ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 72 ฉินอี่หานเข้าร่วมการต่อสู้
บทที่ 72 ฉินอี่หานเข้าร่วมการต่อสู้
บทที่ 72 ฉินอี่หานเข้าร่วมการต่อสู้
“โฮ่… มาที่นี่เพื่อช่วยเขาอย่างนั้นหรือ?”
เสียงของลู่หยวนดังขึ้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่นั่น “เหอะ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบวัน ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม พวกเขามีแต่จะถูกข้าอัดจนหมอบติดพื้นเท่านั้น!”
อารมณ์ของผู้คนด้านล่างเปลี่ยนไปฉับพลัน
“เหอะ ความอวดดีของลู่หยวนคนนี้อยู่ได้ไม่นานหรอก ศิษย์พี่ฉินอยู่ที่นี่แล้ว นางย่อมสามารถจัดการเขาได้!”
“ถึงแม้เส้นชีพจรวิญญาณโดยกำเนิดของศิษย์พี่ฉินจะได้รับความเสียหาย แต่นางยังมีเจตจำนงกระบี่โดยกำเนิด เมื่อห้าปีก่อน ศิษย์พี่ฉินตระหนักได้ถึงเจตจำนงกระบี่ แม้กระทั่งเจ้าสำนักกระบี่อันดับหนึ่งในหุบเขาบูรพายังชื่นชมยิ่งนัก ตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว เจตจำนงกระบี่ของศิษย์พี่อาจจะพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้นแล้ว”
“ลู่หยวนเหิมเกริมได้ไม่นานหรอก!”
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน ฉินอี่หานเพียงยื่นมือออกไป กระบี่ไม้พลันสั่นไหวก่อนจะกลับมาอยู่ในมือของนาง
“ข้าก่อความผิดร้ายแรง ไม่ควรเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้!”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากหญิงสาว ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ห้าปีก่อน ลู่หยวนกับฉินอี่หานลักลอบเข้าโถงลับของสำนักอักขระสวรรค์ด้วยกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทั้งสองไปกระตุ้นค่ายกลสังหาร ท้ายที่สุดฉินอี่หานต้องทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของตนเองแลกกับพลังมหาศาล เพื่อทำลายค่ายกลสังหารดังกล่าว
ทว่าค่ายกลล้ำค่าในโถงลับถูกทำลายตอนที่ค่ายกลสังหารทำงาน ทำให้ผู้อาวุโสจำนวนมากเดือดดาล จนมาเอาความกับทั้งสอง
แต่ลู่หยวนคือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่… ใครเล่าจะกล้าแตะต้องเขา?
เกรงว่าหากพวกเขาตัดสินโทษในตอนเช้า ตกบ่ายลู่เทียนเหอจะบุกมาสังหารเข้า
ท้ายที่สุด ความผิดทั้งหมดถูกโยนให้กับฉินอี่หานเพียงลำพัง อู่หมิงเสวี่ยรู้สึกละอายใจต่อนางยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด นอกจากให้นางไปอาศัยอยู่ที่ยอดเขาบาปสวรรค์อย่างไม่มีกำหนด
ไม่มีใครในสำนักอักขระสวรรค์เชื่อว่าศิษย์พี่ฉินเป็นต้นเหตุของการเปิดใช้ค่ายกลสังหาร แต่พวกเขาต้องยอมรับความจริงว่านางถูกขังอยู่ในยอดเขาบาปสวรรค์
“ถ้าไม่ใช่เพราะลู่หยวนละก็…”
ท่ามกลางฝูงชนเงียบสงัด มีคนก่นด่าเสียงต่ำ
พวกเขาที่เหลือรวมตัวกันก่นด่าเช่นกัน ดวงตาของกู่หงเฟยหมองหม่น ยกมือไปทางแท่นสูงเพื่อทำการคารวะทันที พลางกล่าวเสียงดังว่า “หงเฟยขอให้ท่านประมุขอนุญาตให้ฉินอี่หานเข้าร่วมการประลองด้วย”
“เดิมตำแหน่งของผู้สืบทอดอนุญาตให้ทุกคนในสำนักอักขระสวรรค์เข้าร่วมได้ ศิษย์พี่ฉินเองก็เป็นศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์เช่นกัน นางมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประลอง!”
ผู้อาวุโสบนแท่นสูงชำเลืองมองอู่หมิงเสวี่ย เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยน พวกเขาจึงกล่าวเห็นพ้องว่า “สิ่งที่กู่หงเฟยพูดมามีเหตุผล ให้ฉินอี่หานเข้าร่วมการประลองด้วยย่อมเหมาะสม”
ผู้อาวุโสอีกคนสนับสนุน “ใช่แล้ว ๆ ฉินอี่หานเป็นสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์เช่นกัน!”
อู่หมิงเสวี่ยได้ยินแล้วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นหันสายตาไปมองหวังเหิง “ผู้อาวุโสใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไร?”
ผู้ถูกถามชั่งน้ำหนักดู ตอบว่า “ฉินอี่หานคือสมาชิกของสำนักอักขระสวรรค์จริง”
“แต่ว่า… ถึงอย่างไรนางก็มีความผิด! เรื่องนี้…”
อู่หมิงเสวี่ยกล่าวว่า “ผู้อาวุโสใหญ่พูดมาได้เลย”
หวังเหิงกล่าวต่อ “ชายชราคิดว่า เป็นการดีกว่าที่จะประนีประนอม เพื่อให้ฉินอี่หานเข้าร่วมการต่อสู้ หากฉินอี่หานชนะ นางก็จะพ้นผิด สามารถใช้ทรัพยากร และทำการฝึกฝนเหมือนกับศิษย์คนอื่นต่อไปได้”
เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นได้ยินดังนี้ พวกเขาต่างลอบก่นด่าสุนัขเฒ่า!
ความคิดอันปราดเปรื่องของหวังเหิงช่างร้ายกาจนัก
ตอนนี้คล้ายกับมีสามคนอยู่ในลานประลอง แต่ความจริงมีเพียงลู่หยวนกับฉินอี่หานที่แข่งขันช่วงชิง
ชัยชนะของฉินอี่หานไม่ได้ทำให้เป็นผู้สืบทอด แต่ทำให้พ้นผิด
เช่นนั้นใครล่ะจะเป็นผู้สืบทอด?
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลู่หยวนที่แพ้ ไม่ใช่ฉินอี่หานที่ชนะ แต่เป็นศิษย์เอกของตนนามว่ากู่หงเฟยต่างหาก!
สายตาของผู้อาวุโสล้วนจับจ้องมายังใบหน้าของอู่หมิงเสวี่ย การที่หวังเหิงกล่าวเช่นนี้ อาจจะทำให้ท่านเจ้าสำนักเดือดดาลก็เป็นได้
อู่หมิงเสวี่ยส่ายหน้า “คำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ไม่เหมาะสมนัก พวกเขาสามคนแข่งขันกัน จะต้องมีอันดับหนึ่งสองและสาม หากฉินอี่หานอยู่ในสองอันดับแรก ก็ให้พ้นโทษเช่นกัน หากได้อันดับหนึ่ง เราจะพิจารณากันอีกครั้ง”
หวังเหิงครุ่นคิดสักพัก รู้สึกว่าไม่เลว
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่หยวน ฉินอี่หานคงไม่ต้องทนทุกข์ในยอดเขาบาปสวรรค์ ในใจของนางอาจจะเกลียดชังชายหนุ่มมากก็เป็นได้
หลังจากเข้าร่วมการต่อสู้ นางจะต้องหมายหัวลู่หยวน ทันทีที่บุตรศักดิ์สิทธิ์แพ้ ตำแหน่งผู้สืบทอดจะตกเป็นของกู่หงเฟย
หวังเหิงกล่าวว่า “ให้เจ้าสำนักเป็นผู้ตัดสินใจ”
อู่หมิงเสวี่ยชำเลืองมองคนอื่น “ผู้อาวุโสที่เหลือคิดเห็นอย่างไร?”
“พวกข้าน้อมตามเจตจำนงของท่านเจ้าสำนัก”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน อู่หมิงเสวี่ยกล่าวกับผู้ชมว่า “ฉินอี่หาน ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ได้!”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงยกมือขึ้นแล้วทำความเคารพ “ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส”
หลังจากนั้น เท้าของนางจรดลงสู่ลานประลอง เมื่อฉินอี่หานลงถึงพื้น นางกับลู่หยวนต่างมองหน้ากัน เรียวปากทั้งสองเผยเส้นโค้งออกมา ราวกับเห็นพ้องต้องกันบางอย่าง
เมื่อกู่หงเฟยเห็นว่าฉินอี่หานกำลังเข้าสู่ลานประลอง เขาก็ระบายยิ้มทันที “ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ศิษย์น้องจะพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยให้ศิษย์พี่พ้นผิดเอง!”
ฉินอี่หานยกมุมปากแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นศิษย์น้องก็พยายามเข้าล่ะ”
“ไม่นักหนาหรอก”
กู่หงเฟยมองหญิงสาวแล้วยิ้มออกมา เขาจินตนาการถึงการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง ก่อนอดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้ “ขอเพียงศิษย์พี่…”
ก่อนจะทันได้พูดจบ ฉินอี่หานก็พุ่งเข้ามาหาในพริบตา และเตะเขาออกไป พลังนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาในทันที!
เปรี้ยง!!
ศิษย์ที่อยู่ใต้ลานประลองเห็นเพียงร่างที่เหมือนกับว่าวไร้สายพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง จากนั้นกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง!
ร่างนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นกู่หงเฟยนั่นเอง
ทุกคนตกตะลึง…
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ถูกศิษย์พี่ฉินเตะออกมางั้นหรือ?
หวังเหิงพลันลุกขึ้นเช่นกัน ความโกรธพุ่งพล่านขึ้นในทันที “ฉินอี่หาน เจ้าทำอะไรน่ะ?!”
นางตอบอย่างแผ่วเบาว่า “นี่คือการต่อสู้บนลานประลอง จะให้ข้าทำอย่างไรหรือ?”
หวังเหิงเดือดดาลจนใบหน้ามืดครึ้ม “เจ้า… เจ้า!”
แม้แต่ลู่หยวนก็อดหัวเราะไม่ได้ “ศิษย์พี่ฉินไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!”
เจ้าของร่างคนเดิมนับว่าคุ้นเคยกับศิษย์พี่เป็นอย่างยิ่ง แถมรู้อีกว่าฉินอี่หานไม่ใช่คนอย่างที่ศิษย์สำนักส่วนใหญ่คิด
ภายนอกนางเหมือนกับศิษย์พี่แสนดีก็จริง …แต่ลับหลังกลับร้ายกาจยิ่งนัก
หวังเหิงโกรธจนกลิ่นอายทั่วร่างพุ่งทะยาน จิตสังหารรวมตัวในทันที หมายจะพุ่งเข้าหานาง “ข้าจะฆ่านางสารเลวเช่นเจ้า!”
อู่หมิงเสวี่ยขยับปลายนิ้ว ค่ายกลพลันปรากฏขึ้นในอากาศ ตรึงผู้อาวุโสหวังเอาไว้กับที่
“ผู้อาวุโส คนที่ตั้งกฎขึ้นมาก็คือท่าน ตอนนี้อยากกลับคำอย่างนั้นหรือ?”
หวังเหิงไม่สามารถขยับซ้ายขวา ทำได้เพียงชำเลืองมองอู่หมิงเสวี่ย เขากัดฟันแล้วกล่าวว่า “มันต้องเป็นฝีมือของท่านแน่ ๆ! ท่านเป็นเจ้าสำนักอักขระสวรรค์ ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่แล้ว! ท่านเปลี่ยนจากดำเป็นขาว ไม่ยุติธรรม!”
ดวงตาของคนฟังมืดหม่น นางสะบัดฝ่ามือ ฟาดชายชราลงกับพื้น!
น้ำเสียงเย็นชาดังมาจากปากของอู่หมิงเสวี่ย “หวังเหิง ในใจของเจ้าคงคิดแค่ว่า กู่หงเฟยต้องได้ครองตำแหน่งนายน้อยเท่านั้น แบบนี้ถือว่าไร้ความยุติธรรมหรือไม่?”
“พวกเขาสามคนกำลังยืนอยู่บนลานประลอง พยายามต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ หากเป็นลู่หยวนถูกเตะออกจากลานประลองคงไม่ว่าอะไร แต่พอเป็นกู่หงเฟยแล้วกลับมีปัญหาอย่างนั้นหรือ?!”