ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 66 สำนักอักขระสวรรค์
บทที่ 66 สำนักอักขระสวรรค์
บทที่ 66 สำนักอักขระสวรรค์
หลังไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ปรมาจารย์ไป๋จึงพยักหน้า
รักใคร่ชอบพอกัน… แบบนี้ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ?
หากไป๋ชิวเอ๋อร์สามารถทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์พึงพอใจได้ เช่นนั้นตระกูลลู่จะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อไป๋ชิวเอ๋อร์ ระดับการบ่มเพาะของนางย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!
ถึงแม้ลู่หยวนจะเจ้าเล่ห์เพทุบายไปบ้าง แต่เขาก็นับว่ามีพรสวรรค์ยิ่ง มีภูมิหลังตระกูลดี ไม่เพียงมีบิดาเป็นประมุขแห่งตระกูลลู่เท่านั้น มารดายังเป็นเจ้าสำนักอักขระสวรรค์อีกด้วย แผ่นดินหยวนหงราวกับสวนหลังบ้านให้ชายหนุ่มเดินเล่นก็ไม่ปาน!
บุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น หลังจากแต่งงานกับไป๋ชิวเอ๋อร์ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ต้องเรียกไป๋หลางซิงว่าท่านปรมาจารย์!
ยิ่งไป๋หลางซิงครุ่นคิดเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่ามากเท่านั้น มุมปากของเขาอดที่จะยิ้มกว้างไม่ได้ มีความสุขยิ่งกว่าใครอื่น
เมื่อผู้อาวุโสที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างกุมขมับคนแล้วคนเล่า
นี่ยังเป็นปรมาจารย์ผู้มั่นคงและเคร่งขรึมอยู่อีกหรือ?
ทว่า… ดูจากสีหน้าของไป๋หลางซิงแล้ว ทุกคนในตระกูลไป๋ต่างรู้ซึ้งไปถึงทรวง วันนี้ชื่อของไป๋ชิวเอ๋อร์จะต้องถูกเสนอให้เป็นผู้สืบทอดอย่างแน่นอน โดยพวกเขาไม่มีสิทธิ์คัดค้าน
ลู่หยวนมองไป๋หลางซิงจนหุบยิ้มไม่ได้ถึงหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดเขาก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เลิกยิ้มได้แล้ว! ตอนนี้ผู้สืบทอดแห่งตระกูลไป๋ได้รับการแต่งตั้งแล้ว รีบเตรียมประกาศให้ทุกกองกำลังทราบ แล้วกำหนดชื่อให้เสร็จสรรพ”
ไป๋หลางซิงกลับมามีสติ ก่อนพยักหน้ารับ จากนั้นหันหลังและเอามือไพล่หลัง กลิ่นอายน่าเกรงขามพวยพุ่งทันที
“ชิวเอ๋อร์ มานี่”
เสียงนั้นราวกับฟ้าร้อง ทำให้คนได้ยินต้องยืนขึ้นด้วยความยำเกรง สมาชิกตระกูลไป๋จำนวนมากทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงยืนขึ้นทันที สายตาจับจ้องไปยังต้นเสียง
ไป๋ชิวเอ๋อร์สูดหายใจเข้าก่อนขานรับ และเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมคุกเข่าลง “ไป๋ชิวเอ๋อร์คารวะท่านปรมาจารย์”
“ในฐานะที่ตาเฒ่าเช่นข้าเคยเป็นประมุขตระกูลไป๋มาก่อน ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดแห่งตระกูลไป๋ ข้าหวังว่าเจ้าจะอุทิศตนเองเพื่อการฝึกฝน อย่าลืมความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุด ทำการฟื้นฟูตระกูลไป๋ ส่งเสริมชื่อเสียงให้แก่ตระกูล!”
เมื่อกล่าวจบ ไป๋หลางซิงก็หยิบเหรียญตราออกมาแล้วส่งให้
ไป๋ชิวเอ๋อร์คุกเข่าขอบคุณ รับเหรียญตราไว้ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ชิวเอ๋อร์จะใช้ชีวิตตามความคาดหวังของท่านปรมาจารย์!”
ตระกูลไป๋ที่เหลือตะโกนว่า “คารวะท่านผู้สืบทอด”
จากนั้นไป๋หลางซิงจึงสั่งให้ทุกคนเตรียมพิธีแต่งตั้ง
หลังออกคำสั่งเสร็จ ไป๋หลางซิงหันมายิ้มแล้วถามว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์จะเข้าร่วมพิธีหรือไม่?”
ลู่หยวนส่ายหน้า “ข้ายังมีบางอย่างต้องทำ อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์จะไปแล้วหรือ ไม่อยู่ต่ออีกสองสามวันเพื่อพูดคุยกับไป๋ชิวเอ๋อร์หน่อยหรือ?”
คำพูดของปรมาจารย์ไป๋หลางซิงตรงไปตรงมา จนหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างหน้าแดงทันที
“ท่านปรมาจารย์ เลิกพูดได้แล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์กับข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น”
ไป๋หลางซิงทำหน้าเหมือนกับ ‘ข้าเข้าใจ’ ก่อนหัวเราะออกมา “อื้ม ๆ ตาเฒ่าเข้าใจ ตาเฒ่าเผลอพูดมากไปเสียแล้ว”
ลู่หยวนเกียจคร้านเกินกว่าจะสนทนากับเขา จึงกล่าวว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์จะพาไป๋ชิวเอ๋อร์ไปยังสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นน่าจะมีการฝึกพลังที่เหมาะสมกับนาง ช่วงนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์มีบางสิ่งที่ต้องทำ ดังนั้นชิวเอ๋อร์จะต้องไปรอข้าที่ตระกูลเฉิน”
แน่นอนว่าไป๋หลางซิงไม่ปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าหนุ่มสาวคล้ายกับมีบางสิ่งอยากจะพูดคุย เขาจึงพาทุกคนออกมา
ในห้องโถงหลักขนาดใหญ่ มีเพียงลู่หยวนกับไป๋ชิวเอ๋อร์เท่านั้น
“ขอบคุณคุณชาย”
ไป๋ชิวเอ๋อร์ทราบดี ถ้าไม่ใช่เพราะลู่หยวน นางคงไม่ได้รับตำแหน่งนี้มาครอง
“ยัยโง่เอ๊ย เจ้าไม่ต้องสุภาพหรอก”
ลู่หยวนยิ้ม จากนั้นส่งลูกไป๋เจ๋อให้นาง “ในอนาคต มันจะเป็นสัตว์วิญญาณของเจ้า”
ดวงตาของไป๋ชิวเอ๋อร์เบิกกว้าง จากนั้นกล่าวว่า “นายท่าน ท่านช่วยสัตว์เทพจากไป๋อู๋อี ดังนั้นมันควรเป็นของท่าน”
ลู่หยวนกล่าวตามตรงว่า “ไป๋เจ๋อตัวนี้ได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐาน ไม่สามารถรักษาได้ ถึงแม้มันจะเทียบกับสัตว์เทพตัวอื่นไม่ได้ แต่ก็ยังมีพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สามารถส่งเสริมเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ของเจ้าได้ เจ้าต้องเลี้ยงมันก่อน”
ไป๋ชิวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากล่าง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน คุณชายลู่ปฏิบัติกับนางดีเหลือเกิน
“ขอบคุณคุณชาย”
หลังจากลู่หยวนกล่าวเตือนสองสามคำ เขาก็มอบโอสถเสริมพลังอีกหลายสิบเม็ดให้ไป๋ชิวเอ๋อร์ จากนั้นจึงออกจากห้องโถงหลักไป
เฉิงเหิงกับเฉิงหลินยืนอยู่นอกห้องโถงหลัก พวกเขาสนทนาบางอย่างด้วยสีหน้าดูยินดียิ่งนัก
เมื่อทั้งสองเห็นลู่หยวนกำลังเดินมา พวกเขาพลันหุบปากฉับ ก่อนจะทักทายบุตรศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มถามว่า “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ดูรื่นรมย์ไม่น้อยเลย?”
ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นหนึ่งในพวกเขาตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่ากฎการเลือกผู้สืบทอดแห่งสำนักอักขระสวรรค์ถูกประกาศออกมาแล้ว พวกข้าสองคนได้รับเชิญเช่นกัน จะได้ไปสำนักเพื่อสังเกตการณ์พิธีได้”
“โอ้?”
ริมฝีปากของลู่หยวนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้ามีแผนจะไปสำนักอักขระสวรรค์อยู่แล้ว พวกเจ้าสองคนไปกับข้าได้”
ทั้งสองคนตกตะลึง “บุตรศักดิ์สิทธิ์จะไปทำอะไรหรือ?”
ร่องรอยความหงุดหงิดผุดขึ้นในใจของทั้งสอง หมายความว่าเจ้าเด็กนี่อยากแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งนายน้อยไม่ใช่หรือ?
ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักมอบยันต์วิญญาณด้วยตัวเอง แต่พวกมันถูกทิ้งไปหมดแล้ว
ตอนนี้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาหรืออย่างไร?
ดวงตาของลู่หยวนหลุบต่ำ “ข้าจะทำอะไร ต้องรายงานพวกเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
พวกเขาทั้งสองก้มศีรษะ “ข้าไม่บังอาจ เชิญบุตรศักดิ์สิทธิ์ตามสบายเถิด”
ลู่หยวนขอให้กุ่ยซู่อยู่ในสถานที่ที่เผ่าภูตผีสามารถใช้ชีวิตได้ จากนั้นพาเฉาหง เทียนเม่ยเอ๋อร์และข้ารับใช้คนอื่นออกเดินทาง
…
สำนักอักขระสวรรค์
ณ ยอดเขาซู่หยาง
ชายชราผู้หนึ่งท่วงท่าราวกับเซียนเหยียบย่างบนหมู่เมฆจากโลกภายนอก ไม่กี่อึดใจที่อยู่เหนือยอดเขา เมื่อเหยียบย่างลงบนพื้น เขาก็มองเห็นเส้นสีทองและสีแดงบนพื้นส่องสว่างทันที มันเป็นลาดลายไขว้กัน ทำให้ทั่วทั้งยอดเขาปิดกั้นแน่นหนา
อักขระแตกต่างกันจำนวนมากผุดขึ้นมา ค่ายกลนับพันรวมตัวขึ้นในทันที จิตสังหารนับไม่ถ้วนเข้าใกล้ชายชรา
ทันทีที่ชายชราเหยียบย่างบนพื้น แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์สีทองก็พวยพุ่งขึ้นมาปกป้องเขาเอาไว้
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้น ค่ายกลนับไม่ถ้วนยังคงโจมตีใส่เขา!
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ค่ายกลเหล่านี้ก็สลายไปอย่างสมบูรณ์
ชายชรามองโล่แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ใกล้จะพังทลายเต็มที ก่อนเผยรอยยิ้มด้วยความโล่งอก “ไม่เลว ๆ ผ่านมาเพียงครึ่งปีก็เกือบจะสามารถทะลวงโล่ของที่ปรึกษาได้”
บุรุษในชุดสีดำผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเดินมาแต่ไกล ก่อนจะคำนับให้อีกฝ่าย “หงเฟยคารวะผู้อาวุโส”
ชายชรายิ้ม กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก”
กู่หงเฟยยืนตัวตรง “ผู้อาวุโสจะมาสนทนาเรื่องเจ้าสำนักไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมาที่นี่ตอนนี้ล่ะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนฟังหายไป ก่อนพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “เฉิงเหิงส่งข้อความมา บอกว่าลู่หยวนจะมาเข้าร่วมการคัดเลือกผู้สืบทอดแห่งสำนักอักขระสวรรค์ เด็กคนนั้นไม่เคยเข้าสำนักอักขระสวรรค์ของข้าเสียด้วยซ้ำ เขาจึงไม่นับว่าเป็นศิษย์สำนัก ดังนั้นทำไมถึงมาเข้าร่วมการคัดเลือกด้วย!”
“อู่หมิงเสวี่ยปฏิเสธข้า! บอกว่าลู่หยวนเป็นศิษย์ของนางแล้ว ดังนั้นเขาย่อมเป็นสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์”
“เหอะ ลู่หยวนมาสำนักอักขระสวรรค์กี่ครั้งกัน? พิธีฝากตัวเป็นศิษย์ก็ไม่เข้าร่วม ดังนั้นเขาจะนับเป็นศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์ได้อย่างไร?”
“ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับนาง เพราะอย่างนั้นก็เลยออกมา คิดว่าจะไปเก็บตัวหลายเดือนเสียหน่อย แล้วค่อยมาดู”
กู่หงเฟยโน้มน้าว “ผู้อาวุโสอย่าเพิ่งโมโห ท่านคือผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักอักขระสวรรค์ ดังนั้นจะมาโมโหกับผู้น้อยไม่ได้”
หวังเหิงระงับความโกรธในใจเอาไว้ “ศิษย์เอ๋ย ถึงแม้ลู่หยวนจะมีพรสวรรค์ แต่พละกำลังก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้า หากเจ้าพบเขา อย่าไปสนใจความรู้สึกของอู่หมิงเสวี่ย แค่อัดเขาให้น่วมก็พอ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะปกป้องเจ้าในฐานะที่ปรึกษาเอง”
ศิษย์รักยิ้มแล้วตอบว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง ข้าจะต้องคว้าตำแหน่งผู้สืบทอดมาให้ได้อย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้น เจ้าควรอุทิศตัวเองกับการบ่มเพาะ ในฐานะที่ข้าเป็นที่ปรึกษา จึงยังมีบางสิ่งที่ต้องทำอยู่”
“ทราบแล้วขอรับ!”