ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 89 แก่นโลหิตมังกร
บทที่ 89 แก่นโลหิตมังกร
บทที่ 89 แก่นโลหิตมังกร
คนที่อยู่ตรงหน้าช่างดูเหมือนกับลู่หยวน มือไพล่หลัง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเล่ห์ร้าย แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา
ลู่หยวนเพียงชำเลืองมอง ก่อนยกมุมปาก “ภาพมายาหรือ?”
คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทำตามชายหนุ่มเช่นกัน เขายกมุมปาก แล้วพ่นคำว่า ‘ภาพมายาหรือ’ ออกมา
“ภาพมายาไม่สมบูรณ์นี้ ควรค่าที่จะกักขังข้างั้นหรือ?”
แรงกดดันของบุตรศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นทันที พลางสะบัดฝ่ามือออกไป ทำให้พลังอันน่าสะพรึงของฝ่ามือทะลวงผ่านคนตรงหน้า ระเบิดพื้นที่ทั้งหมดในพริบตา
เมื่อหมอกกระจ่างชัด ค่ายกลก็พังทลายเช่นกัน ทุกสิ่งในห้องโถงใหญ่ฟื้นคืนกลับมาตรงหน้า
ค่ายกลภาพมายาสามารถสร้างตัวตนที่เหมือนกับคนผู้เหยียบย่างเข้าไปในค่ายกล แต่ไม่ว่าร่างมายาที่ค่ายกลสร้างขึ้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเหนือกว่าพลังของค่ายกลเอง
ดังนั้น ขอเพียงคนที่เหยียบย่างเข้าไปแข็งแกร่งพอย่อมสามารถทะลวงค่ายกลได้ เหมือนอย่างที่ลู่หยวนทำ
แต่เซียวเทียนไม่ได้มีพลังเหมือนกับชายหนุ่ม เขาปิดตาแน่น ยืนอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ในสภาพหลับตา ร่างกายสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง อาจจะเพราะกำลังต่อสู้กับภาพมายาตัวเองอยู่ในค่ายกล
เมื่อคุณชายลู่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถคลายค่ายกลได้ เขาจึงเริ่มสำรวจห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง
เขาเดินรอบห้องโถงใหญ่ นอกจากอาวุธเศษเหล็กระดับฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด
ลู่หยวนก้าวไปข้างหน้า เดินไปตามห้องโถงใหญ่ ตั้งแต่เขามุ่งหน้าไปทางสัตว์ประหลาดหัวมังกร ก็มีพลังมหาศาลกดดันร่างชายหนุ่มเอาไว้ ทำให้หินหยกใต้เท้าของคุณชายลู่ไม่สามารถต้านแรงกดทับได้จนแตกสลายกลายเป็นผุยผงทันที
มีแสงสว่างสีแดงในดวงตาของหัวมังกร ราวกับกำลังตะโกนว่าให้ถอยกลับไป
“ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่!”
คุณชายจากตำหนักธารสุญญะยกขาขึ้นแล้วเดินออกไปทีละก้าว แรงกดดันที่อยู่รอบข้างนั้นยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรุนแรง
เมื่อห่างจากรูปปั้นหินสัตว์ประหลาดเพียงสามก้าว แรงกดดันทรงพลังก็ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่บิดเบี้ยว
ลู่หยวนหยิบกระบี่มหันตภัยออกมา มันสั่นไหวพร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือก ที่ใดที่กลิ่นอายผันผ่าน แรงกดดันสะเทือนสวรรค์นั้นจะสลายไป
บุตรศักดิ์สิทธิ์ย่างเท้าไปข้างหน้าอีกก้าว ก่อนเสียง ‘ตูม!’ จะดังขึ้น จนพื้นที่รอบกายเขาเริ่มพร่าเลือน กระบี่มหันตภัยถูกปัดออกไปทันที คมกระบี่สั่นไหว ราวกับไม่สามารถขัดขืนแรงกดดันดังกล่าวได้
จากด้านหลังชายหนุ่ม ลูกตาสีโลหิตหนึ่งคู่พลันลืมขึ้น เกิดเป็นพื้นที่สีแดงกระจายออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว ปกคลุมร่างกายเขาเอาไว้จนหมดสิ้น กลิ่นอายจากพื้นที่ต้านทานแรงกดดันมหาศาลเอาไว้
เขาก้าวไปข้างหน้า ในที่สุดก็มาถึงตัวสัตว์ประหลาด
ด้วยพลังของเบิกเนตรเทวะ แรงกดดันเหล่านี้ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มเดินรอบรูปปั้นหิน… แต่กลับไม่พบอะไร
ลู่หยวนครุ่นคิดสักพัก
หรือว่ามีบางสิ่งอยู่ในรูปปั้นหินนี้?
เขาถือกระบี่มหันตภัยด้วยมือข้างหนึ่ง กำลังจะทำการทลาย
“หากฟันมันละก็ แก่นโลหิตมังกรจะหายไป”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากจิตเทวะของลู่หยวน เขาหยุดมือพลางนึกทบทวน จากนั้นจึงจำได้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร
“หอคอยอสูรสวรรค์ยังคงหลับใหลอยู่แท้ ๆ แต่เจ้ายังออกมาได้อีกหรือ?”
คุณชายลู่ถามอย่างแผ่วเบา จากนั้นยกมือขวาขึ้น หยิบมันออกมาจากจิตเทวะ
เจ้าของเสียงเมื่อครู่คือสตรีที่ถูกหอคอยอสูรสวรรค์จองจำ
นางยกมุมปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านยิ่งนัก “แน่นอนว่าข้าออกมาไม่ได้ แต่ข้ายังสัมผัสโลกภายนอกได้”
สตรีเผ่ามารไม่อยากพูดจาเหลวไหลให้มากความ น้ำเสียงจึงจริงจังมากขึ้น “รูปปั้นหินนี้เต็มไปด้วยเลือดมังกร ถึงแม้จำนวนจะไม่มากนัก แต่มันคือแก่นโลหิตของมังกรเจินหลง”
“หากเจ้าสะบั้นมันด้วยกระบี่ ข้าเกรงว่าเลือดจะสาดกระเซ็น!”
“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?” ลู่หยวนถามอย่างแผ่วเบา
เสียงผู้หญิงตอบทันทีว่า “ใช้พลังมารของเจ้าเพื่อปลุกหอคอยอสูรสวรรค์ขึ้นมา แล้วให้มันดูดกลืนเลือดมังกรในรูปปั้นหินเข้าไป แล้วทะลวงขั้น!”
มือของลู่หยวนที่เต็มไปด้วยพลังมารปกคลุมหอคอย ครั้นหอคอยอสูรสวรรค์สัมผัสถึงพลังมารของลู่หยวนได้ จึงเริ่มทำงานทันที
ทันใดนั้นพลังมารทั้งหมดก็ถูกลู่หยวนดึงกลับไป เขาเรียกระบบอยู่ในหัว “ระบบ ตรวจสอบรูปปั้นหินนี้ที”
[ระบบกำลังตรวจสอบ]
เสียงสตรีอันเต็มไปด้วยความร้อนรนดังขึ้นในหูของเขา “ทำไมเจ้าถึงดึงพลังมารกลับไปล่ะ? ถ้าเจ้าไม่เปิดหอคอยอสูรสวรรค์อีกครั้ง เจ้าหนูที่อยู่ข้างหลังจะได้สติขึ้นมา!”
“เขาแบกรับชะตาของเผ่ามังกร เจ้าน่าจะมองออกนี่ หากเจ้าไม่คว้าไว้ตอนนี้ หลังจากนี้ก็จะไม่มีโอกาสแล้ว!”
น้ำเสียงของลู่หยวนแผ่วเบา แต่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร “เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม? ผ่านมาไม่กี่วัน แต่เจ้าเริ่มคิดแทนกันแล้วหรือ? ข้าจำได้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ เจ้ายังอยากพรากชีวิตข้าอยู่เลย!”
หญิงสาวพลันเงียบไป ไม่ส่งเสียงอะไรอีก
[ตรวจสอบเรียบร้อย!]
[รูปปั้นหินนี้เต็มไปด้วยแก่นโลหิตมังกร!]
ลู่หยวนถามอีกครั้งว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าปลุกหอคอยอสูรสวรรค์ขึ้นมาเพื่อดูดกลืนแก่นโลหิตมังกร?”
[ระบบขอแจ้งเตือน ตอนนี้ไม่แนะนำให้ให้ท่านปลุกหอคอยอสูรสวรรค์ขึ้นมา!]
[หอคอยอสูรสวรรค์ยังอยู่ในสภาวะบ่มเพาะ หากปลุกมันขึ้นมา อาจจะทำให้การบ่มเพาะล้มเหลวจนเกิดความเสียหายถาวร!]
[หากท่านเลือกที่จะปลุกหอคอยอสูรสวรรค์ แก่นโลหิตมังกรที่ถูกดูดกลืนจะกลายเป็นของผู้ถูกจองจำ! มันอาจจะทะลวงหอคอยได้ ท่านโปรดไตร่ตรองให้ดี!]
ลู่หยวนหลุบตาก่อนยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ผู้หญิงคนนี้คิดว่าจะหลอกเขาได้โดยง่ายหรือ?
เขาโยนหอคอยอสูรสวรรค์เข้าสู่จิตเทวะอย่างไม่ใส่ใจ ผนึกมันเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ถูกจองจำที่อยู่ข้างในจะไม่มาสอดแนมโลกภายนอกอีก
“ระบบ มีหนทางที่จะทำให้แก่นโลหิตมังกรออกมาจากรูปปั้นหินนี้หรือไม่?”
[ระบบขอแจ้งเตือนว่าต้องใช้ค่าชะตาวายร้าย 10,000 แต้ม จึงจะได้มา! ท่านต้องการแลกหรือไม่?]
ลู่หยวนไม่ลังเล ตอบตามตรงว่า “แลก!”
[ค่าชะตาวายร้ายของท่านลดลง 10,000 แต้ม ค่าชะตาที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ 24,000 แต้ม!]
ทันทีที่สิ้นเสียงระบบ เขาก็เห็นชั้นแสงสว่างสีทองเหนือรูปปั้นหิน ผ่านไปชั่วอึดใจจึงหยุดลง ก่อนแก่นโลหิตจะลอยออกมาจากดวงตาของรูปปั้นหิน
แก่นโลหิตมังกรเพิ่งลอยออกมา ความรู้สึกยามจ้องมองเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ราวกับมังกรเจินหลงจุติลงมาเอง
ลู่หยวนหยิบขวดขนาดเล็กออกมา ก่อนใส่โลหิตมังกรเข้าไปข้างใน
หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขาก็ขอให้ระบบตรวจสอบห้องโถงใหญ่อีกครั้ง แต่ระบบตรวจสอบแล้วไม่พบอะไร ลู่หยวนจึงกลับไปที่ใจกลางห้องโถงใหญ่
ที่นั่น เซียวเทียนยังคงดิ้นรนอยู่
บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นไหลลงมา มือกำแน่น ราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง
ทันใดนั้น บุตรแห่งโชคชะตาก็เหมือนตกตะลึง ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร แม้กระทั่งบนฝ่ามือก็เริ่มมีเกล็ดมังกรปกคลุม
ลู่หยวนส่ายหน้า “ค่ายกลนี้ทะลวงยากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เขารออยู่สักพัก แต่พบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในภาพมายา
เมื่อเห็นว่าพลังของเซียวเทียนยิ่งนานเข้ายิ่งโกลาหล ลู่หยวนจึงยกมือขึ้น ส่งพลังเข้าสู่หน้าผากของเซียวเทียน จนอีกฝ่ายตกอยู่ในอาการเงียบสงบ
หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ บุตรแห่งโชคชะตาพลันลืมตาขึ้น เผยนัยน์ตาสีชาด แดงแก่ก่ำราวกับโลหิต และกำลังหอบหายใจอย่างหนัก
คุณชายลู่ยืนอยู่ด้านข้าง รอให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย สักพักจึงถามว่า “เจ้าเผชิญกับอะไรในภาพมายา ทำไมถึงใช้เวลานานนัก”
เซียวเทียนเงียบไปสักพัก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพมายาเมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในใจ จิตสังหารฉายชัดบนใบหน้า จากนั้นจึงกล่าวเสียงเคร่งขรึม
“ข้าเห็นเสิ่นซูเหยียนฆ่าล้างตระกูลข้า!”