ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 100 การท้าสู้จากโจวฝาน
บทที่ 100 การท้าสู้จากโจวฝาน
“ช่างเถอะ ช่วงนี้แม้แต่สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตก็ยังถูกสำนักหยกพิสุทธิ์กลืนเลย มีความเป็นไปได้สูงมากว่าหานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งกว่าเจ้า”
โม่ฟู่โฉวส่ายหน้าพลางเอ่ย ความประทับใจที่เขามีต่อหานเจวี๋ยไม่เลวเลย รู้สึกมาโดยตลอดว่าพรสวรรค์ของหานเจวี๋ยยิ่งใหญ่ แม้ว่าโจวฝานจะเก่งกาจ แต่ส่วนมากอาศัยโอกาสวาสนาทั้งนั้น
โจวฝานแค่นเสียงกล่าว “สำนักสวรรค์เพลิงโลหิตบากหน้ามาพึ่งสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะถูกสำนักไร้ลักษณ์บีบหรอกหรือ ต่อมาที่สำนักไร้ลักษณ์ไม่พุ่งเป้ามาที่สำนักหยกพิสุทธิ์อีก ข้าว่าเป็นเพราะเฒ่าประหลาดอู้เต้าประสบเคราะห์ร้าย พวกเขาแค่ไม่มีเวลามาหาเรื่องสำนักหยกพิสุทธิ์ ใช่ว่าสำนักหยกพิสุทธิ์จะแข็งแกร่งกว่าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตเสียหน่อย”
โม่ฟู่โฉวรู้สึกว่าก็มีเหตุผล
ศิษย์ที่บินไปบินมาอยู่บนฟ้าไม่ได้แข็งแกร่งเท่าศิษย์สำนักใหญ่เลย
สายตาของสตรีชุดม่วงกลับมองไปที่เขาเพียรบำเพ็ญเซียน คิ้วงดงามของนางขมวดมุ่น
“พลังวิญญาณบนเขาลูกนั้นเต็มเปี่ยมมาก เป็นไปได้อย่างไร…”
สตรีชุดม่วงตื่นตกใจ พลังวิญญาณเช่นนี้เทียบได้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลึกลับและตระกูลที่บำเพ็ญเพียรหมื่นปีบางส่วนแล้ว
ในขณะเดียวกัน
หานเจวี๋ยกำลังสั่งสอนไก่คุกรัตติกาลอยู่ใต้ต้นฝูซัง
ในช่วงแปดปีนี้ ไก่คุกรัตติกาลฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จระดับสุญตาแล้ว มันไปฝ่าด่านเคราะห์ที่แดนหมื่นปีศาจเช่นกัน ตอนนั้นบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหยกพิสุทธิ์ต่างก็ไปสังเกตการณ์ พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ไก่ของผู้อาวุโสสังหารเทพบรรลุระดับสุญตาแล้ว!
หลิ่วปู๋เมี่ยเจ้าสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตและเซียวเหยาก็ตกใจเช่นกัน
ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยในใจพวกเขายิ่งถูกยกระดับขึ้น
“อาจารย์ มันคือสิ่งใดกันแน่ คุณสมบัติเช่นนี้ไม่เหมือนไก่เลยนี่!” สวินฉางอันอดถามไม่ได้
ไก่คุกรัตติกาลสะบัดปีกเร็วรี่อยู่ริมหน้าผา ก่อให้เกิดปราณกระบี่เป็นพักๆ
ไม่เลว!
ปราณกระบี่!
หานเจวี๋ยถ่ายทอดวิชาดรรชนีกระบี่เทพให้กับไก่คุกรัตติกาล และมันก็เรียนได้จริงๆ ขนไก่ส่งปราณกระบี่ออกมา พลังทำลายล้างก็น่าชมยิ่งนัก
หานเจวี๋ยยังไม่ทันได้ตอบ ไก่คุกรัตติกาลก็หันหน้ามาด่า “ท่านไก่เคยบอกเจ้านานแล้ว ท่านไก่คือหงส์เพลิง เจ้าคิดว่าท่านไก่เป็นไก่จริงๆ หรือ”
หลังจากกลืนกินจูโต้วไปแล้ว ไก่คุกรัตติกาลก็เปลี่ยนจากพี่ไก่เป็นท่านไก่
แน่นอนว่ามันตั้งขึ้นมาเอง
“เจ้าเองก็ไม่ธรรมดา ขยันให้มากเข้า จงเชื่อมั่นในสายตาของอาจารย์” หานเจวี๋ยลูบศีรษะของสวินฉางอัน กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของหานเจวี๋ย สวินฉางอันเป็นแค่ตัวช่วยเท่านั้น
ขณะนั้นเอง
หานเจวี๋ยพลันเหลือบเห็นโม่ฟู่โฉว โจวฝาน และสตรีชุดม่วงกำลังบินมาทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียน
โจวฝานเหลียวเห็นหานเจวี๋ยก็รีบหยุดลงทันที
ครั้นแม่นางชุดม่วงมองเห็นหานเจวี๋ย ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย
‘ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามนัก!
หรือจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่หญิง?’
โจวฝานตื่นเต้นมาก เขาโบกมือพลางส่งเสียงโหวกเหวก “หานเจวี๋ย ไม่เจอกันนาน! เจ้าคงยังจำข้าได้อยู่กระมัง!”
ได้ยินเช่นนี้ หานเจวี๋ยก็ยิ้มตอบว่า “จำได้ หลายปีมานี้คงใช้ชีวิตลำบากกันสินะ”
เสียงของเขาลอยเข้าหูพวกโจวฝาน ทั้งสามคนได้ยินอย่างชัดเจนยิ่ง
โม่ฟู่โฉวได้ยินแล้วรู้สึกใจปวดร้าว
ไม่ใช่แค่ลำบากเท่านั้น พูดได้ว่าพวกเขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายเลย
“พวกเราใช้ชีวิตอย่างผ่าเผย กุมกระบี่เดินทางไปทั่วหล้า มีบุญคุณก็ตอบแทนมีแค้นก็ชำระ ทั้งยังได้รับโอกาสวาสนาไม่น้อย” โจวฝานกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
แพ้ไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้!
โจวฝานไม่ยอมให้หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนเองแย่เด็ดขาด
“เป็นอย่างไรบ้าง อยากออกไปท่องโลกกว้างกับพวกเราหรือไม่ การบำเพ็ญเพียรต้องเสี่ยงโชค ปิดด่านฝึกฝนตลอดใช่ว่าจะดี”
โจวฝานกล่าวเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็บินไปทางเขาเพียรบำเพ็ญเซียน
หานเจวี๋ยแสดงวิชาอย่างเงียบๆ เพื่อปิดค่ายกลใหญ่ที่คุ้มกันภูเขาอยู่
คนทั้งสามร่อนลงบนขอบหน้าผาอย่างรวดเร็ว
สตรีชุดม่วงจ้องหานเจวี๋ยด้วยสายตาแวววาว ทำให้หานเจวี๋ยอึดอัดอย่างยิ่ง
สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!
หานเจวี๋ยรีบตรวจสอบผู้แข็งแกร่งในสำนักหยกพิสุทธิ์ ไม่นานก็หยุดอยู่ที่รายชื่อหนึ่ง
[เซวียนซือซือ: ระดับรวมกายาขั้นเก้า ศิษย์น้องของจอมมาร]
‘หือ? ศิษย์น้องของจอมมาร?
น้องภรรยาหรือ’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
โม่ฟู่โฉวประสานมือคารวะแล้วยิ้มกล่าว “สหายหาน ไม่เจอกันนาน ท่านยังคงสง่างามน่าเกรงขามเช่นเดิม”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “สหายโม่เองก็เช่นกัน”
โจวฝานมองไปที่ไก่คุกรัตติกาล ก่อนถามด้วยความประหลาดใจ “หานเจวี๋ย ไก่ที่เจ้าเลี้ยงดูไม่อ่อนแอเลยนี่!”
ไหนเลยเขาจะมองออกว่าไก่คุกรัตติกาลมีตบะระดับสุญตา
เมื่อไก่คุกรัตติกาลได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจทันที
อะไรคือดูไม่อ่อนแอ
มันยังไม่ทันได้เอ่ยปาก โจวฝานก็พลันก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว “หานเจวี๋ย แลกเปลี่ยนฝีมือกันสักหน่อยเถอะ เมื่อก่อนข้าเคยแพ้ให้กับเจ้า ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว!”
ตามที่พลังจิตของเขารับรู้ได้ หานเจวี๋ยเพิ่งจะอยู่ระดับสร้างฐานขั้นเก้า เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ใช้วิธีพิเศษเฉพาะปิดบังตบะที่แท้จริงไว้
โจวฝานไม่อาจดูเบาหานเจวี๋ยได้ ในความคิดของเขาหานเจวี๋ยน่าจะมีตบะระดับเปลี่ยนวิญญาณแล้ว
นึกถึงในตอนนั้น หานเจวี๋ยก็เคยสังหารผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณมาแล้ว!
ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ตบะจะคงอยู่ที่ระดับเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างไร!
โดยทั่วไปเมื่อถึงระดับปราณก่อกำเนิด หากไม่มีโอกาสวาสนา อาศัยแค่การมุมานะฝึกบำเพ็ญ ก็ยากที่จะพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้
หานเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าเพิ่งกลับมา ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนฝีมือกับข้าหรอกกระมัง ไปรายงานตัวกับเจ้าสำนักเถอะ”
โจวฝานพูดยั่วยุ “หานเจวี๋ย เจ้ากลัวหรือ วางใจเถอะ พวกเราประมือกันเงียบๆ ไม่ให้คนอื่นรู้ ข้าแค่อยากให้เจ้าเห็นสักหน่อยว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน ตอนนี้ข้าหลอมร่างสกรรจ์สำเร็จแล้ว เคยสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณมาแล้วด้วย!
หากเจ้าอยากออกไปเผชิญโลกกว้าง ข้ากับศิษย์พี่โม่สามารถพาเจ้าไปได้!”
หานเจวี๋ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ไก่คุกรัตติกาลอดด่าไม่ได้ “เจ้าเป็นใครกัน! เป็นแค่ระดับปราณก่อกำเนิดก็กล้ายั่วยุนายท่านของข้ารึ แม้แต่ท่านไก่อย่างข้าเจ้ายังสู้ไม่ได้เลย!”
พอคำพูดนี้ออกจากปาก พวกโจวฝานทั้งสามคนก็พากันหันไปมองมัน
เซวียนซือซือเลิกคิ้ว ทำหน้าแปลกใจ
‘สัตว์เลี้ยงปีศาจระดับสุญตา! คนผู้นี้ไม่ธรรมดานี่…’
“ไก่ของเจ้าตัวนี้คึกดีจังนะ” โจวฝานยิ้มตายีเอ่ย เริ่มเกิดโทสะในใจบ้างแล้ว
ไก่คุกรัตติกาลชูคอกล่าว “แล้วจะอย่างไรล่ะ”
มันอดใจรอที่จะแสดงความแข็งแกร่งของตนเองไม่ไหวแล้ว
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นไม่กลับมาเลย สวินฉางอันและมู่หรงฉี่ต่างอ่อนแอนัก เหลือแค่หานเจวี๋ยที่มันก็ไม่กล้ายุแหย่อีก
โจวฝานมองหานเจวี๋ยและถามด้วยรอยยิ้ม “หานเจวี๋ย ข้าช่วยสั่งสอนมันแทนเจ้าดีหรือไม่”
หานเจวี๋ยเห็นว่าโจวฝานจริงจังมาก หากดึงดันปฏิเสธต่อไป หลังจากนี้เจ้าหมอนี่คงพัวพันเขาไม่เลิก
เขามองไปทางไก่คุกรัตติกาลก่อนสั่ง “ห้ามทำร้ายคน!”
ไก่คุกรัตติกาลพยักหน้าอย่างเต็มที่
โจวฝานไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
หมายความว่าอย่างไร
หานเจวี๋ยคิดว่าเขาสู้ไก่ตัวนี้ไม่ได้หรือ
โม่ฟู่โฉวรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ คาดไม่ถึงว่าเขาจะมองตบะของไก่คุกรัตติกาลไม่ออก เขาถ่ายทอดเสียงไปให้โจวฝาน ‘ไก่ตัวนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง แล้วๆ กันไปเถอะ เพิ่งกลับมาเอง พวกเราพักผ่อนสองสามวันก่อน สืบที่มาของไก่ตัวนี้สักหน่อย’
โจวฝานไม่สนใจโม่ฟู่โฉว หันกายเดินไปทางไก่คุกรัตติกาล พละกำลังของเขาปะทุเพิ่มขึ้นในทุกๆ ย่างก้าว
ครืน!
เขาเพียรบำเพ็ญเซียนสั่นสะเทือน ร่างของโจวฝานเปล่งพลังอำนาจที่น่าหวาดกลัวออกมา ลมแรงที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าวนรอบตัวเขา กล้ามเนื้อทั้งตัวแน่นคับจนชุดคลุมนูนขึ้นมา บนใบหน้ายังมีเส้นเลือดประหลาดไต่ขึ้นมาหลายเส้น
หานเจวี๋ยมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ นี่ก็คือร่างสกรรจ์หรือ
ไก่คุกรัตติกาลเบิกตาโต เห็นได้ชัดว่าทึ่งมาก
โจวฝานนึกว่ามันกลัวจึงยิ้มกล่าว “เจ้าลูกไก่ กลัวแล้วล่ะสิ หากขอโทษข้าตอนนี้ ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า!”
ไก่คุกรัตติกาลกระพือปีกบินขึ้นไป พูดจาโหวกเหวกว่า “มาสิ! ท่านไก่กลัวเจ้าหรือไง”
โม่ฟู่โฉวมองหานเจวี๋ยก่อนกล่าวอย่างเกรงใจ “สหายหาน นี่…”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไม่ให้พวกเขาทำร้ายกันและกัน”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าบอก แม้ว่าโจวฝานจะหยิ่งยโสไปหน่อย แต่ระดับความประทับใจของเขาไม่เคยลดลงเลย หานเจวี๋ยย่อมไม่ทำร้ายเขาอยู่แล้ว
ครืน!
พายุรุนแรงพลันปะทุออกมา พัดจนเสื้อผ้าของหานเจวี๋ย โม่ฟู่โฉว เซวียนซือซือ และสวินฉางอันโบกสะบัด
ทั้งสี่คนหันหน้าไปมอง เห็นเพียงว่าโจวฝานชกหมัดใส่ปีกของไก่คุกรัตติกาลที่ไขว้กันอยู่ ขนไก่ทั่วตัวไก่คุกรัตติกาลสั่นไหว ราวกับว่ามีเปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่บนตัว
รอยยิ้มของโจวฝานเมื่ออยู่ในร่างสกรรจ์ดุร้ายและโอหังมาก
ไก่คุกรัตติกาลเบิกตากว้าง พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “แค่นี้รึ”
……………………………………….