ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 509 ค่ายกลร้อยเซียนหรือค่ายกลร้อยภูตผี
บทที่ 509 ค่ายกลร้อยเซียนหรือค่ายกลร้อยภูตผี
บทที่ 509 ค่ายกลร้อยเซียนหรือค่ายกลร้อยภูตผี
สิ่งที่เรียกว่าค่ายกลร้อยเซียนถึงกับมีรูปทรงประหนึ่งเซียน อีกทั้งยังเป็นเพียงเซียนน้อยเท่านั้น
สิ่งที่สำแดงในภาพมายาเมื่อครู่คือฉากการปรากฏของค่ายกลร้อยเซียน!
ยามค่ายกลนี้กระจายออกไป จำเป็นต้องมีคนหนุ่มสาวเข้าไปในค่ายกลดังกล่าว
หลังจากเข้าไปแล้วก็ต้องทำการสังเวยการฝึกยุทธ์ทั้งหมด รวมถึงพรสวรรค์ สายเลือดและแม้กระทั่งชีวิตเพื่อที่จะกลายเป็นค่ายกล
แม้ค่ายกลร้อยเซียนนี้จะมีคำว่า ‘ร้อย’ แต่มันถึงกับเพียงต้องการรวบรวมสามสิบคนเท่านั้นก็สามารถก่อตัวเป็นค่ายกลได้!
หลังจากผู้คนมารวมตัวพร้อมกับที่ค่ายกลก่อตัวขึ้น ทุกคนก็อยู่ในสภาพเซียนน้อยพร้อมกัน หลังจากเผาผลาญปราณวิญญาณจำนวนมากก็รักษาค่ายกลเอาไว้เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ค่ายกลนี้ก็จะไร้ประโยชน์ แล้วผู้คนที่อยู่ภายในก็จะไร้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน!
ทุกคนย่อมมีคำตอบต่อคำถามของฉินเซียว!
ทันทีที่ค่ายกลร้อยเซียนปรากฏ ลู่หยวนจะไม่สามารถขัดขืนได้เว้นแต่จะสามารถกำราบให้เซียนน้อยต่อสู้ได้!
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก!
อย่างน้อยก็สามสิบคน
ฉินเซียวในตอนนี้แสดงค่ายกลต่อหน้าพวกเขา ความหมายของมันชัดเจนยิ่ง อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือ
ถึงอย่างไรใช่ว่าใครจะสามารถเข้าค่ายกลร้อยเซียนนี้ได้ แต่ต้องเป็นผู้มีการฝึกยุทธ์และพรสวรรค์บางอย่างเท่านั้น
ยิ่งพละกำลังและพรสวรรค์แข็งแกร่งเท่าไหร่ พละกำลังและพรสวรรค์หลังจากกลายเป็นเซียนก็จะยิ่งแข็งแกร่งตามไปด้วย!
หากต้องการสังหารลู่หยวนในคราวเดียวโดยที่ไม่ประสบความล้มเหลว ผู้สังเวยจะต้องมีการฝึกยุทธ์และพรสวรรค์ที่ดี!
ภายในราชวงศ์อู๋ซวง นอกจากตระกูลพวกเขาแล้วยังจะไปหาคนเหล่านี้มาจากไหนได้อีก?!
แต่ถ้าเป็นลูกหลานของตระกูลที่ต้องสังเวย พวกเขาย่อมมีความลังเลอยู่ภายในไม่มากก็น้อย
หากฉินเซียวต้องการระดับการฝึกยุทธ์ไม่สูงมาก เขาอาจจะสามารถหาใครบางคนมาแทนได้ แต่ถ้าต้องการผู้มีระดับการฝึกยุทธ์สูงสุด เกรงว่าภาระดังกล่าวต้องตกลงกับลูกหลานพวกตนเอง!
ฉินเซียวมองสีหน้าลังเลของคนเหล่านี้ก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ทุกท่านไม่ต้องห่วง ค่ายกลร้อยเซียนนี้ไม่จำเป็นพึ่งการสังเวยที่ทรงพลังขนาดนั้น ขอเพียงอยู่ขั้นจอมยุทธ์ขึ้นไปก็พอแล้ว ส่วนวิธีการพัฒนาพละกำลังหลังจากพวกเขากลายเป็นเซียนแล้ว ข้าพอจะมีหนทางอยู่!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าแค่ขั้นจอมยุทธ์ ไม่ว่าตระกูลไหนก็มีทั้งนั้น!
พวกเขาสามารถสังเวยได้มากเท่าที่ต้องการ!
ขอเพียงอย่าสังเวยลูกหลานตัวเองก็พอ!
“ขอเพียงอย่างเดียว”
ฉินเซียวยืนเอามือไพล่หลัง “พวกเจ้าต้องเป็นผู้ลักพาตัวด้วยตัวเอง ขอตระกูลละประมาณสองคน”
“ทุกท่านไม่ต้องห่วง เพราะไม่อยากให้รู้สึกโดดเดี่ยว ข้าก็เลยให้เอามาสองคน!”
เมื่อทุกคนได้ยินแผนการของฉินเซียว พวกเขาไม่คิดว่ามันไร้เหตุผล ตอนนี้อีกฝ่ายได้ทำการส่งคนออกไปแล้ว เพื่อให้ไม่เกิดการโต้แย้งภายใน
เพียงแต่พวกเขาไม่อยากจับเด็กน้อยเหล่านั้นด้วยตัวเอง
ทุกคนต่างเห็นด้วยคนแล้วคนเล่า
“ดี ทุกท่านรีบกลับไปเถอะ ข้าจะรอพวกเจ้าที่นี่”
สิ้นคำของฉินเซียว ขุนนางเหล่านี้ก็ทะยานออกไปไกลเพื่อตามหาคนในตระกูลของตัวเอง
แต่อู่กังกลับยังรีรออยู่ในห้องโถงใหญ่
สีหน้าของฉินเซียวโหดเหี้ยมทันทีประหนึ่งภูตผีจากขุมนรก ทำเอาผู้คนสั่นสะท้าน!
“กระดาษวาดค่ายกลพร้อมแล้วหรือยัง?”
ฉินเซียวเอ่ยอย่างสงบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“เตรียมพร้อมเรียบร้อย!”
อู่กังตอบด้วยความเคารพ “ทันทีที่พวกเขาส่งคนมาก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลได้!”
ฉินเซียวพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มีการเคลื่อนไหวแปลกประหลาดในวังบ้างหรือไม่?”
อู่กังตอบกลับ “หลังจากคนใช้พาทั้งสามเข้าไปแล้ว เขาแนะนำเพียงกระดานปราณวิญญาณเจ็ดดารา แล้วลู่หยวนก็ขอให้ทุกคนออกไป เท่าที่ฟังจากรายงาน แม้จะมองรอบข้างบ้าง แต่ลู่หยวนก็ดูไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งใด”
หลังจากลังเลเล็กน้อย อู่กังยังคงเอ่ยต่อ “หมายความว่าลู่หยวนไม่สังเกตเห็นการออกแบบในวังใช่หรือไม่?”
“เหอะ ช่างโง่เขลานัก!”
ฉินเซียวยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในบุตรธรรมดาผู้มาจากตระกูลชั้นสูงเท่านั้นหรือ?!”
“เขาคือลู่หยวน บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ผู้ที่ปลุกปั่นแดนมัชฌิมทั้งหมดจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสามารถรักษาความมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว!”
“ความรอบรู้ของเขาย่อมเหนือกว่าพวกเรา เขาจะต้องไม่เพิกเฉยต่อการออกแบบของวังทั้งหลังอย่างแน่นอน!”
อู่กังสับสนเล็กน้อย “ถ้าลู่หยวนรู้จริง เหตุใดยังคงอยู่ในนั้นเล่า?! แบบนี้ไม่เท่ากับรอความตายหรอกหรือ?”
“รอความตายงั้นหรือ?”
ฉินเซียวเริ่มเดินไปด้านข้างขณะมองวังผ่านหน้าต่าง “เขากำลังรอบางอย่างต่างหาก”
“เขายืนอยู่ในวังเพียงเพื่อรอให้พวกเราใช้ไพ่ตายใบสุดท้ายมาเล่นงาน! เขามั่นใจมากจนคิดว่ามีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ต่อให้พวกเราจะคิดทำการที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็มีแต่จะไร้ประโยชน์จนล้มลงต่อหน้าเขาเท่านั้น!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉินเซียวก็พลันรู้สึกมีอารมณ์ร่วมขึ้นมา “ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ราชวงศ์ไม่ฟื้นคืนจนมาถึงทุกวันนี้กับไม่มียอดฝีมือคอยให้การดูแล เหตุใดพวกเราต้องถอยด้วยเล่า?!”
“หากพวกเราไม่ถอยก็อาจจะได้พบกับลู่หยวนและผูกมิตรกับเขาก่อนที่ฉินอี่หานจะทำ จนพวกเราไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอายอย่างการรวบรวมคนเช่นวันนี้”
ฉินเซียวหันสายตาไปมองภาพฉายในห้องโถงก่อนจะยื่นมือออกไป เขาพบว่าเซียนน้อยทั้งหมดที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเมื่อครู่หายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภูตผีชั่วร้ายที่มีฟันและกรงเล็บ!
หากคนที่เพิ่งตะโกนว่า ‘ค่ายกลร้อยเซียน’ อยู่ที่นี่ พวกเขาอาจจะตกตะลึงที่ได้เห็นฉากนี้เข้า
นี่ไม่ใช่ค่ายกลร้อยเซียน! แต่เป็นค่ายกลร้อยภูตผีสภาพสมบูรณ์!
“เมื่อคนเหล่านั้นกลับมา พวกเขาจะต้องจับคนที่เกลียดขี้หน้ามากที่สุดมาเป็นแน่ เมื่อคนเหล่านี้ถูกส่งเข้าไปในค่ายกลร้อยภูตผี พวกเขาจะต้องเกิดความขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นภูตผีทรงพลังอย่างรวดเร็ว!”
ฉินเซียวเผยรอยยิ้มเคร่งขรึม “เมื่อภูตผีชั่วร้ายเข้าสู่ค่ายกล พวกมันก็จะหลอกหลอนวันแล้ววันเล่าไม่หยุดหย่อน ในโลกใบนี้ วิถีคุณธรรมมักถูกหักล้าง ทวยเทพถูกสังหาร แต่ภูตผีน้อยตนนี้ที่ร่อนเร่อยู่ในนรกของโลกใบนี้คือสิ่งที่รับมือยากที่สุด! ข้าอยากรู้นักว่าลู่หยวนผู้นี้จะสังหารภูตผีน้อยอย่างไร?!”
อู่กังคิ้วขมวดแล้วไม่เอ่ยคำใด เขาทราบถึงความโหดเหี้ยมของฉินเซียวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ในสายตาของผู้อื่น อู่กังคือแม่ทัพดุร้ายผู้สามารถต้านทานกองทัพจำนวนมากได้ เขาเคยต่อต้านฉินเซียวอย่างผึ่งผายเช่นกัน
แต่พวกเขาไม่ทราบว่าชีวิตของอู่กังตกอยู่ในกำมือของฉินเซียวมานานแล้ว
ทุกอย่างในอดีตเป็นเพียงการแสดงที่ฉินเซียวกับอู่กังร่วมมือกัน
เช่นเดียวกับวันนี้ ด้วยการบังคับและการล่อลวงแบบสองทาง ทำให้จิตใจของคนเหล่านี้สงบลงจนเต็มใจที่จะพรากผู้อื่น!
เมื่อเห็นรอยยิ้มของฉินเซียว อู่กังก็สั่นสะท้านเช่นกัน
การสังเวยมนุษย์เพื่อเป็นภูตผีน้อยนี้ย่อมเป็นการขัดต่อวิถีสวรรค์!
แม้การขัดต่อวิถีสวรรค์จะไม่เพียงพอต่อการลงทัณฑ์โดยตรงได้ แต่มันก็เป็นตราบาปที่คอยย้ำเตือนพวกเขา
เมื่อช่วงเวลาหนึ่งของอนาคตมาถึง วิถีสวรรค์จะมาลงทัณฑ์พวกเขา!
อู่กังรู้สึกโชคดีอยู่ภายใน อย่างน้อยเขาก็ยอมทำตัวว่านอนสอนง่าย ทำให้ไม่ต้องไปจับคนมาด้วยตัวเอง หลังจากรอให้ผู้อื่นไปจับเด็กมาจากภายนอกแล้ว พวกเขาทั้งสองก็จะจัดการส่วนที่เหลือต่อเอง