ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 45 ค่ายกลทะลวงเผ่าภูติผี
บทที่ 45 ค่ายกลทะลวงเผ่าภูติผี
บทที่ 45 ค่ายกลทะลวงเผ่าภูติผี
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากร่างในชุดคลุมสีดำ เผ่าภูติผีทั้งหมดพุ่งออกมา เงาสีดำจำนวนมากพุ่งเข้าหาข่ายประตูมิติในทันที
เมื่อเห็นร่างแล้วร่างเล่ากำลังพุ่งเข้าหาข่ายประตูมิติ ไป๋จางก็ฟาดฟันกระบี่ออกไปทันที ปราณกระบี่หลอมรวมขึ้นในพริบตา ก่อนพุ่งลงไปหาเป้าหมาย
ตู้ม!
ปราณกระบี่พุ่งลงไปด้านล่าง ข้ามผ่านทั่วทั้งจัตุรัส!
กระแสพลังมืดหายไปภายใต้ปราณกระบี่ ข่ายประตูมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์!
ไป๋จางมองข่ายประตูมิติที่ค่อย ๆ จมเข้าไปกับค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูร ในใจก่อเกิดความรู้สึกซับซ้อนมากมาย
คนจากเผ่าภูติผี… เข้าไปได้สำเร็จแล้ว!
บางคนที่เข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูร พุ่งทะยานไปด้านล่างบนดินแดนแห้งแล้ง ซึ่งมีสายลมและทรายถาโถม
โดยมีไป๋อู๋อียืนนำหน้า
กุ่ยซู่นับจำนวนคน ก่อนสีหน้าเล็กสีขาวนวลจะบิดเบี้ยว และกล่าวด้วยความเกลียดชังว่า “กระบี่ของไป๋จางเมื่อครู่ฟันโดนเผ่าภูติผีของข้าผู้อยู่ครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเทพสองคน! ตอนนี้เหลือเพียงสี่คนเท่านั้น เหอะ รอข้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้น ๆ เอง!”
ไป๋อู๋อีมองนางด้วยสายตาเย็นชา อีกฝ่ายหุบปากทันที คนที่เหลือส่งเสียงโห่ร้องราวกับจักจั่น
ไป๋อู๋อีหยิบยันต์วิญญาณวิถีออกมา ยันต์วิญญาณสั่นไหวเล็กน้อยไปทางหนึ่ง ราวกับกำลังชี้บางสิ่ง
“ลู่หยวนเข้าค่ายกลไปแล้วจริงด้วย!”
ไป๋อู๋อีแยกยันต์วิญญาณออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นถูกส่งไปยังปลายทาง ก่อนออกคำสั่งว่า “มีค่ายกลกำลังทำงานอยู่ที่นี่ มันจะทำให้ผู้คนหลงทาง หลังจากยันต์วิญญาณนี้พบลู่หยวนแล้ว จงฆ่าเขาเสีย! หลังจากข้าเก็บเกี่ยวโชคลาภครั้งนี้มาแล้วจะตามไปสมทบเพื่อพาเจ้าออกมา”
กุ่ยซู่รับยันต์วิญญาณอีกครึ่งมาด้วยความเคารพ ดวงตาที่หลุบต่ำเผยแววแปลกประหลาดออกมา
ไป๋อู๋อีเก็บอีกครึ่งไว้ จากนั้นพยักหน้าแล้วจากไป ห่างออกไปไม่ไกล ค่ายกลใต้เท้าของเขาก็ส่องแสง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เสียงระเบิดจำนวนมากดังขึ้น ร่างของไป๋อู๋อีสว่างวาบ! ก่อนกุ่ยเหยียนจะปรากฏขึ้นที่ด้านหลังบุตรแห่งโชคชะตาแล้วรีบพาเขาออกมาจากรัศมีการโจมตีทันที ทำให้ทั้งสองตกไปด้านข้าง ส่วนตำแหน่งที่ค่ายกลตั้งอยู่ถูกระเบิดจนกลายเป็นหลุมทรายลึกซึ่งกำลังจมลงอย่างรวดเร็ว
“เหอะ”
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลเพิ่งติดตั้งได้ไม่นาน นอกจากพวกเขาเพียงไม่กี่คนแล้ว คนเดียวที่เข้ามาคือลู่หยวน แสดงว่านี่จะต้องเป็นค่ายกลที่ติดตั้งโดยเจ้านั่นอย่างแน่นอน
“เจ้าโง่ คิดจะทำร้ายข้าด้วยลูกไม้พรรค์นี้หรือ?”
ไป๋อู๋อีพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา จากนั้นชำเลืองมองกุ่ยเหยียนด้วยสายตาชื่นชม เขายังคงเดินจากไป ผ่านไปสักพัก เงาของเขาพลันหายไปในทะเลทราย
กุ่ยเหยียนกลับไปหากุ่ยซู่ พลางกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านประมุข”
กุ่ยซู่ชำเลืองมอง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจงรักภักดีกับนายท่านมากไปหน่อยนะ”
คู่สนทนาก้มตัวต่ำมากขึ้น กุ่ยซู่หยิบยันต์วิญญาณอีกครึ่งออกมาแล้วเขย่า “ไปเถอะ นายท่านของพวกเราไม่เชื่อใจ ถึงมอบยันต์วิญญาณให้เพียงครึ่งเดียว เขาคงกลัวว่าพวกเราจะปล่อยอีกฝ่ายไป”
กลุ่มคนพุ่งไปทางที่ยันต์วิญญาณชี้นำให้…
ลู่หยวนผู้อยู่ในดินแดนแห้งแล้งกำลังเดินอยู่ทางหนึ่ง ทันใดนั้น คลื่นความร้อนพลันปรากฏขึ้นในมือ เมื่อเขาก้มมองดูก็เห็นแสงสว่างสีขาวสองจุดบนฝ่ามือ ซึ่งแสงสว่างสองจุดกำลังสั่นระริกไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
“ดูท่าไป๋อู๋อีจะเข้ามาแล้วสินะ”
มุมปากของลู่หยวนยกขึ้น
เศษซากกระจัดกระจายหลังจากค่ายกลที่ถูกตระเตรียมเมื่อครู่ระเบิด หากใครสัมผัสกับเศษซากเข้าก็จะถูกสะกดรอย!
แสงสว่างสีขาวสองจุดปรากฏขึ้นพร้อมกัน แสดงว่าไม่น่าใช่ไป๋ซีเจ๋อ แต่เป็นไป๋อู๋อีกับสมาชิกของเผ่าภูติผีอีกคน!
ลู่หยวนพบว่าแสงสว่างจุดหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาวงในของยอดเขาเมฆาม่วงด้วยความเร็วมหาศาลยิ่ง มันน่าจะเป็นไป๋อู๋อี
ลู่หยวนทะยานไปข้างหน้า พุ่งไปยังทิศทางของบุตรแห่งโชคชะตา
สภาพแวดล้อมรอบข้างของยอดเขาเมฆาม่วงร้ายแรง เต็มไปด้วยอันตราย มีค่ายกลแปลกประหลาดและสัตว์อสูรจำนวนมากแฝงตัวอยู่ข้างใน
ลู่หยวนตามไป๋อู๋อีไป ซึ่งระหว่างทางไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย ต่อให้มีสัตว์อสูรที่รับมือได้ยากอยู่บ้าง แต่เจ้าพระเอกตัวดีก็จะช่วยกำจัดอุปสรรคให้เอง
ผู้ใช้ระบบวายร้ายเพียงแค่ต้องติดตามอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับปกปิดกลิ่นอายไปตลอดทาง
ไม่กี่วันต่อมา พวกเขามาถึงวงในของยอดเขาเมฆาม่วง…
ภาพทะเลทรายจางหายไปจากสายตา ไม่มีสายลมและทรายสีเหลืองอีกต่อไป มันถูกแทนที่ด้วยสีเขียวขจีทุกหนแห่ง มีขุนเขาเป็นลูกคลื่น มีปราณเซียนเลือนราง ราวกับอยู่ในดินแดนเซียน
ไป๋อู๋อีถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุดเมื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนนี้ พลันมีรอยขีดข่วนจำนวนมากบนชุดคลุมของเขา กระบี่ยาวในมือถูกย้อมไปด้วยโลหิตแห้งเช่นกัน
ถึงแม้การเดินทางนี้จะราบรื่นกว่าความทรงจำในชาติก่อน แต่เขายังต้องใช้พละกำลังเกือบทั้งหมดเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม จนมาถึงที่นี่ได้
หลังจากเข้ามาที่นี่ ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ไป๋อู๋อีเก็บกระบี่ยาว กระชับชุดคลุมสีดำ ก่อนรีบเร่งเดินไปทิศทางหนึ่ง
หลังจากผ่านขุนเขา ข้ามผ่านความเขียวขจี ไป๋อู๋อีจึงมาถึงใจกลางของยอดเขาเมฆาม่วง
เขายืนเชิดหน้าสูง มองวิหารโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา
ไม่อาจทราบได้ว่าวิหารโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ที่นี่มากี่ปี แต่ตอนนี้พื้นที่กว่าครึ่งได้รับความเสียหาย คานครึ่งหนึ่งเอียงเล็กน้อย รอบข้างเต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน
วิหารโบราณแห่งนี้หมองหม่น มีแสงสว่างสีดำสองจุดกะพริบเล็กน้อยในห้องโถงหลักอยู่ตลอดเวลา ไป๋อู๋อีอยากดูให้ชัดเจน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ กลับรู้สึกว่าวิหารโบราณถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเลือนราง ทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ว่าข้างในมีอะไร
หากจ้องเป็นเวลานาน จะมีพลังแปลกประหลาดคอยดึงดูดเขา ทำให้อยากก้าวเท้าเข้าไป
ไป๋อู๋อีส่ายหน้า ก่อนฝืนเบือนหน้าหนี แต่เขาจำได้ว่าก่อนที่จะกลับชาติมาเกิด เขาพบไป๋เจ๋อในบริเวณใกล้เคียงนี้ เขาสงสัยว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ท่านประมุขเคยบอกว่า ที่นี่มีสิ่งชั่วร้ายถูกผนึกเอาไว้ อย่าได้สงสัยใคร่รู้จะดีกว่า หาไม่แล้วอาจจะตกใจจนเสียสติก็เป็นได้
บุตรแห่งโชคชะตาปล่อยวางความสงสัยใคร่รู้ เมื่อก้าวไปข้างหน้า แสงสว่างสีทองพลันปรากฏขึ้นรอบตัวของเขา ภาพมายาขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้าวิหารโบราณ จากนั้นค่อย ๆ กลายเป็นรูปร่างที่แท้จริงขึ้นมา
ร่างสีทองสวมมงกุฎบนศีรษะ ชุดเกราะสีทองอร่าม มือถือกระบี่ ราวกับทวยเทพ
ร่างดังกล่าวชำเลืองมองมา จับจ้องไป๋อู๋อีผู้ที่ดูเล็กจ้อยไปถนัดตา ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางถามว่า “นี่คือสถานที่ต้องห้าม ใครกันที่กล้ามาที่นี่?”
เสียงดังกล่าวราวกับฟ้าร้อง ก้องกังวานด้วยอำนาจอันสูงส่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง
ไป๋อู๋อีก้าวถอยหลังสองสามก้าว ยกมือขึ้นทำการคารวะ ตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยคือทายาทตระกูลไป๋ ไป๋อู๋อี! มาที่นี่เพื่อตามหาไป๋เจ๋อ!”
เสียงอันทรงพลังยังคงดังต่อไป “ทายาทตระกูลไป๋นี่เอง ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยทำข้อตกลงกับบรรพชนตระกูลไป๋ของเจ้า ขอเพียงหนึ่งในพวกเจ้าสามารถหาที่นี่จนเจอได้ ไป๋เจ๋อก็จะถูกส่งมอบให้”
ไป๋อู๋อีผ่อนคลาย เหมือนกับก่อนเกิดใหม่ไม่มีผิด
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
บุตรแห่งโชคชะตากล่าวลาอีกครั้ง จากนั้นเตรียมเดินไปทางด้านข้างของวิหารโบราณ ในช่วงเวลานี้ ไป๋เจ๋อน่าจะกำลังคุ้มกันกำแพงซากปรักหักพังข้างวิหารโบราณ
“ช้าก่อน!”
เสียงอันทรงพลังดังขึ้นอีกครั้ง “ถึงแม้ทวยเทพผู้นี้กับบรรพชนตระกูลไป๋ของเจ้าจะเคยสนทนากันเช่นนั้นเมื่อกาลก่อน แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ไป๋เจ๋อผู้นี้ดูแลชุดเกราะทั้งหก ซึ่งจะให้กำเนิดในไม่ช้า เจ้ารออีกสักพักแล้วค่อยไปหานางก็ได้”