ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 676 การแบ่งปันบัลลังก์เทพ
บทที่ 676 การแบ่งปันบัลลังก์เทพ
เทพที่ลงมานั้นได้ยินคำพูดแล้วหันมามอง เห็นแววตาของลู่หยวนที่มองมานั้นเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร!
เจตนาสังหารนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย!
ราวกับว่าในไม่ช้าลู่หยวนจะพุ่งเข้ามาสังหารเขาทันที!
เขารู้สึกตัวในทันใดยืนตัวตรงขึ้นสายตาที่มองลู่หยวนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก!
วันนี้ไม่ว่าอย่างไรลู่หยวนก็ต้องถูกสังหาร เพียงแต่การต่อสู้ระหว่างลู่หยวนกับเทพเจี้ยนหยวนเมื่อครู่ได้เตือนเทพองค์อื่น ๆ ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เจตนาสังหารของเขานั้นหาได้ยากในโลก!
เทพทั้งหลายล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ พวกเขาล้วนมีพลังที่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์ได้ เมื่อเข้าสู่แวดวงของพวกเขา นอกจากระดับพลังที่สามารถตัดสินความแข็งแกร่งแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าในการตัดสินความเหนือกว่า!
นั่นก็คือพรสวรรค์!
แต่มันยังมีชื่อเรียกใหม่อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ วิถี!
ผู้ใดมีวิถีที่แข็งแกร่งกว่า ผู้นั้นย่อมมีโอกาสมากกว่า!
บ่อยครั้งที่วรยุทธ์และพลังก็ไม่อาจเทียบได้กับคำว่า ‘วิถี’ นี้!
การสร้างขอบเขตกระบี่ขึ้นมาเองและใช้มันเป็นกฎเกณฑ์ ผู้ที่เข้าสู่เข้าถึงขอบเขตกระบี่นี้จะใช้ได้เพียงวิชากระบี่เท่านั้น อีกทั้งต้องแปรกายเป็นกระบี่เพื่อมุ่งหวังให้ตนเองเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้กฎเกณฑ์นี้ นี่คือวิถีของเทพเจี้ยนหยวน!
ส่วนลู่หยวนเพิ่งก้าวเข้าสู่แถวหน้าของเหล่าเทพ การใช้พลังเทพและวรยุทธ์ของเขาย่อมด้อยกว่าเทพเจี้ยนหยวนอย่างมาก แต่การพลิกกลับในการโจมตีครั้งสุดท้ายนั้น แสดงให้เห็นว่าวิถีของลู่หยวนนั้นเหนือกว่าเทพเจี้ยนหยวนโดยสิ้นเชิง!
ความเข้าใจในวิถีเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เหล่าเทพที่อยู่ในที่นี้ต่างมองเห็นแต่ไม่อาจเอื้อมถึง
หากเจ้าหนุ่มผู้นี้ปลอดภัย ไม่นานเขาอาจจะพุ่งทะยานเข้าสู่ธรรมเนียบเทพ บางทีในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้าตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเทพอาจจะเกิดขึ้นจากตัวเขาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามเหล่าเทพที่อยู่ในที่นี้วันนี้จะไม่ปล่อยให้เจ้าหนุ่มนี้อยู่อย่างสงบสุขแน่!
หากเป็นการขึ้นสู่บัลลังก์เทพตามปกติ โลกแห่งเทพนี้ย่อมมีที่ยืนสำหรับเจ้าหนุ่มผู้นี้!
แต่นี่มันก็เป็นเพียงการสับเปลี่ยนบัลลังก์เทพเท่านั้น อดีตเทพล่มสลาย เทพใหม่ขึ้นมาแทนที่ถือเป็นเรื่องปกติ
แม้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะขึ้นสู่บังลังก์เทพแห่งการสังหาร ซึ่งมีนิสัยโหดเหี้ยมอยู่แล้วก็ตาม พวกเขาอย่างมากก็แค่ไม่คบหาสมาคมกับเจ้าหนุ่มผู้นี้มากนัก ต่างคนต่างฝึกฝนกันไป ก็ไม่ถึงกับต้องบีบให้ฆ่าถึงเพียงนี้!
ทว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นเทพแห่งการสังหารที่บรรลุและสร้างบัลลังก์เทพขึ้นมาเอง!
นี่แสดงให้เห็นว่า นอกจากลู่หยวนจะเพิ่มพลังด้วยการฝึกฝนและบรรลุเหมือนเทพองค์อื่น ๆ แล้ว เขายังมีวิธีที่สุดโต่งอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือการสังหารเทพอย่างต่อเนื่อง!
เพียงแค่ลู่หยวนสังหารเทพ ไม่ว่าเทพนั้นจะครองบัลลังก์เทพในอึดใจสุดท้ายก่อนตายหรือจะถูกบัลลังก์เทพทอดทิ้งก่อนตายเหมือนเทพเจี้ยนหยวน ก็จะช่วยเพิ่มพลังให้ลู่หยวนโดยตรงเพียงแต่ระดับการเพิ่มพลังจะแตกต่างกันเท่านั้น
ในขณะที่เทพองค์อื่น ๆ ที่ขึ้นครองบัลลังก์ตามปกติ เมื่อสังหารเทพด้วยกันก็ไม่สามารถเพิ่มพลังได้!
ด้วยเหตุนี้การร่วมมือกันสังหารผู้ที่บรรลุด้วยการฆ่าเทพจึงเป็นเรื่องที่ทั้งสวรรค์ยอมรับโดยปริยาย!
เมื่อลู่หยวนสังหารเทพเจี้ยนหยวนต่อหน้าเทพมากมาย และพลังของเขาพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน มันก็ถือเป็นการประกาศสงครามสำหรับเหล่าเทพทั้งหลาย!
หากปล่อยให้เจ้าหนุ่มผู้นี้ลอยนวล เกรงว่าทั้งสวรรค์จะต้องเผชิญกับภัยพิบัติแห่งการสังหาร และพวกเขาก็อาจไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้
เหล่าเทพต่างเห็นพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบนร่างของลู่หยวนหยุดลงชั่วขณะ ก็รู้ว่านี่เป็นเพราะพลังช่วยเหลือจากเทพเจี้ยนหยวนที่มีต่อเจ้าหนุ่มผู้นี้หมดลงแล้ว
เทพองค์นั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังขอบฟ้าเบื้องบน ไปยังร่างเลือนรางหลายร่างที่อยู่หลังกลุ่มเมฆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านทั้งหลาย พวกเราสูญเสียเทพเจี้ยนหยวนไปแล้ว พวกท่านยังจะคอยดูอยู่เฉย ๆ อีกหรือ?! หากวันนี้เจ้าหนุ่มผู้นี้สามารถเอาชนะพวกเราทีละคน สวรรค์จะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่!”
เพียงแค่คำพูดนี้เอ่ยออกมา บนกลุ่มเมฆร่างหลายร่างก็ร่อนลงมายืนเรียงรายอยู่ตรงข้ามกับลู่หยวน!
ตรงหน้าลู่หยวนคือเทพร่างกายใหญ่โต สูงถึงเจ็ดจั้งท่อนบนเปลือยเปล่า ไหล่กว้างเอวหนา สวมลูกประคำรอบคอ ดูคล้ายนักพรต มีอักขระยันต์มากมายที่ลู่หยวนอ่านไม่ออกสลักอยู่บนร่างกาย!
เทพเจ้านี้มีนามว่า เหว่ยซื่อจั้ง!
เทพที่เหลืออีกหลายองค์ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาด้านหลังของเทพเหว่ยซื่อจั้งและองค์สุดท้ายคือเทพเจิ้นเทียนเสินผู้ถือหอคอยแก้ว!
ลู่หยวนกวาดตามองและจ้องตรงไปที่เทพเจิ้นเทียนเสิน!
เทพองค์อื่น ๆ ต่างสังเกตเห็นสายตาที่ไม่ปิดบังของลู่หยวน เทพองค์แรกที่ลงมาหัวเราะเบา ๆ “เจ้าหนุ่มนี่กล้าจริง ๆ เขาหมายความว่าจะต่อสู้กับเทพเจิ้นเทียนเสินหรือ?”
เทพเหว่ยซื่อจั้งประนมมือกล่าวว่า “อมิตาพุทธ” บัลลังก์เทพปรากฏขึ้นด้านหลังท่าน ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่ออกมาจากร่างของเขาสว่างไสวไปทั่วโลก!
“เขายังไม่แน่ว่าจะผ่านข้าไปได้ แล้วจะพูดถึงการต่อสู้กับเทพเจิ้นเทียนเสินได้อย่างไร?”
ลู่หยวนทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา แต่คิดสักครู่แล้วเรียกหอคอยอสูรสวรรค์ที่ไม่ได้นำออกมานานแล้วออกมา
หอคอยเล็กอยู่ในจิตเทวะของลู่หยวนมานาน ไม่ได้ออกมานาน ในที่สุดก็ได้ลงมาสู่โลกนี้อีกครั้ง หอคอยขนาดเล็กสั่นร่างกาย ยังคงหายใจเข้าออกด้วยพลังอย่างต่อเนื่อง!
เหล่าเทพเจ้าเห็นดังนั้นก็ตะลึง ลู่หยวนหมายความว่าอย่างไร จะใช้สิ่งนี้ต่อสู้กับพวกเขาหรือ?
หอคอยอสูรสวรรค์นี้ หากวางไว้บนแผ่นดินหยวนหง ย่อมเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันสูงส่ง แต่หากนำไปยังแดนเซียน ก็ไม่อาจนับว่าเป็นสิ่งใดได้ ทว่าในตอนนี้ เมื่อนำมันออกมาต่อหน้าเหล่าเทพเจ้ากล่าวตามตรงแล้วก็เปรียบดั่งการโยนก้อนโคลนใส่คู่ต่อสู้ในยามที่กำลังยิงปืนกัน อีกทั้งยังเป็นโคลนที่เพิ่งผสมกับปัสสาวะสด ๆ อีกด้วย
มันไม่มีพลังโจมตีใด ๆ แต่กลับสร้างความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง
ลู่หยวนไม่สนใจสายตาของเหล่าเทพเจ้าเหล่านั้น เพียงแต่ผงกศีรษะไปทางที่องค์เทพเจิ้นเทียนเสินยืนอยู่แล้วกล่าวกับหอคอยอสูรสวรรค์ว่า “เอานางมาเป็นภรรยาเจ้าดีหรือไม่?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทั่วทั้งพื้นที่ก็พลันเงียบกริบลง แม้แต่พลังเผ่ามารที่เคยคุกรุ่นในหอคอยอสูรสวรรค์ก็หยุดนิ่ง
หลังจากผ่านไปชั่วลมหายใจ หอคอยอสูรสวรรค์ก็พ่นพลังออกมาจากนั้นก็โค้งตัวลงนี่คือการพยักหน้ารับ
ลู่หยวนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ดี ข้าจะไปแย่งนางมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้ แต่ว่านางมีวรยุทธ์แก่กล้ากว่าเจ้ามากนัก เจ้าต้องเพิ่มพูนวรยุทธ์ของตน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะควบคุมนางไม่ได้ในภายภาคหน้า”
เมื่อกล่าวจบ บัลลังก์เทพเบื้องหลังลู่หยวนก็เปล่งประกายวาบ แสงสีเลือดพลันห่อหุ้มนิ้วมือของลู่หยวนทันที
ลู่หยวนชี้นิ้วทั้งสองไปที่หอคอยอสูรสวรรค์ ในทันใดนั้นพลังจากบัลลังก์เทพก็ถ่ายทอดไปยังหอคอยอสูรสวรรค์อย่างรวดเร็ว!
ฟึ่บ!
ในทันใดนั้นร่างของหอคอยอสูรสวรรค์ก็ส่งเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทั่วทั้งฟ้าดินต่างมืดมิดลงในยามนี้!
ลำแสงสีเลือดสาดส่องลงมาจากเบื้องบนของหอคอยอสูรสวรรค์อย่างไม่หยุดหย่อน ภายใต้การชำระล้างเช่นนี้ รูปลักษณ์ดั้งเดิมของหอคอยก็ถูกทำลายลง
ที่เคยเปล่งเสียงร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นการสั่นสะท้านอย่างไร้ระเบียบราวกับกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดบางอย่าง
เพียงชั่วลมหายใจเดียว หอคอยอสูรสวรรค์นั้นก็ดูราวกับถูกกัดกร่อน เผยให้เห็นผิวที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ส่วนลมหายใจของเผ่ามารที่เคยพุ่งทะยานก็กลายเป็นสีแดงเข้มดูน่าพิศวงอย่างยิ่ง
หอคอยอสูรสวรรค์สั่นสะท้านทั้งร่าง ทันใดนั้นเบื้องหลังของมันก็ปรากฏบัลลังก์เทพที่เหมือนกับของลู่หยวนทุกประการ เพียงแต่มีขนาดเล็กลงมาก!
นี่คือการแบ่งปันบัลลังก์เทพกับหอคอยอสูรสวรรค์อย่างแท้จริง!