ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1015 แสงเทพสาดส่องมรรคาสวรรค์
บทที่ 1015 แสงเทพสาดส่องมรรคาสวรรค์
พอได้ฟังวาจาของหานเจวี๋ย หานหลิงจมอยู่ในห้วงความคิด นางรู้สึกว่าหานเจวี๋ยพูดมีเหตุผลจริงๆ แต่ยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์กับหานเย่อยู่ดี
“คุณสมบัติของเขาดาษดื่นพื้นๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากท่านขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ” หานหลิงวกกลับมาถาม
หานเย่ยังไม่ได้เริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ สิ่งที่หานเจวี๋ยสอนไปล้วนเป็นวิชาหลอมกายาเท่านั้น สุดยอดดาวสังหารมิได้โดดเด่นเช่นดาวจักรพรรดิอนธการ ดาวจักรพรรดิอนธการโดดเด่นตั้งแต่ก้าวแรก เลิศล้ำน่าตะลึง แต่สุดยอดดาวสังหารกลับต่างออกไป ต้องก่อกรรมสังหารเพื่อสะสมพลัง
ยิ่งสังหารได้มากเท่าไรหานเย่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
หานเย่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดคาดว่าคงเพียงพอจะสังหารสิ่งมีชีวิตทุกอย่างได้
ทรงพลังเช่นนี้อันที่จริงก็เป็นภัยคุกคามหานเจวี๋ยเช่นกัน แต่เขาไม่กลัว
อันที่จริงหากว่ากันในแง่ภัยคุกคาม ทุกคนล้วนกลายเป็นภัยคุกคามได้ แต่มีคุกสวรรค์อนธการอยู่ ประกอบกับระดับตบะของตัวเขา ไม่มีทางที่จะถูกคุกคามได้
หานเย่แตกต่างไปจากเชื้อสายคนอื่นๆ ของเขา เป็นผู้ถูกเลือกจากมหาโชค สิบล้านปีถึงจะมีได้สักคน หานเจวี๋ยย่อมต้องคอยดูแลทุกคน สร้างฐานไมตรีไว้แต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นหากวันหน้าพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้วไม่รู้จักบรรพบุรุษของตน เกรงว่าจะเกิดปัญหาได้
จะซื้อใจอย่างไรน่ะหรือ ก็ต้องช่วยให้ผู้ถูกเลือกจากสวรรค์เหล่านี้พิสูจน์มรรคแต่เนิ่นๆ เช่นนี้พอวันหน้าพวกเขาผงาดขึ้นมา ผู้คนจะได้กล่าวถึงความดีความชอบของอริยะสวรรค์เกรียงไกร ไม่คิดว่ามาจากสวรรค์ประทานโชค
“คุณสมบัติของเขาไม่ธรรมดา วันหน้าเจ้าจะรู้เอง” หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก
หานหลิงเบะปาก “วิญญาณของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ แต่อ่อนแอเกินไป อยู่ในโลกมนุษย์สามัญนับว่ามีพรสวรรค์ แต่ในสายตามหามรรคแล้วก็ยังนับว่าเป็นคนธรรมดา เขาจะเทียบข้าได้สักกี่ส่วนกัน”
สาวน้อยคนนี้กำลังหวงบิดาอยู่หรือ
ปกติไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย
หานเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดมากอีก
หานหลิงแค่นเสียง นางก็อยากเห็นนักว่าหานเย่ประสบความสำเร็จสักแค่ไหน
สองพ่อลูกตกปลาต่อไป นี่คืองานอดิเรกในช่วงนี้ของหานเจวี๋ย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทพลังวิเศษ แข่งขันกันด้วยทักษะการตกปลา หานหลิงก็ชอบมากเช่นกัน เนื่องจากนางสามารถเอาชนะบิดาได้
หลายเดือนต่อมา
หานเย่มาแล้ว เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านเซียน ข้าเชี่ยวชาญแล้วขอรับจะแสดงให้ท่านให้เห็น”
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหานเจวี๋ย เริ่มออกหมัด ท่วงท่าดั่งพยัคฆ์โผนลม กล้ามเนื้อและกระดูกลั่นดังดุจคำราม บุคลิกคล้ายสัตว์ร้ายในร่างมนุษย์
หานหลิงหมิ่นแคลนยิ่งนักทว่าไม่พูดถากถางออกไปตรงๆ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
หานเจวี๋ยยิ้มพลางพยักหน้าให้ เอ่ยว่า “ไม่เลวเลย วันหน้าต้องเกรียงไกรดั่งหงส์มังกรแน่ เย่เอ๋อร์ มีเป้าหมายในอนาคตหรือไม่ เจ้าอยากกลายเป็นคนเช่นไร”
คำว่าเย่เอ๋อร์กล่าวอย่างอ่อนโยนเหลือคณา หานเย่ฟังแล้วตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ท่าทางดูว่าง่ายน่าเอ็นดูขึ้นมา เขาเกาหัวเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ แต่ข้าอยากเก่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งเก่งกาจกว่าผู้ใด”
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นจะร้ายกาจกว่าข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
หานเย่หัวเราะแหะๆ กล่าวไปว่า “แน่นอนขอรับ แต่ท่านวางใจได้เลย ท่านดีต่อข้า ในอนาคตพอข้าแข็งแกร่งกว่าท่านแล้วจะคอยปกป้องท่านเอง”
หานหลิงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ถูกหานเย่ทำให้ขบขันขึ้นมา
เจ้าลิงน้อยเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือผู้ใด
หานหลิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด เพียงขบขันอยู่คนเดียว
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เจ้ารู้จักผู้บำเพ็ญเซียนหรือไม่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นวิชาหมัดมวยบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังสู้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นไม่ได้ ส่วนข้าก็ไม่ใช่เทพเซียนที่แท้จริงเช่นกัน สิ่งที่สอนให้เจ้าได้มีไม่มากนัก”
หานเย่พยักหน้ารับ “ข้ารู้จักขอรับ หลายปีก่อนเคยมีผู้บำเพ็ญเซียนผ่านทาง เสกหินก้อนหนึ่งให้กลายเป็นทอง ทำให้คนในหมู่บ้านตกใจกันไปหมด ข้าเคยกล่าวกับท่านพ่อไว้แต่แรกแล้ว รอจนข้าเติบใหญ่ขึ้นจะแต่งงานมีบุตรไว้ให้คอยอยู่ดูแลพวกเขายามชรา ส่วนข้าจะมุ่งหน้าไปตามวิถีแห่งการบำเพ็ญ หากข้าพิสูจน์มรรคได้ก่อนพวกเขาสิ้นอายุขัยก็สามารถช่วยให้พวกเขามีอายุยืนยาวสุขสบายได้ขอรับ”
เขาแสดงสีหน้ามุ่งมั่นปรารถนา
หานเจวี๋ยยิ้มพลางพยักหน้ารับ
หานหลิงเอ่ยแขวะ “เจ้าช่างใช้ชีวิตสำราญแท้ ยกเรื่องกตัญญูให้เป็นภาระของลูกเต้าแทน”
หานเย่หยิ่งทะนงโดยกำเนิด ถึงที่ผ่านมาจะไม่กล้าล่วงเกินหานหลิง แต่ก็ไม่ยอมให้หานหลิงมาเอ่ยแขวะเขาเช่นนี้
“ฮึ่ม เช่นนั้นท่านล่ะ ท่านกตัญญูมากแค่ไหนกัน” หานเย่ถามอย่างถากถาง
หานหลิงเอ่ยตอบไป “ข้า…ตั้งแต่เกิดมาข้าก็ติดตามอยู่ข้างกายท่านพ่อเสมอมา”
ทันใดนั้นนางตระหนักขึ้นได้ว่ามีเพียงตนที่อยู่ในการปกป้องดูแลของท่านพ่อฝ่ายเดียว ไม่เคยทดแทนคุณเลย
หานเย่เหยียดหยาม “เช่นนั้นเหตุใดตอนนี้ถึงแยกจากบิดาแล้วเล่า”
หานหลิงขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ไม่เคยแยกจากไปเสียหน่อย”
“หญิงครองเรือนอย่างท่านช่างกล้า…
หานเย่อดประณามไม่ได้ แต่จู่ๆ เขาก็ชะงักไป
ช้าก่อน!
หรือว่า…
เขาเบิกตากว้าง
เขามองไปทางหานเจวี๋ยอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มองเห็นหานเจวี๋ยยิ้มพลางผงกหัวให้
หานเย่อ้าปากค้าง ถามออกไป “ท่านเซียน ท่านอายุเท่าไรแล้ว”
เขานึกว่าหานเจวี๋ยและหานหลิงเป็นคู่สามีภรรยา เพราะอายุดูไม่ต่างกันมาก
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว คาดว่าคงมีความปรารถนาเป็นแน่ แต่ทางข้าไม่มีอะไรจะสอนให้เจ้าแล้ว”
หานเย่ร้อนใจขึ้นมา ไม่แปลกใจในอายุของหานเจวี๋ยอีก เขาคุกเข่าลงบนพื้น เริ่มโขกศีรษะให้
หานเจวี๋ยก็ไม่ห้ามปราม เขาคู่ควรจะได้รับการโขกศีรษะเช่นนี้
รอจนหานเย่โขกจนหน้าผากแดงไปหมด หานเจวี๋ยถึงหยิบธนูคันหนึ่งออกมา ทันทีที่ธนูคันนี้ปรากฏขึ้น ประกายแสงเยียบเย็นพลันสาดส่อง เรืองรองไปทั่วนภา ส่องวาบไปทั่วสามสิบสามชั้นฟ้า สร้างความตกตะลึงให้อริยะนับพันจนต้องออกจากการปิดด่านมา
หานเจวี๋ยข่มแสงของธนูปฐมเทพทลายโลกาลงอย่างรวดเร็ว ร่ายผนึกควบคุมใส่ธนูไปไม่น้อยด้วย
หานหลิงจ้องมองธนูปฐมเทพทลายโลกา ดวงตาวาววับ
เป็นสมบัติวิเศษที่ทรงพลังยิ่ง!
นางอยากได้!
“ท่านพ่อ…” หานหลิงกำลังจะเอ่ยปาก ผลคือถูกหานเจวี๋ยเอ่ยขัด
หานเจวี๋ยจ้องมองหานเย่ เอ่ยถามออกไป “เย่เอ๋อร์ ชอบธนูคันนี้หรือไม่”
หานเย่เงยหน้ามอง พลันตกตะลึงกับธนูปฐมเทพทลายโลกา พยักหน้ารับอย่างสุดชีวิต
หานหลิงเม้มปากด้วยความโมโห สะบัดหน้าหนี
หานเจวี๋ยโยนธนูปฐมเทพทลายโลกาลงพื้นพลางเอ่ยว่า “ธนูคันนี้เป็นของเจ้าแล้ว แต่เจ้าจะต้องหยิบขึ้นมาเอง”
หานเย่รีบเดินเข้ามา ทันทีที่เขาคว้าคันธนูสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป เขายกไม่ขึ้น!
เขาเริ่มระดมพละกำลังทั้งหมด ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำแล้วแต่ก็ยังยกไม่ขึ้น
หานเจวี๋ยยืดตัวขึ้นเอ่ยออกไปว่า “เย่เอ๋อร์ พวกเราต้องไปแล้ว เมื่อพบกันอีกครั้งทุกอย่างคงเปลี่ยนแปลงไป บางทีเจ้าอาจจะจดจำรูปลักษณ์ของข้าไม่ได้แล้ว”
หานเย่เงยหน้าขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ท่านเซียน ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“ชีวิตคนเรามีพบมีจาก เจ้ามีเส้นทางของเจ้า ข้ามีเส้นทางของข้า มีวาสนาได้อยู่ร่วมกันมาหลายเดือน ขอมอบธนูคันนี้ให้ร่วมทางกับเจ้าไปชั่วชีวิต จำไว้ว่าอย่ายกสมบัติชิ้นนี้ให้ผู้อื่น”
พอเอ่ยจบหานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ พาหานหลิงจากไปทันที
หุบเขาพลันเงียบสงัด วิธีการเยี่ยงเทพเซียนเช่นนี้ทำให้หานเย่ตะลึงงัน
รอจนเขาได้สติกลับมาก็ตะโกนถามขึ้นว่า “ท่านเซียน ท่านมีนามว่าอะไรขอรับ วันหน้าข้าจะทดแทนคุณท่านให้ดีๆ!”
แต่น่าเสียดาย เขาไม่ได้รับคำตอบกลับใดๆ เลย
บนยอดเมฆ หานเจวี๋ยและหานหลิงเหยียบเมฆาเหาะมุ่งหน้าไป
หานหลิงกล่าวอย่างไม่พอใจ “สมบัติวิเศษระดับนั้นไยจึงยกให้เด็กเหลือขอคนนั้นไปเจ้าคะ อีกอย่างยกให้ไปแล้วเหตุใดถึงไม่รับตัวเขาไว้ให้คอยติดตามฝึกบำเพ็ญข้างกาย ไม่กลัวคนอื่นจะชิงไปหรือเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชิงไปไม่ได้หรอก”
เขามองออกว่าหานหลิงไม่พอใจ แต่เขาไม่อธิบาย อีกทั้งหานหลิงไม่มีทางนึกแค้นเคืองเพราะเรื่องนี้ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์การกระทำของเขา พอถึงเวลาต้องทำให้หานหลิงตกใจแน่นอน
หานเจวี๋ยยังมีสวรรค์ประทานโชคอีกหนึ่งครั้ง
เขาคิดดูเล็กน้อย ตัดสินใจใช้ด้วยเสียเลย
ผู้มีพรสวรรค์เผยสู่โลกาพร้อมกันสองคน ต้องสร้างคลื่นลมมหาศาลให้มรรคาสวรรค์แน่นอน
หานเจวี๋ยเลือกใช้สวรรค์ประทานโชคอย่างเงียบๆ
[เริ่มใช้งานสวรรค์ประทานโชค ผู้มีมหาโชคแต่กำเนิดจะปรากฏขึ้นในหมู่เชื้อสายของท่านแบบสุ่มเลือก]
[หานเหยาเชื้อสายของท่านตื่นรู้ในมหาโชคแต่กำเนิด…ดาวพิชิตสวรรค์]
[ดาวพิชิตสวรรค์: ถือครองวิถีแห่งผู้พิชิตแต่กำเนิด เกิดมาเพื่อต่อสู้ดำเนินสงครามอย่างไร้ที่สิ้นสุด สามารถพิชิตกฎเกณฑ์ บ่วงกรรมและดวงชะตาทุกชนิดเพื่อเสริมสร้างเพิ่มพูนพลังแห่งการพิชิต]