเข้าหาชิวสิง!
แต่ทั้งคู่ทราบดีว่าข้อจำกัดของอีกฝ่ายหายไปแล้ว ส่วนชิวสิงก็ทราบเช่นกันว่า หากเก็บงำพลังไว้ คงจัดการลู่หยวนและชิวเสวียนไม่ได้
ดังนั้น สำหรับชิวสิงแล้ว การปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อสังหารทั้งสองคนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า!
ดังนั้นการโจมตีในตอนนี้ คือโอกาสดีที่สุดสำหรับลู่หยวนและชิวเสวียน หากพลาดช่วงเวลานี้ไป ย่อมเป็นการยากที่ทั้งสองจะหาโอกาสได้อีก!
เพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็เข้ามาพร้อมพลังขนาดใหญ่!
สายตาของชิวสิงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แล้วตอนนี้กลิ่นอายสุดท้ายก็กลับคืนสู่ร่างกายแล้ว
เขาเอามือไพล่หลังก่อนจะหันข้างราวกับไม่สนใจ
ก่อนหลบการกระบวนท่าสังหารของลู่หยวนและชิวเสวียนได้อย่างง่ายดาย
ลู่หยวนหรี่ตาแล้วเนตรเทวะตรงหว่างคิ้วก็สั่นไหว ทำให้พื้นที่สั่นไหว ก่อนหมอกสีแดงจะกระจายปกคลุมรอบข้างไว้อย่างรวดเร็ว
วั่งไฉพันรอบง้าวมังกรครามแปดแดนร้างเอาไว้ ทำให้กลิ่นอายทั้งหมดที่ปกคลุมร่างลู่หยวนถูกสลายไป
ลู่หยวนถือง้าวด้วยสองมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปแทงชิวสิง
แสงเย็นเยือกพลันพุ่งตรงเข้ามา โดยห่างจากใบหน้าของชิวสิงเพียงสามชุ่น แต่ทันใดนั้นง้าวก็หยุดนิ่ง!
“เจ้าหนู เจ้าแข็งแกร่งมากเหลือเกิน หากเป็นเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ข้าอาจจะไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ แต่ว่าเจ้าก็ยังช้าเกินไป!”
ชิวสิงเอามือไพล่หลัง ก่อนเบนมองไปทางอื่น สายตาของเขาพลันเปลี่ยนไป พร้อมกับกลิ่นอายที่วูบไหวไปมา แล้วโลกทั้งใบก็หยุดนิ่ง!
ร่างของลู่หยวนคล้ายกับถูกควบคุมโดยมิติและเวลา ทำให้ไม่อาจขยับได้
ชิวสิงหันมองลู่หยวนขณะยื่นมือขวากดไปที่หัวใจของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
วิ้ง!
เมื่อแสงสีทองวูบไหว ทำให้พลังแห่งวิถีคุณธรรมอันไร้ที่สิ้นสุดกลายเป็นอาวุธคมกริบที่แทงทะลุหน้าอกของลู่หยวน พร้อมกับทำให้รอบข้างสั่นสะเทือน!
ตู้ม!
เสียงทุ้มต่ำน่าขนลุกดังมาจากหัวใจของลู่หยวนก่อนที่ก้อนเนื้อจะยุบตัวลง ทำให้กระดูกซี่โครงของเขาหักทีละชุ่น แล้วร่างกายก็กระเด็นถอยหลังออกไปทันที!
ตู้ม!
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ ลู่หยวนก็ลอยออกมาจากพื้นที่ต้องห้าม ก่อนจะกระแทกที่ใดสักแห่งในตระกูลชิวอย่างรุนแรง!
ความเจ็บปวดสุดแสนแล่นจากหัวใจของลู่หยวนไปทั่วทั้งร่างกาย
เพียงหนึ่งอึดใจ ลู่หยวนก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมา เส้นโลหิตปูดโปน โลหิตทะลักออกจากปาก!
ทุกคนที่ฝังยันต์ของลู่หยวนไว้ในกายต่างรู้สึกเจ็บที่บริเวณหัวใจ!
ในตระกูลเสวียนซึ่งอยู่ไกลออกไปในแดนมัชฌิม ฉินอี่หานบยกมือกุมหน้าอกขณะใบหน้าพลันขาวซีดราวกระดาษ
เสวียนเทียนชวนผู้กำลังวางแผนเกี่ยวกับการจัดการในแดนมัชฌิมอยู่ข้างกายก็ประสบความเจ็บปวดแบบเดียวกัน
พวกเขาล้วนทราบในอึดใจเดียวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับลู่หยวน!
หลังจากความเจ็บปวดทุเลาแล้ว ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ก่อนจะรีบเรียกทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปที่ตระกูลชิวเพื่อเตรียมเปิดฉากต่อสู้
เมื่ออวี๋ฉู่ทราบถึงเรื่องนี้ก็เรียกอาจารย์สำนักทั้งหลายของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มา ก่อนจะมุ่งหน้าไปสังหารอีกฝ่าย!
ทันใดนั้น ผู้มีอำนาจของแดนมัชฌิมเริ่มสั่นคลอน!
สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเสวียน ตระกูลกู่ ตระกูลหลิง หรือแม้กระทั่งฮ่วนซิงไป๋ผู้เพิ่งทำการทะลวงขั้นก็ทราบถึงเรื่องนี้ จากนั้นจึงนำสมาชิกตระกูลฮ่วนมุ่งหน้าสู่ตระกูลชิว!
ตระกูลทั้งหลายในแดนมัชฌิมจะไม่มีวันลืมวันนี้ ตระกูลที่ทรงพลังเกือบทั้งหมดต่างเคลื่อนกำลังออกไป!
หลิงอวิ๋น เสวียนเทียนชวน ฮ่วนซิงไป๋ กู่จินเจา อวี๋ฉู่และผู้นำคนอื่นล้วนเป็นคนที่สามารถกำราบอีกฝ่ายได้!
คนเหล่านี้ออกมาพร้อมกัน พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งขรึมและมีจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุดแทบทุกคน!
มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้?
ดูจากสถานการณ์แล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเผ่ามารได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและกำลังจะกวาดล้างทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหง?!
ตระกูลทั้งหลายพลันแตกตื่น ขณะคาดเดาอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นถาม
คนเหล่านี้เคลื่อนที่กันอย่างรวดเร็ว!
สมาชิกทั้งหลายเคลื่อนไหวไปมาจนปกคลุมทั่วท้องนภาของแดนมัชฌิม!
ในบรรดากลุ่มเหล่านี้ ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำสุดต่างอยู่ขั้นเซียนยุทธ์แท้จริง!
โลกกำลังจะเปลี่ยนไป
ผู้คนจากตระกูลทั้งหลายในแดนมัชฌิมต่างทอดถอนหายใจ
…
ในพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลชิว พลังในการหยุดเวลาของชิวสิงหายไปแล้ว
ชิวเสวียนใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อโจมตีชิวสิง!
“ส่วนเจ้าแย่ยิ่งกว่าเขา”
ชิวสิงเอ่ยอย่างแผ่วเบาโดยที่ไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง ก่อนยกมือที่มาพร้อมกับกลิ่นอายอันบ้าคลั่งประหนึ่งคลื่นโรมรันกับชิวเสวียน
พลังวิถีคุณธรรมนับไม่ถ้วนโจมตีใส่ชิวเสวียนประหนึ่งพายุหมุน
“อ๊าก!”
เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังมาจากพายุหมุน เพียงหนึ่งอึดใจ กระดูกทุกท่อนของชิวเสวียนก็บิดเบี้ยวและแตกหักเพราะพายุดังกล่าว!
ยามพายุหมุนหยุดนิ่ง ดวงตาของชิวเสวียนกลับกลายเป็นว่างเปล่า ก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระตุก
“พรวด!”
เขากระอักโลหิตออกมาจากปาก!
ชิวสิงชำเลืองมองชิวเสวียนอย่างเย็นชา จากนั้นยื่นมือเข้าประคองอีกฝ่าย
เมื่อมองไกลออกไป เขาก็เห็นว่าตำแหน่งค่ายกลที่วางไว้ยังไม่พังทลาย
ถึงแม้ตอนนี้จะปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาแล้ว แต่โชคดีที่สามารถเอาชนะสองคนนี้ได้โดยที่ไม่ใช้เรี่ยวแรงมากนัก
เขาต้องฉวยโอกาสในตอนนี้ นำทั้งสองคนไปที่ค่ายกลเพื่อทำการสังเวยให้เสร็จสิ้น!
ทว่าหลังจากทำการสังเวยแล้ว เขาต้องซ่อนตัวอีกหลายร้อยปีจึงจะสามารถฟื้นคืนพลังได้เท่าตอนนี้!
ชิวสิงก้าวออกไป แล้วอากาศก็สั่นไหวก่อนร่างจะมาอยู่นอกพื้นที่ต้องห้าม
เขากำลังจะไปตำแหน่งที่ลู่หยวนอยู่เพื่อคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ แต่ก่อนจะได้ทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะลุ่มลึก
“น่าสนใจ ชิวสิง เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าอับอายได้ถึงเพียงนี้!”