ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 626 เยว่จู้สวามิภักดิ์
บทที่ 626 เยว่จู้สวามิภักดิ์
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ลู่เทียนเฉิงและฮ่วนเฉียนอี่ ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันทั้งสองสบตากัน สีหน้าแฝงไปด้วยความสับสน
เพียงความผิดปกตินิดเดียวก็ทำให้ลู่หยวนรู้สึกได้เขาจึงยิ้มกว้าง
หรือเรื่องนี้ยังมีอะไรซ่อนอยู่อีก?
ซือหม่าเชิ่นทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ลงเป็นคนแรก กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เทียนเฉิงเจ้าเก่งจริง ๆ มีหลานชายที่เก่งกาจเช่นนี้แต่กลับไม่เคยบอกพวกเราเลย ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลลู่จะพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะ”
ลู่เทียนเฉิงได้สติคืนมาจึงกล่าวต่อว่า “ตอนที่ข้ามาที่นี่เขายังไม่เกิด”
ฮ่วนซิงไป๋กลับไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเมื่อครู่ เพียงแต่มองเยว่จู้ที่ยังคงนั่งอยู่ในมุมมืด ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ได้ทำลายกำแพงนี้แล้ว คำพูดเมื่อครู่เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”
เยว่จู้ได้ยินดังนั้นก็เก็บความตกใจอันมหาศาลที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจของตนไว้แล้วลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปหาลู่หยวน ชักอาวุธขนาดยักษ์ลงไปวางบนพื้น จากนั้นคุกเข่าลง “ยอมเดิมพัน ยอมแพ้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าพูดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เยว่จู้คนนี้จะจงรักภักดีต่อเจ้าตลอดไป!”
แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่จะเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นออกไปแล้ว แต่เขาต้องยอมรับมัน!
หากไม่มีลู่หยวน วันนี้เขาคงตายอยู่ที่นี่แล้ว
“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่มีบัญชาใดก็สั่งมาได้เลย!”
เยว่จู้พูดเช่นนี้เท่ากับจะสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อ ลู่หยวนจนตาย
ฮ่วนซิงไป๋ยืนอยู่ข้าง ๆ เยาะเย้ยเบา ๆ ว่า “ยอมสยบต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ เจ้าจะได้ผลประโยชน์มากกว่า!”
หากลู่หยวนรับเยว่จู้ไว้ เยว่จู้ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว ถึงลู่หยวนจะเลี้ยงหมูไว้แต่ก็ฆ่าได้เช่นกัน
ลู่หยวนก้มลงมองเยว่จู้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างนิ่งเฉยราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลู่เทียนเฉิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นเยว่จู้เป็นเช่นนี้ แม้จะรู้ว่านี่คือการปฏิบัติตามคำสาบาน แต่หากลู่หยวนรับคนผู้นี้ไว้จริง ๆ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปชีวิตของเยว่จู้คงจะไม่ดีนัก
“หยวนเอ๋อร์”
จู่ ๆ ลู่เทียนเฉิงก็พูดขึ้นใช้คำที่แสดงความสนิทสนมราวกับต้องการกระชับความสัมพันธ์กับลู่หยวน
ลู่หยวนหันไปสีหน้าไร้อารมณ์ดวงตาไร้ความรู้สึก
ลู่เทียนเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากไปพักที่ฐานทัพกับอาหรือไม่?”
ทันทีที่เสียงพูดจบลง ลู่หยวนก็ได้ยินลู่เทียนเฉิง ใช้พลังบีบเสียงเป็นเส้นส่งสารมาว่า “หยวนเอ๋อ แม้ว่าเยว่จู้จะเป็นคนหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินเจ้า ลุงว่าคำสาบานนี้อาจไม่ต้องทำตามก็ได้ เมื่อกลับถึงฐานทัพแล้ว ลุงจะให้เขาขอโทษเจ้าจะดีหรือไม่?”
ลู่หยวนได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มแล้วก้มลงมองเยว่จู้ต่อไป
เห็นลู่หยวนเป็นเช่นนี้ ลู่เทียนเฉิงก็โล่งใจ จากนั้น ลู่หยวนก็น่าจะไม่ให้เยว่จู้ทำตามคำสาบาน
“ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นทาสของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่”
สีหน้าเคร่งขรึมของลู่เทียนเฉิงที่เพิ่งจะคลายลงเมื่อครู่ก็ค้างเติ่ง หันหน้าขึ้นมองลู่หยวนทันที “ลู่หยวน เจ้า…”
ลู่หยวนมองลู่เทียนเฉิงสีหน้าเย็นชา “อย่างไร ลุงเทียนเฉิง อยากจะจัดการหรือทาสของข้าหรือ?”
สิ้นเสียง คนทั้งสี่รวมถึงลู่เทียนเฉิงก็รู้สึกว่ามีความกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่
พวกเขาใช้พลังของตัวเองต่อต้านพลังของลู่หยวนในทันที
แรงกดดันนี้เกิดขึ้นชั่วครู่ เหนือหน้าผากของพวกเขามีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย เมื่อแรงกดดันหายไป พลังของตัวพวกเขาก็หายไปด้วย แต่ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี!
การกดขี่นี้…รุนแรงมาก!
เหนือกว่า…ที่ผ่านมาข่มขวัญผู้ทรงเกียรติ!
ลู่หยวนลงมือประทับตราลงในแผ่นป้ายมอบให้กับเยว่จู้
เยว่จู้เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือรอยตราประทับซึ่งมีพลังรุนแรงมาก เมื่อประทับตราลงไปแล้วชีวิตนี้เขาจะเป็นทาสของลู่หยวน!
แต่เยว่จู้ไม่ลังเล เดินไปข้างหน้าเอาหน้าผากแตะกับแผ่นป้ายในมือของลู่หยวน เห็นแสงวาบและผลึกก็หายไป แต่แทนที่ด้วยตัวอักขระประหลาดบนหน้าผากของเยว่จู้
ตัวอักขระประหลาด มีเสน่ห์ มีพลังมหาศาล
เยว่จู้รู้สึกแค่ว่าจิตใจลึก ๆ ของตัวเองไม่เพียงแต่มีพันธนาการที่จับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ยังมีพลังที่แผ่ซ่านออกมาอีกด้วย การบ่มเพาะของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่พลังกลับเพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ!
แม้แต่ดาบยักษ์ในมือก็ยังรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ของเยว่จู้เปล่งประกายวูบวาบราวกับกำลังโห่ร้องดีใจให้กับเยว่จู้!
ในดวงตาของเยว่จู้เผยให้เห็นแววตาที่เหลือเชื่ออย่างชัดเจน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ แม้จะมอบรอยตราประทับให้ แต่ก็มอบให้พลังกับเขาด้วย
พลังนี้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายราวกับว่ากำลังจะทะลวงขีดจำกัดที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามมาหลายสิบปี!
เยว่จู้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณ ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
ลู่หยวนหัวเราะเยาะ “ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าซื่อสัตย์กับข้า ในอนาคตเจ้าจะมีประโยชน์มากมาย”
ในใจของเยว่จู้เต็มไปด้วยความยินดี กำลังจะลุกขึ้น แต่ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาของลู่หยวนดังขึ้น “สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำนั้นมีไม่มาก ขอเพียงเจ้าทำได้ดี ข้าไม่เพียงทำให้การบ่มเพาะของเจ้าก้าวหน้า แต่ยังพาเจ้า ภรรยาของเจ้าและลูกที่ยังไม่เกิดของเจ้าออกไปจากที่นี่ กลับไปยังแผ่นดินหยวนหงเพื่อให้ครอบครัวของเจ้ามีความสุข”
เยว่จู้ได้ยินดังนั้น ก็มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ลู่หยวนจะให้เขาทำนั้นไม่ง่ายอย่างแน่นอนหรืออาจจะต้องแลกด้วยชีวิต!
เขาตอบกลับว่า “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่โปรดวางใจ ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถ ข้าไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว ขอเพียงว่าหากข้าตายไป ขอให้ท่านนำครอบครัวของข้าออกไป ไม่ขอความสุขเพียงแค่ขอความสงบสุข”
ลู่หยวนเหลือบมองเขาแล้วก็ยอมรับ “หากเจ้าตายเพราะภารกิจที่ข้าสั่ง เจ้าก็สามารถปกป้องครอบครัวของเจ้าได้”
“ขอบพระคุณท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
เยว่จู้ลุกขึ้นเดินออกไปสามก้าวก็ยืนอยู่ด้านหลังของลู่หยวนกำดาบยักษ์อยู่ในมือ ดวงตาเด็ดเดี่ยว ราวกับเป็นองครักษ์ของลู่หยวน
ฮ่วนซิงไป๋ที่อยู่ด้านข้างตบปากฉาด ถอยกลับไปหาเซียวเทียนกอดอกส่ายหัว “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่มีน้องชายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าน้องชายคนแรกคงไม่มีที่ยืนแล้ว”
เซียวเทียนก็เลียนแบบฮ่วนซิงไป๋ตบปากฉาด ส่ายหัว “ข้าน้องชายคนที่สองก็ไม่มีที่ยืนแล้ว”
กู้ชิงหรันยืนอยู่ข้าง ๆ สายตาจับจ้องไปยังลู่เทียนเฉิงและฮ่วนเฉียนอี่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเหตุใดในขณะที่เกราะป้องกันปรากฏขึ้น กู้ชิงหรันก็รู้สึกคุ้นเคยกับลมปราณของพวกเขา
แต่นางนึกไม่ออกได้ว่าเคยพบกับลมปราณเช่นนี้ที่ใด
กู้ชิงหรันส่ายหัวกดความคิดในใจลง พยายามความคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ก่อน
ลู่หยวนมองลู่เทียนเฉิง “ท่านลุง เข้าไปดูในถ้ำนั้นกับข้าหน่อยได้หรือไม่? พวกท่านเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ข้างในคงจะมีของดี ๆ ไม่น้อย!”
[1] สำนวน เปรียบเปยว่า คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้วก็ยากจะรับคืนเหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว