ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1127 ความแตกต่างระหว่างเซียนกับมนุษย์ธรรมดา
บทที่ 1127 ความแตกต่างระหว่างเซียนกับมนุษย์ธรรมดา
“ท่านเห็นด้วยหรือ วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาปรนนิบัติกตัญญูต่อท่านแน่นอนขอรับ!”
ฉู่เสี่ยวชีตื่นเต้นอย่างยิ่ง พูดจายกย่องให้เกียรติ แต่ก่อนตอนอยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยเขามักจะทำตัวไม่รู้ขอบเขต เอะอะโผงผาง ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่
หานเจวี๋ยยิ้มพยักหน้ารับ
ฉู่เสี่ยวชีตัดสินใจว่ารอฟ้าสว่างแล้วค่อยกลับไป ค่ำคืนนี้เขาตื่นเต้นยิ่งนัก เขาตั้งตารอจะได้กลับบ้านอย่างยิ่ง เขาอยากพิสูจน์ให้คนที่บ้านเห็นว่าทางเลือกของตนไม่ได้ผิดไปเลย เขาไม่ได้เพ้อฝันไร้สาระ มิได้หมกมุ่นเพ้อเจ้อ!
ค่ำคืนนี้ ฉู่เสี่ยวชีตื่นเต้นกระสับกระส่ายจนฟ้าสางถึงจะหลับลง หลับจนถึงยามเที่ยงค่อยตื่นขึ้นมา
ก่อนออกเดินทาง ฉู่เสี่ยวชีโขกศีรษะให้หานเจวี๋ย หานเจวี๋ยหลับตาฝึกบำเพ็ญมิได้สนใจ
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ฉู่เสี่ยวชีรู้สึกใจหายนิดๆ
ท่านปู่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือคนที่ดีต่อเขา ดียิ่งกว่าบิดามารดาของเขาเสียอีก ตอนอยู่ที่บ้าน เนื่องจากมีพี่น้องมากเกินไป ท่านพ่อท่านแม่ยุ่งง่วนกับการทำมาหาเลี้ยง ไม่มีเวลามารักถนอมเขามากนัก ถึงขั้นที่พี่ชายเคยกลั่นแกล้งเขาด้วย
ฉู่เสี่ยวชีเดินไปถึงริมหน้าผา เตรียมจะขี่กระบี่จากไป เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านอยากไปกับข้าหรือไม่”
ในใจเขาเต็มไปด้วยความหวัง แต่ก็รู้เช่นกันว่าเป็นไปไม่ได้
ท่านเซียนไหนเลยจะยอมโยกย้ายไปที่ใดง่ายๆ เช่นนั้น
“ได้สิ”
หานเจวี๋ยตอบรับ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตากว้าง ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“จริงหรือขอรับ”
“จริงสิ”
“มิใช่ว่าท่านต้องฝึกบำเพ็ญหรือ”
“นภากว้างไกลปฐพีกว้างใหญ่ อยู่ที่ใดก็สามารถฝึกบำเพ็ญได้ทั้งสิ้น”
“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”
ฉู่เสี่ยวชีตื่นเต้นสุดขีด เขาอยากจะแนะนำหานเจวี๋ยต่อคนที่บ้าน
หานเจวี๋ยให้ฉู่เสี่ยวชีขี่กระบี่เหาะไป ส่วนเขาขี่เมฆานั่งสมาธิอยู่บนก้อนเมฆ ฝึกบำเพ็ญต่อไป
“ไอ๊หยา ท่านปู่ เหตุใดท่านไม่สอนวิชานี้ให้ข้าบ้าง”
ฉู่เสี่ยวชีเบิกตากว้างอีกครั้ง ตะโกนเสียงดัง
เด็กคนนี้ชอบทำตาโตนัก ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเขาเหมือนตัวละครหนุ่มเลือดร้อนเหล่านั้นที่ตนเคยเห็นในชาติก่อน
ถึงแม้จะพิสูจน์เทพผู้สร้างแล้ว แต่หานเจวี๋ยยังคงรู้สึกว่าเนื้อในของตนยังคงนิสัยของมนุษย์ไว้ สุดท้ายก็ค่อนข้างมีความแตกต่างไปจากผู้ไร้พ่ายที่ถือกำเนิดในวิทยาการและเผ่าพันธุ์อื่นๆ ถึงจะอายุมากแล้ว แต่เขากลับยังคงระลึกถึงช่วงเวลาที่ยังอ่อนแออยู่ ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่มีทางเป็นเช่นนี้
คุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ยังคงให้ความสำคัญกับความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกในด้านใดก็ตาม
สำหรับจุดนี้ หานเจวี๋ยไม่อยากแบ่งแยกออกไปอย่างสมบูรณ์ ตัวเขาคือตัวเขา เขาต้องการเป็นตัวของตัวเอง แทนที่จะทำตัวเหมือนตัวคนอื่นๆ
ตลอดการเดินทาง ฉู่เสี่ยวชีลายร่างเป็นคนช่างจ้ออีกครั้ง
“ท่านปู่ ท่านมีครอบครัวหรือไม่”
“มี”
“พวกเขาอยู่ที่ใด”
“พวกเขาอยู่ในที่ไกลแสนไกล ห่างไกลจนชีวิตนี้เจ้าอาจจะไปไม่ถึง”
“เรื่องนี้…ขออภัยด้วยขอรับ”
“ฮ่าๆ”
ฉู่เสี่ยวชีนึกว่าครอบครัวของหานเจวี๋ยจากไปหมดแล้ว ทราบว่าตนกล่าวพลาดไปจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เขาเริ่มแนะนำสภาพครอบครัวตน อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ผูกพันกับครอบครัวนั้นเท่าไร เพียงอยากกลับไปพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น
ฉู่เสี่ยวชีพูดจ้อไปตลอดทาง หานเจวี๋ยก็รับฟังอย่างเงียบๆ
ทั้งสองเหาะมุ่งสู่ขอบฟ้าไปด้วยกัน เสียงหัวเราะเบิกบานของฉู่เสี่ยวชีดังก้องอยู่ภายใต้ท้องนภา
….
ภายในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เงาร่างมากมายมาชุมนุมกันที่นี่ ตบะขั้นต่ำสุดคือครึ่งอริยะ ส่วนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคืออริยะเบิกฟ้าสามคน
แววตาของพวกเขาเปี่ยมความเคารพยำเกรง ทั้งหมดมองไปในทิศทางหนึ่ง
เบื้องหน้าของพวกเขา มีเงาร่างหนึ่งนั่งประจำอยู่ในตำแหน่งของผู้ปกครองโลกใบนี้ เป็นหวงจุนเทียนนั่นเอง
หลังจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ปิดฉากลง หวงจุนเทียนได้รับมหาโชคไป นามของเทพมารอนธการโด่งดังสะท้านยุคสมัยไร้สิ้นสุด ในระดับที่ต่ำกว่าผู้สร้างมรรคาลงมาตบะของเขานับว่าอยู่ในขั้นสูงสุด
ที่มาในครั้งนี้ สรรพสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนไม่ทราบถึงฐานะตัวตนเขา ด้วยมีระดับชั้นห่างไกลกันจึงไม่มีคุณสมบัติจะได้ทราบ แต่หวงจุนเทียนแข็งแกร่งเหลือเกิน ลำพังแค่แรงกดดันก็เพียงพอจะทำให้เหล่าอริยะสิ้นความคิดต่อต้านแล้ว
ผู้ปกครองโลกนี้คือนักพรตเต๋าชุดเทาคนหนึ่ง เขาขมวดคิ้วสอบถาม “ผู้อาวุโส พบสิ่งที่ท่านต้องการตามหาหรือไม่ขอรับ”
หวงจุนเทียนลืมตาขึ้น วินาทีนี้ ทุกคนในโถงตำหนักก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา
“ตอนนี้ยังไม่พบ แต่อาจจะปรากฏขึ้นในอนาคต พวกเจ้าจงช่วยจับตามองให้ข้าที สักวันหนึ่งจะมีผู้ที่พรสวรรค์เลิศล้ำปรากฏตัวขึ้น เขากระหายเลือดจะชักนำภัยมาสู่สรรพสิ่ง ไม่ใช่เพียงโลกแห่งนี้ของพวกเจ้าเท่านั้น หากมีวันนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ พวกเจ้าจงใช้ป้ายคำสั่งนี้ติดต่อมาหาข้า”
พอสิ้นเสียงหวงจุนเทียนก็เลือนหายไป ป้ายคำสั่งสีดำชิ้นหนึ่งลอยอยู่เหนือบัลลังก์ บนป้ายสลักภาพเงาร่างประหลาดไว้
ทุกคนมองหน้ากัน หวงจุนเทียนจากไปเช่นนี้กลับทำให้พวกเขาโล่งใจ แต่คำพูดของเขากลับทำให้เกิดเงามืดปกคลุมอยู่ในใจของทุกคน
ในอนาคตจะเกิดมหันตภัยขึ้นกับโลกนี้หรือ
พวกเขาทำนายไม่พบ แต่ก็ไม่กล้ามองข้ามคำพูดของหวงจุนเทียนเช่นกัน
….
ครอบครัวของฉู่เสี่ยวชีตั้งรกรากอยู่ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปร้อยลี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ในตำบลนี้ล่าสัตว์หาปลาเพื่อเลี้ยงชีพ
หลังเข้าสู่ตำบล หานเจวี๋ยตามฉู่เสี่ยวชีกลับไปที่บ้าน
บิดามารดาของฉู่เสี่ยวชีอายุห้าสิบปีแล้ว บิดาเขาหลังค่อมถือไม้เท้า ดูแก่กว่าอายุจริงไปนับสิบปี
พอเห็นฉู่เสี่ยวชี บิดามารดาตื่นเต้นนัก มารดาของเขายิ่งดีใจจนหลั่งน้ำตา แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบลมหายใจ บิดาเขาก็เริ่มใช้ไม้เท้าไล่ตีบุตรชาย พี่สาวทั้งสองที่อยู่บ้านก็โผล่ออกมาเช่นกัน ล้วนตื่นเต้นดีใจยิ่งนักที่ฉู่เสี่ยวชีกลับบ้าน ส่วนพี่ชายอีกสามคนยังล่าสัตว์อยู่ในป่า
หลังจากเอะอะกันอยู่พักหนึ่ง ฉู่เสี่ยวชีก็แนะนำหานเจวี๋ยกับที่บ้าน พวกเขาสังเกตหานเจวี๋ยมาแต่แรกแล้ว หานเจวี๋ยผมขาวทั่วหัว แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ่ง พวกเขาไม่เคยพบบุรุษที่หล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน พี่สาวทั้งสองของฉู่เสี่ยวชียิ่งเขินอายจนหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตากับหานเจวี๋ย
“ขอบพระคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือ…”
ฉู่ต้าจู้บิดาของฉู่เสี่ยวชีเอ่ยเสียงสั่น เขาไม่เชื่อว่าหานเจวี๋ยเป็นเซียน แต่ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็ช่วยบุตรชายไว้
ทันใดนั้นฉู่เสี่ยวชีพลันย่อตัวเหินกระโจน กระบี่ไม้ปรากฏขึ้นใต้เท้า เขาเริ่มเหาะวนอยู่เหนือเรือน ตะโกนเสียงดังอย่างภาคภูมิใจ ดึงดูดความสนใจของเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง
พวกฉู่ต้าจู้อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อเลย
หลังจากเพื่อนบ้านมองเห็นก็ร้องโวยวายแตกตื่น
หานเจวี๋ยมองฉู่เสี่ยวชีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มนิดๆ จิตวิญญาณเด็กหนุ่มสมควรเป็นเช่นนี้แล้ว
ไม่เหมือนข้าแต่เหมือนบิดาของเขามาก
ในไม่ช้าทั่วทั้งตำบลก็แตกตื่น ข่าวที่ฉู่เสี่ยวชีกลายเป็นเซียนแพร่กระจายออกไปเร็วยิ่ง
แม้แต่หานเจวี๋ยก็ถูกตามวอแวเช่นกัน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้ หานเจวี๋ยก็ไม่โกรธเคืองอันใด โชคดีที่ฉู่เสี่ยวชีรู้ความนัก ให้บิดาจัดสรรห้องหนึ่งสำหรับให้หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญในทันที หลีกเลี่ยงความวุ่นวาย
หานเจวี๋ยเก็บตัวอยู่ในห้อง เริ่มฝึกบำเพ็ญ
หลายวันต่อมา ฉู่เสี่ยวชีโอ้อวดเวทวิชาของตนไปทั่ว ทำให้ภายในตำบลคึกคักเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่แพร่ไปยังเมืองใกล้เคียงแล้ว เจ้าเมืองเดินทางมาพบเซียนด้วยตัวเอง
หานเจวี๋ยไม่ได้โผล่หน้าออกไป ฉู่เสี่ยวชีรับมือด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี เจ้าเมืองถึงขั้นที่คิดจะยกบุตรีให้แต่งกับฉู่เสี่ยวชีด้วย การพัฒนาที่ก้าวกระโดดเช่นนี้ทำให้ฉู่เสี่ยวชีตระหนักถึงอิทธิพลที่ผู้บำเพ็ญเซียนมีต่อมนุษย์สามัญแล้ว
พอตกค่ำอีกวันถัดมา ฉู่เสี่ยวชีมาเข้าพบหานเจวี๋ย พร่ำบ่นอย่างขุ่นเคือง
“บุตรสาวของเจ้าเมืองผู้นั้นหน้าตาเหมือนหมูไม่มีผิด ยังคิดจะให้ท่าข้าอีก ข้าโมโหแทบตายแล้ว งามสู้เสี่ยวฮวาในตำบลเราไม่ได้ด้วยซ้ำ รูปร่างของเสี่ยวฮวาน่ะ จุ๊ๆ…”
ฉู่เสี่ยวชีพูดไปพูดมาก็มีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า
………………………………………………………………