ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 80 ผู้อาวุโสต้องพยายามหน่อยนะ (ต้น)
บทที่ 80 ผู้อาวุโสต้องพยายามหน่อยนะ (ต้น)
บทที่ 80 ผู้อาวุโสต้องพยายามหน่อยนะ (ต้น)
สายตามืดมนของหวังเหิงจับจ้องไปยังนายน้อย “ฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?! เจ้าเป็นคนสั่งให้ซ่อนยันต์ไว้ใช่หรือไม่?!”
ทันใดนั้นก็มีชายร่างกำยำเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มผู้อาวุโส “นายน้อยกับผู้อาวุโสใหญ่ค่อยพูดค่อยจากัน ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันตรงนี้”
“เหลยโม่ ไม่ต้องมาทำเป็นคนดี!”
โทสะของหวังเหิงไม่ได้ดับลง “ข้าขอพูดที่นี่และตอนนี้เลยว่า ลู่หยวนคนนี้ลักพาตัวศิษย์ของข้า!”
แม้ชายชราจะเดือดดาล แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังนิ่งเฉยเหมือนกับทวยเทพชรา “ไม่สามารถเอายันต์ลงทะเบียนมาให้ดูได้แท้ ๆ แล้วทำไมถึงบอกว่าเป็นศิษย์ของท่านกันล่ะ?”
หวังเหิงมองเด็กชาย กล่าวว่า “บอกเขาไปสิว่าข้าคืออาจารย์ของเจ้า เจ้าเข้าพิธีรับศิษย์แล้วนี่!”
ไจ่หลิงคล้ายกับหวาดกลัวผู้อาวุโสใหญ่ จึงก้าวถอยหลังไป สายตาเต็มไปด้วยความสับสนและวิตก
ลู่หยวนดึงเขากลับมาหา พลางปลอบด้วยถ้อยคำอ่อนโยนว่า “ศิษย์ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะปกป้องในฐานะอาจารย์เอง”
“หวังเหิง ท่านไม่สามารถนำยันต์ลงทะเบียนมาให้ได้ แต่ข้าสามารถทำได้”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มก็หยิบยันต์ออกมา ส่งให้ผู้อาวุโสรอบข้าง “ทุกท่านจงเป็นพยาน ดูสิว่าชื่อของใครถูกบันทึกไว้ใต้นามไจ่หลิง!”
หลายคนมองดู พบว่าเด็กชายถูกบันทึกไว้บนยันต์ของสำนักทะเบียนในฐานะศิษย์ของลู่หยวนจริง
ยันต์ถูกส่งต่อจนมาถึงหวังเหิง ดวงตาของชายชราเบิกกว้าง เขามองดูหลายครั้ง ยันต์ที่สำนักทะเบียนเป็นของพิเศษ ไม่สามารถปลอมแปลงได้
“เป็นไปไม่ได้!”
“ยันต์รับศิษย์ของข้าหายไป แต่เจ้ากลับมียันต์รับศิษย์ ข้ารู้แล้ว! ลู่หยวน เจ้าต้องเป็นคนเปลี่ยนมันแน่ ๆ!”
มีรอยยิ้มในแววตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์ เขากล่าวเตือนว่า “หวังเหิง สำนักทะเบียนแห่งนี้รับผิดชอบโดยคณะของท่าน ท่านคิดว่าใครเป็นคนเปลี่ยนมันล่ะ?”
ใบหน้าของหวังเหิงพลันแข็งทื่อ เขาหันศีรษะไปมอง เห็นเพียงแค่สีหน้าของผู้อาวุโสจำนวนมากในคณะดูน่าเกลียดขึ้นมา
ลู่หยวนมองคณะผู้อาวุโสจำนวนมากแล้วกล่าวว่า “คณะผู้อาวุโสหลายคนเพิ่งมาถึงนี่เอง หวังเหิง ไปยืนยันกับพวกเขาดูสิ ขอเพียงท่านบอกมาว่าเป็นใคร ข้าผู้นี้จะขอให้คนช่วยทำการตรวจสอบทันที”
ตอนนี้เองที่หวังเหิงตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นโง่เขลาแค่ไหน
หากชี้นิ้วใส่ใครสักคนตอนนี้ เท่ากับว่าผู้สนับสนุนเขาจะย้ายไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามทันที
หนึ่งในคณะผู้อาวุโสก้าวมาข้างหน้า กล่าวอย่างเย็นชาว่า “นายน้อยผู้ชาญฉลาด พวกข้าไม่ได้ติดต่อกับสำนักทะเบียน หากนายน้อยไม่เชื่อก็สามารถตรวจสอบได้”
ลู่หยวนกางมือราวกับเป็นผู้ใสซื่อ “คนที่ไม่เชื่อ… ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย”
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่หวังเหิงอีกครั้ง
คณะผู้อาวุโสกล่าวว่า “หากผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกว่าพวกข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสำนักทะเบียน พวกข้าสามารถแสดงหลักฐานให้ดูได้”
เหงื่อเย็นไหลออกจากหน้าผากของหวังเหิง พูดอะไรไปตอนนี้ก็มีแต่เปล่าประโยชน์!
ตอนไปสำนักทะเบียนในวันนั้น เขาวิตกมากเกินไป จนเขียนยันต์ลงทะเบียนด้วยตัวเอง ไม่มีใครเป็นสักขีพยานสักคน!
แสดงว่าลู่หยวนต้องเป็นคนทำ แต่เขาไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียว!
คณะผู้อาวุโสพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา “ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่ไม่สามารถหาหลักฐานมาได้ ข้าก็ไม่อาจสนับสนุนท่านได้ นายน้อยได้มอบหมายหลายสิ่งที่ยังไม่มีใครจัดการให้ ดังนั้นข้าขอตัวก่อน”
คณะผู้อาวุโสจำนวนมากเดินจากไป หวังเหิงรู้ทันทีว่ามีรอยแยกระหว่างคนเหล่านี้กับเขาแล้ว
เขาทั้งวิตกและเดือดดาล แต่ยังคงไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าลู่หยวนอยู่เบื้องหลัง
ทางกู่หงเฟยผู้มีรอยบวมช้ำไปครึ่งหนึ่งของใบหน้า เขายืนอยู่บนค่ายกล กล่าวเสียงดังว่า “ข้าสามารถพิสูจน์ได้!”
อัจฉริยะหนุ่มกล่าวอย่างชอบธรรม พร้อมคำนับให้กับผู้อาวุโส “ผู้อาวุโส ศิษย์น้องไจ่หลิงเข้าร่วมพิธีรับศิษย์มาแล้ว ข้าเห็นกับตา”
ลู่หยวนมองเขาจากด้านข้างด้วยสายตาสังเวช ราวกับกำลังมองคนโง่
กู่หงเฟยคือศิษย์ของหวังเหิง การที่เขาเข้าข้างผู้อาวุโสใหญ่ย่อมน่าสงสัย ดังนั้นคำพูดดังกล่าวย่อมไม่น่าเชื่อถือ
เจ้าหนุ่มนี่ไม่ทราบเรื่องนี้หรือ?
หรือมันเป็นคนสัตย์ซื่อจนถึงที่สุดจริง ๆ
ลู่หยวนตรวจสอบด้วยจิตเทวะ คิดในใจว่าตนไม่ได้มีคำสั่งให้ควบคุมกู่หงเฟยมิใช่หรือ การกระทำของอีกฝ่ายไม่เอื้อต่อแผนการเกินไปหรือ
น่าเวทนา…
ผู้อาวุโสที่เหลือคล้ายกับกำลังมองคนโง่เช่นกัน เหลยโม่กล่าวว่า “เจ้าคือศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ สิ่งที่พูดมาจึงไม่มีน้ำหนัก เงียบไปเสีย”
กู่หงเฟยอ้าปาก อยากพูดอะไรอีก
ทว่าหวังเหิงเห็นว่าอัจฉริยะหนุ่มกระทำการบุ่มบ่าม ยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้น จึงสะบัดฝ่ามืออีกครั้ง ซัดเขาออกไป!
ผู้อาวุโสใหญ่สูดหายใจเข้าหลายครั้ง รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น
เขาหักห้ามโทสะสุดแสนเอาไว้ ยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยผิดไปแล้ว มันเป็นความผิดของข้า ข้าพูดจาไม่คิดเอง”
ลู่หยวนระบายยิ้ม พลางยกมือขึ้นเพื่อพยุงเขาขึ้นมา “ผู้อาวุโสใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าทราบดีว่าท่านพยายามอย่างหนักทุกวัน เพราะเหตุนั้นจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้”
หวังเหิงไม่คาดคิดว่าคู่กรณีจะหาทางลงให้ ดังนั้นจึงไม่โต้แย้งต่อ ถึงแม้จะสับสน แต่เขาก็ไหลตามคำพูดของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ใช่ คงเพราะทำงานหนักมากเกินไป”
มุมปากของลู่หยวนโค้งขึ้น แววตาเผยรอยยิ้มอย่างนึกสนุก เมื่อชายชราเห็นดังนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยยังไม่เข้าใจอะไร จนกระทั่งชายหนุ่มปล่อยมือ พลางกล่าวจากด้านข้างว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า เนื่องจากผู้อาวุโสใหญ่ทำงานหนักมากเกินไป ดังนั้นขอมอบหมายตำแหน่งบางส่วนที่เขาดูแลอยู่ให้คณะผู้อาวุโสแทน”
หวังเหิงตกตะลึงสักพัก กำลังจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่นายน้อยพลันกล่าวว่า “ข้าจะส่งทรัพยากรให้ผู้อาวุโสใหญ่ตามไปทีหลัง ผู้อาวุโสใหญ่สามารถพักอยู่ที่ยอดเขาซู่หยางได้อย่างวางใจ”
เมื่อกล่าวจบ บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงพาไจ่หลิงจากไป
คนที่เหลือรับคำสั่งนายน้อยของสำนัก ก่อนแจ้งให้คณะผู้อาวุโสคนอื่นทราบ
ในสถานที่ขนาดใหญ่เช่นนั้น มีเพียงหวังเหิงที่ยังยืนชะงักงันอยู่ที่เดิม ด้วยสีหน้าราวกับคนตาย
เขาจ้องมองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ปรากฏในความคิดอีกครั้ง จากนั้นจึงตระหนักได้ว่า เขาถูกอีกฝ่ายเล่นงานเข้าให้แล้ว! ร่องรอยโทสะจึงสั่งสมอยู่ในใจ
ลู่หยวนอะไรกัน นายน้อยอะไรกัน แผนการอะไรกัน!
อีกฝ่ายสร้างสถานการณ์ที่ไจ่หลิงถูกพรากไป ก่อนใช้เพียงคำพูดไม่กี่คำทำให้สมาชิกคณะทอดทิ้งเขา และกระจายอำนาจที่เหลืออยู่ในมือออกไป
คนเหล่านั้นในคณะคือสุนัข! กินคนไม่คายกระดูก*[1]
ตอนนี้ลูกน้องจำนวนมากของเขาถูกมอบหมายให้คณะผู้อาวุโสดูแลแล้ว ต่อให้ตายก็ไม่มีทางคายออกมา!
ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนท่าทีต่อลู่หยวนไปมาก อาจจะถึงขั้นร้องขอความเมตตาต่อหน้านายน้อยเลยก็ได้!
“ลู่หยวน เจ้ารอก่อนเถอะ!”
ดวงตาของหวังเหิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ในเวลาเดียวกัน บุตรศักดิ์สิทธิ์พิงเก้าอี้หลัก ห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีร่างของเหลยโม่ยืนตระหง่านอยู่ใจกลางห้องโถงหลัก
ผู้คุมกฎอาวุโสกล่าวว่า “อย่างที่นายน้อยคาดไว้ คณะผู้อาวุโสคนอื่นยอมจำนนต่อนายน้อยทีละคน”
เหลยโม่ในตอนนี้ให้ความเคารพลู่หยวนมากขึ้น
ก่อนจะถึงวันนี้ ชายร่างกำยำเครางามเพียงให้ความเคารพอีกฝ่ายเพราะเป็นลูกชายของอู่หมิงเสวี่ย
แต่ตอนนี้ ตนได้เป็นสักขีพยานว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ใช้เล่ห์กลเพื่อทำให้หวังเหิงไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนหมู่มาก ทำลายอำนาจที่ชายชราสั่งสมมาตลอดหลายปีภายในเวลาอันสั้น
น่าประทับใจนัก…
เด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนของท่านเจ้าสำนักเติบโตเป็นชายที่อหังการ์ถึงเพียงนี้
ถึงแม้วิธีการจะน่ารังเกียจไปหน่อย แต่ขอเพียงบรรลุวัตถุประสงค์ ถึงจะน่ารังเกียจแล้วมันอย่างไรเล่า?
[1] คนละโมบโลภมาก ไร้หัวใจ