ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 660 ตระกูลลู่ทะลวงขั้นพลัง
บทที่ 660 ตระกูลลู่ทะลวงขั้นพลัง
ลู่หยวนและคนอื่น ๆ ล้วนถูกวิถีสวรรค์กักขังไว้ในเมืองไร้ขอบ ลู่หยวนและอีกสองไม่ได้เร่งร้อน ต่างพากันหาที่นั่งขัดสมาธิรวบรวมพลังแห่งตนให้มั่นคง การศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้วอีกสามวันข้างหน้าคือวาระแห่งความเป็นความตาย แต่ในใจทั้งสามกลับสงบนิ่งดุจน้ำไร้ระลอก
ตอนนี้เมืองไร้ขอบมีลู่หยวนสถิตอยู่ราวกับกฎเกณฑ์ ชาวเมืองย่อมรู้ดีจึงไม่รบกวน ต่างพากันรออยู่ในบ้านเรือนของตน ดำรงชีวิตอย่างสงบสุข เหมือนกับทุกวัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกฎเกณฑ์แปรเปลี่ยนหรือไม่ เดิมทีชาวเมืองไร้ขอบไม่สามารถติดต่อกับแผ่นดินหยวนหงได้ แต่ตอนนี้กลับทำได้แล้ว!
ชาวเมืองบางคนนำยันต์สื่อสารอันที่นำติดตัวมาจากตระกูลออกมาเพื่อติดต่อกับครอบครัว
ส่วนลู่เทียนเฉิงและฮ่วนเฉียนอี่ เมื่อตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว ต่างก็พยายามติดต่อกับตระกูลของตนเช่นกัน
แม้ว่าพวกเขาจะจากบ้านมานานหลายปี บรรดาผู้คนที่เคยรู้จักคุ้นเคยต่างก็ล้มหายตายจากไป หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงไปจนจำพวกเขาไม่ได้แล้ว
แต่ในใจพวกเขารู้ดีว่าการติดต่อกันได้นั้นย่อมเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับกำลังเสริมจากโลกภายนอกและหาทางออกจากสถานที่แห่งนี้ได้!
ลู่หยวนและอีกสามคนย่อมรู้ดีว่า พลังที่กักขังเมืองไร้ขอบแห่งนี้มาจากวิถีสวรรค์ แต่เหล่ามนุษย์เหล่านั้นกลับไม่รู้เลย ไม่เช่นนั้นคงไม่ฝากความหวังไว้กับคนในแผ่นดินหยวนหงหรอก
ลู่เทียนเฉิงเองก็ไม่รู้เช่นกัน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจใช้ยันต์ที่ลู่เทียนเหอมอบให้เขาในตอนที่เขาจากตระกูลออกมา
ยันต์แผ่นนี้สามารถติดต่อลู่เทียนเหอได้โดยตรง
ย้อนกลับไปตอนที่ลู่เทียนเฉิงออกจากตระกูล ลู่เทียนเหอยังไม่ได้เป็นประมุขและก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนักในบรรดาศิษย์ตระกูลแต่ด้วยนิสัยที่รักอิสรเสรี ลู่เทียนเฉิงจึงค่อนข้างสนิทสนมกับเขาเลยได้รับยันต์แผ่นนี้มา
ฮ่วนเฉียนอี่ยืนอยู่ข้างกายลู่เทียนเฉิงมองดูเขาหยิบยันต์แผ่นนี้ออกมา
“เกาะสังหารเซียนนั้น ไม่ใช่ผู้ใดจะเข้ามาได้ง่าย ๆ พวกเขาย่อมรู้ถึงความแข็งแกร่งของลู่หยวนดี แม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเกาะสังหารเซียนแห่งนี้ พวกเขาก็อาจไม่มาช่วยได้”
ทุกคำพูดของฮ่วนเฉียนอี่เป็นความจริง
ด้วยความแข็งแกร่งเช่นลู่หยวนถึงจะประสบภัยในเกาะสังหารเซียน คนอื่นมาที่นี่ก็คงไร้ประโยชน์
ทว่าลู่เทียนเฉิงกลับส่ายหน้า “ข้ารู้ดีว่า หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งแล้ว ลู่หยวนนับว่าไร้ผู้เทียบในแผ่นดินหยวนหงแห่งนี้ ถ้าแม้แต่เขายังไม่อาจเอาชนะได้ แล้วผู้อื่นมาที่นี่จะมีประโยชน์อันใด? แต่… นี่เป็นเพียงความคิดของกลุ่มเดียวกัน หากท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าลูกของตนตกอยู่ในอันตราย แม้จะอยู่ห่างไกลกันแสนลี้ พวกท่านก็ต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง! แม้จะรู้ว่าการมาในครั้งนี้คือการมาตายก็ตาม!”
“ผู้อื่นคงไม่มา แต่ลู่เทียนเหอที่มีบุตรเพียงคนเดียว จะไม่มาได้อย่างไร?! ซึ่งถ้าเขามาก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่านี้และเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราด้วย”
ลู่เทียนเฉิงก้มมองดูฮ่วนเฉียนอี่ที่ถือยันต์สีเหลืองซีดแผ่นนั้นมานาน ยื่นมือออกไปกดลงบนยันต์ “ทางตระกูลฮ่วน หากเจ้าไม่อาจติดต่อฮ่วนซิงไป๋บุตรสายตรงได้ก็อย่าได้ติดต่อไปเลยไม่ว่าจะเป็นตระกูลใด สุดท้ายแล้วมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่ใส่ใจความเป็นไปของตระกูล”
กล่าวจบลู่เทียนเฉิงก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเกาะสังหารเซียนอย่างคร่าว ๆ แน่นอนว่ามีการปรุงแต่งเล็กน้อย กล่าวถึงสถานการณ์ของลู่หยวนในตอนนี้ว่าทั้งอันตรายและน่าตกใจ ชวนให้ผู้คนเป็นกังวล
ลู่เทียนเฉิงอ่านทวนสามสี่รอบจึงส่งยันต์ออกไป
ฮ่วนเฉียนอี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ร่วมกับลู่เทียนเฉิงพูดคุยถึงเรื่องราวที่นี่อย่างเกินจริงส่งกลับไปยังตระกูลฮ่วน ฮ่วนซิงไป๋ผู้นี้อย่างไรเสียก็เป็นถึงคุณชายของตระกูลฮ่วน ทางตระกูลฮ่วนย่อมต้องไตร่ตรองถึงความเป็นความตายของเขาอยู่แล้ว
เมื่อส่งยันต์ออกไปแล้ว ก็เหลือแค่รอเวลาไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้รับสารตอบกลับ หรือยันต์ที่ส่งออกไปนี้จะจมดิ่งลงสู่ก้นทะเล…
ทุกสิ่ง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ได้
ภายในเมืองไร้ขอบ ยังคงเหมือนเช่นทุกวัน ผู้คนใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็นมา ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แผ่นดินหยวนหง แดนเหนือ ตระกูลลู่!
หลังจากลู่ปู้ฝานและคนอื่น ๆ จากไป ตระกูลลู่ทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อาวุโส
ส่วนลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยยังคงปิดด่านฝึกฝนร่างกายไม่ออกมาข้างนอก
เสวียนเทียนชวนรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำจึงเรียกคนกลุ่มหนึ่งมาประจำการอยู่ด้านข้างคอยเฝ้าสังเกตการณ์อย่างลับ ๆ
แต่นี่คือตระกูลลู่เป็นตระกูลของลู่หยวน เสวียนเทียนชวนก็ไม่กล้าทำอะไรมาก คนที่ส่งมาก็อยู่แต่ภายนอกตระกูลลู่จึงไม่สามารถสืบหาอะไรได้
สถานที่กักขังแห่งนี้มีผู้คนจากตระกูลลู่คอยคุ้มกันอยู่ภายนอก พวกเขาทุกคนต่างก็ตื่นตัว คอยผลัดเปลี่ยนเวรยาม ไม่มีความเกียจคร้านแม้แต่น้อย!
ตูม! ตูม! ตูม!
เมื่อเวลาผ่านไป สถานที่กักขังที่อยู่ภายใต้ผนึกหลายชั้นก็ส่งเสียงดังออกมาเป็นระยะอย่างเช่นเคย
ทหารยามไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่ถอยห่างออกไปเล็กน้อยเผื่อว่าผนึกใดหลวมทำให้พลังของการบุกทะลวงพุ่งออกมาโดยตรงจนพวกเขาได้รับบาดเจ็บ!
ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ผนึกหลายชั้นนี้ ในถ้ำที่ใช้สำหรับการบุกทะลวง
ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยยืนหยัดอยู่ในอากาศ หันหน้าเข้าหากัน!
อู่หมิงเสวี่ยมือถือดาบไว้แน่นหนาดวงตาโกรธแค้นปราณทั่วร่างปะทุถึงขีดสุด!
“ลู่เทียนเหอ เจ้าอยากลองดีหรือ?! รีบปล่อยข้านี้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ข้าจะให้เจ้ารู้ว่าทำไมดอกไม้ถึงแดงเช่นนี้!” *[1]
ฝ่ายลู่เทียนเหอยืนอยู่ตรงข้ามมองอู่หมิงเสวี่ยถือดาบอยู่ในมือ ใจหนึ่งก็แอบรู้สึกผิดพลาดเสียแล้ว
อู่หมิงเสวี่ยเดิมทีเขาก็ใช้วิธีทำให้สลบนี่แหละ ถึงได้พาเข้ามาในผนึกแห่งนี้ได้ ก่อนหน้านี้ลู่เทียนเหอได้ปลดอาวุธของอู่หมิงเสวี่ยออกไปจนหมดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าปลดของอู่หมิงเสวี่ยเสร็จแล้วดาบของตนที่เก็บไว้ กลับกลายเป็นอาวุธของอู่หมิงเสวี่ยไปได้
อู่หมิงเสวี่ยมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว แม้แต่ลู่เทียนเหอก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง “แม่นางเสวี่ยมีอะไร พวกเรามาพูดกันดี ๆ อย่าใช้กำลังเลย ท่านวางดาบยาวในมือลงก่อน พวกเรามาคุยกันดี ๆ!”
“ข้าจะคุยกับเจ้าได้อย่างไร?!”
อู่หมิงเสวี่ยแทบจะกัดฟันพูดออกมา คำพูดเพิ่งจะจบลงก็เห็นอู่หมิงเสวี่ยสะบัดดาบยาวในมือขวาออก พลังกดข่มเหนือโลกหล้าพุ่งทะยานขึ้นเป็นชั้น ๆ ในมือซ้ายบังเกิดอักขระนับหมื่นออกมาในพริบตา!
ทั่วทั้งถ้ำถูกพลังขั้นสูงสุดของอู่หมิงเสวี่ยปกคลุมไว้ทั้งหมด ภายใต้แรงกดดันนี้แม้แต่ลู่เทียนเหอก็ยังรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ!
แสงเจิดจ้าสว่าง วิชาหลากหลายพุ่งตรงไปยังร่างของลู่เทียนเหอ!
ลู่เทียนเหอรู้สึกว่าไม่ดีแล้วจึงรีบยกโล่ป้องกันขึ้น ปกป้องตนเองเอาไว้!
เคร้ง!
พลังทั้งหมดของอู่หมิงเสวี่ยถูกระเบิดออกมาปะทะกับโล่ป้องกันของลู่เทียนเหอส่งเสียงคำรามกึกก้องดังสนั่นไปทั่วทั้งถ้ำและผนึกทั้งหมดต่างสั่นสะเทือนไปสามครั้ง
เหล่าองครักษที่อยู่ด้านนอกต่างกลืนน้ำลายอย่างลับ ๆ พลางคิดในใจว่า “ท่านประมุขกับท่านนายหญิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก การบุกทะลวงในครั้งนี้ คงเหมือนกับคุณชายแล้วกระมัง?!”
[1] เปรียบเปรย ดอกไม้เป็นผู้หญิง สีแดง อาจจะหมายถึงความโกรธเกรี้ยว