ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 621 ลู่ปู้ฝานออกโรง เสวียนเทียนชวนทำนายทายทัก
บทที่ 621 ลู่ปู้ฝานออกโรง เสวียนเทียนชวนทำนายทายทัก
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ปู้ฝาน ผู้คนบนเกาะเมฆต่างตะลึงงัน คนที่กำลังถือยันต์สื่อสารในมือก็ตรวจสอบทันที จากนั้นจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “บนยันต์นี้ มีกลิ่นอายของร่างกายลู่เทียนเฟิ่งจริง ๆ ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด”
เมื่อลู่ปู้ฝานได้ยินดังนั้นจึงมองไปยังคนผู้นั้น ดวงตาของเขาราวกับกำลังมองขยะ
“จริงหรือ?”
ลู่ปู้ฝานหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวหยิบหยันต์ขึ้นมาแล้วใช้มือลูบเบา ๆ “แล้วนี่คืออะไร?”
ทุกคนต่างพากันหันไปมองอย่างตั้งใจ มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เห็นอะไร
“ก็ไม่มีอะไรเลยนี่”
มุมปากของลู่ปู้ฝานยกขึ้น “นี่คือขี้เถ้ากระดูกของลู่เทียนเฟิ่งกลิ่นอายทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นจากขี้เถ้ากระดูกนี้”
คนหนึ่งหยิบยันต์กลับไปอีกครั้ง เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่พบกลิ่นอายของลู่เทียนเฟิ่งอีกเลย
“หมายความว่า ตัวหมากลู่เทียนเฟิ่งตัวนี้ใช้การไม่ได้แล้วหรือ? ข้อมูลบนยันต์นี้ก็ไม่น่าเชื่อถือแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่ ตัวหมากที่ข้าวางไว้จะใช้การไม่ได้ได้อย่างไรเล่า แม้ลู่เทียนเฟิ่งจะตายไปแล้วแต่ก็ตายอย่างมีค่า เขาได้นำข่าวสำคัญที่สุดกลับมาแล้ว”
ลู่ปู้ฝานหัวเราะเบา ๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ลู่หยวนนี่ข้าปั้นขึ้นมาเอง ความคิดของเขา ข้ารู้ดีที่สุด เด็กหนุ่มคนนี้หยิ่งยโสนัก เขาชอบมาก ตอนที่คนมั่นใจที่สุดจะให้การโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดแก่ผู้คน”
“ข่าวที่เขาส่งออกมาในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่ประเด็นสำคัญที่สุดสองสามประเด็นต้องถูกต้องแน่นอน ลู่หยวนต้องการให้พวกเราเห็นสิ่งที่ต้องการที่สุด ทำให้พวกเราออกโรงไป ในตอนที่พวกเราอยู่ห่างความสำเร็จเพียงก้าวเดียวก็อาจทำให้ล้มตายไปหมด ความรู้สึกสำเร็จที่ได้มาด้วยวิธีนี้ เป็นสิ่งที่เขาชอบ”
ผู้คนหลายสิบคนต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนัก ก็มีคนร่างกายใหญ่โตคนหนึ่งลุกขึ้นยืนยกมือคำนับใส่ลู่ปู้ฝาน “ท่านพี่ใหญ่ก็ว่ามาเถิด จะให้พวกข้าทำอย่างไร?”
คนอื่น ๆ ก็มีคนตามออกมา “ปู้ฝาน พวกเราเหล่านี้ควรจะตายไปนานแล้ว แต่เป็นเพราะท่านใช้วิชาลับจึงทำให้พวกเรามีชีวิตรอดมาได้ วางแผนมานานขนาดนี้ ในเมื่อมาถึงก้าวสุดท้ายแล้ว จะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับท่านทั้งนั้น”
“ดี”
ลู่ปู้ฝานยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนกล่าวว่า “ทุกท่าน ถึงเวลาแล้ว จะทะลวงเส้นชะตานี้ได้หรือไม่? หากต้องการทำให้ชื่อเสียงของตระกูลลู่ดังกระฉ่อนไปทั่วแดนเซียน ก็ต้องพึ่งฝีมือของทุกท่านแล้ว”
“เรียกองครักษ์ทั้งยี่สิบสี่มาแล้วออกเดินทางทันที”
เสียงของลู่ปู้ฝานเพิ่งจะจบลง ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงพูดเสริมอีกประโยค “อ้อใช่ พาลู่เทียนเหอกับภรรยามาด้วย พวกเขามีประโยชน์มาก”
“รับทราบ”
…
ตอนนี้ ในแดนมัชฌิม
เสวียนเทียนชวนกับฉินอี่หานได้มาอยู่ด้วยกันและหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละฝ่าย เพื่อหาทางว่าจะร่วมมือกันอย่างไร กดดันตำหนักประตูสวรรค์ที่กำลังจะเคลื่อนไหวเมื่อไม่นานมานี้ให้สงบลง เพราะหากทำได้ก็จะฉวยโอกาสยึดตำหนักประตูสวรรค์มาครอบครอง
จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ฉินอี่หาน แม้แต่เทียนเม่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ เองก็ตามกลับมาแดนมัชฌิมเพียงลำพังเช่นกัน ทุกคนต่างเข้าใจกันดีถึงเรื่องยึดตำหนักประตูสวรรค์
เพียงแต่เทียนเม่ยเอ๋อร์กับเจิ้งชิงเทียนและคนอื่น ๆ ไปหาจักรพรรดินีกู่จินเจาที่วังหลวงแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่ในตำหนัก
เสวียนเทียนชวนกับฉินอี่หานได้กำหนดแผนการมากมายเสร็จสิ้นแล้ว ด้านนอกประตูตำหนักก็มีองครักษ์คนหนึ่งรายงานเสียงดังว่า “ท่านประมุข จักรพรรดินีและคนอื่น ๆ มาแล้ว”
ในตระกูลเสวียนล้วนเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อลู่หยวน เรียกลู่หยวนว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ ส่วนคนอื่น ๆ ก็เรียกตามตำแหน่งผู้นำ
“รีบเชิญ”
เสียงของเสวียนเทียนชวนเพิ่งจะจบลง ประตูตำหนักก็ถูกเปิดออกอย่างแรง จักรพรรดินีก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว คิ้วขมวดเล็กน้อยดูไม่พอใจ
เทียนเม่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ตามมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดูเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้น
เมื่อเห็นจักรพรรดินีเช่นนี้ เสวียนเทียนชวนก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามว่า “ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
กู่จินเจาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวกดให้ เสวียนเทียนชวนนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “จงทำนายชะตา ทำนายของตระกูลลู่!”
เสวียนเทียนชวนตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกู่จินเจาเช่นนั้น ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา จึงหยิบหมากรุกขึ้นมาสองสามตัวเตรียมจะเริ่มทำนาย
“ฝ่าบาท จะให้ข้าทำนายทั้งตระกูลลู่หรือ?”
“ใช่!”
กู่จินเจาตอบอย่างหนักแน่น “หากเจ้าทำนายไม่ว่าตาย ก็จงทำนายจนกว่ามันจะตาย!”
มือของเสวียนเทียนชวนสั่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าละเลยจึงเริ่มทำนายในทันที
เมื่อเริ่มวางหมากรุกลงบนโต๊ะลายแทงก็ปรากฏขึ้น
เสวียนเทียนชวนจ้องมองไป ยังไม่ทันได้คิดว่าลายแทงนี้หมายความว่าอย่างไร ก็รู้สึกตาพร่ามัว แล้วก็สลบไป
เมื่อเห็นว่าแม้แต่เสวียนเทียนชวนยังทำนายจนเป็นเช่นนี้ กู่จินเจาก็ตกใจหรือว่าข้อมูลที่เพิ่งได้รับมานั้นเป็นความจริง
กู่จินเจาจึงโบกมือไปทางด้านหลัง เจิ้งชิงเทียนก็รีบเข้ามาใช้วิชาบางอย่าง ปลุกให้เสวียนเทียนชวนที่สลบไปฟื้นขึ้นมา
“รีบบอกมา ลายแทงที่เพิ่งทำนายไปนั้น หมายความว่าอย่างไร?”
กู่จินเจาถามอย่างร้อนรน
เสวียนเทียนชวนพยายามข่มความรู้สึกมึนงงเอาไว้ นึกย้อนถึงลายแทงที่เพิ่งเห็นไป
“ความหมายก็คือ…”
ยังพูดไม่ทันจบ เสวียนเทียนชวนก็รู้สึกหูอื้อตาลาย ทนไม่ไหวจะสลบไปอีกครั้ง
เจิ้งชิงเทียนที่รออยู่ข้าง ๆ ได้ใช้วิชาลับดึงตัวเขากลับมาจากการสลบ “วิชาลับนี้อยู่ได้ไม่นานนัก รีบพูดเร็ว!”
เสวียนเทียนชวนรีบเอ่ยปาก “ลายแทงนี้ประหลาดมาก มีร่องรอยของการบูชายัญเหมือนจะใช้สถานการณ์ที่คนหนึ่งถูกทำลายเพื่อส่งอีกหลายสิบคนไปยังขอบเขตที่แข็งแกร่งกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำนายยากยิ่งนัก ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เก้าส่วนต้องดูบุญวาสนา มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นฝีมือมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้อย่างสุดความสามารถแล้ว!”
พูดถึงตรงนี้ วิชาลับนั้นก็คงอยู่ไม่ไหว เสวียนเทียนชวนมีเลือดไหลออกมาจากทั้งเจ็ดช่องทวาร แล้วก็ตายไปในทันที
ฟังจากเสวียนเทียนชวนพูดมา กู่จินเจาก็ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน สายตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
จะใช้ความพินาศของคนคนหนึ่งส่งอีกหลายสิบคนไปยังโลกที่แข็งแกร่งกว่า
คนคนนี้เป็นใครกันแน่?
ทันใดนั้นเอง กู่อี้เจี้ยนก็รีบเดินเข้ามาในตำหนัก รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งนัก จึงถามขึ้น “ผลการทำนายเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู่จินเจาหันกลับมาตอนนี้เอง ไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “หมิงป๋อป๋อเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู่อี้เจี้ยนตอบว่า “นางตายแล้ว ถึงอย่างไรนางก็มีชีวิตอยู่นานมาก วิญญาณดำรงอยู่ในโลกนี้ ค่อย ๆ สลายไป การที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว เมื่อครู่ตื่นเต้นขนาดนั้น ยิ่งเร่งให้พินาศไปเร็วขึ้น”
คนที่ทั้งคู่พูดถึงนั้น ก็คือเมื่อนานมาแล้ว มีองครักษ์ของจักรพรรดิองค์หนึ่งของตระกูล วิชาที่องครักษ์ผู้นี้ฝึกฝนนั้นประหลาดมาก แม้ร่างกายจะดับสลายไป แต่วิญญาณกลับไม่ดับในชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นางจึงไม่ยอมไปหาร่างใหม่เพื่อเข้าสิง
หลังจากที่กู่จินเจาขึ้นครองราชย์ก็รู้ว่ามียายหม่งผู้นี้อยู่จึงไม่ได้คิดอะไรมาก สั่งให้คนจัดการให้นางอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวาย ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตนบ้างแล้ว เพื่อระลึกถึงการที่นางเคยปกป้ององค์จักรพรรดิจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง