ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1133 ท่านน้า
บทที่ 1133 ท่านน้า
“สวรรค์! ท่านปู่! ท่านแข็งแกร่งเหลือเกินขอรับ”
ฉู่เสี่ยวชีได้สติกลับมา ตะโกนด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เขากระโดดไปอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย เริ่มประจบเอาใจอย่างบ้าคลั่ง
ถังหว่านมองเศษหินที่กระจายเกลื่อนพื้น กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
ระดับเปลี่ยนวิญญาณตายลงเช่นนี้เลยหรือ
เป็นไปได้อย่างไร…
แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับมหายานในตำนานก็ไม่สามารถสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณโดยไม่ขยับตัวได้กระมัง
วิธีการนี้อยู่เหนือจินตนาการของถังหว่าน
“ท่านปู่ เมื่อครู่คือพลังวิเศษอันใดหรือขอรับ สอนให้ข้าบ้างสิ!
“ท่านปู่ ท่านต้องเป็นระดับมหายานแน่เลย ใช่หรือไม่ขอรับ”
“หรือว่าท่านจะเหนือกว่ามหายานไปแล้ว เป็นเซียนลงสู่แดนมนุษย์หรือขอรับ”
ฉู่เสี่ยวชีเขย่าแขนหานเจวี๋ย ซักถามไม่หยุด
หานเจวี๋ยจนปัญญานัก มีแต่เด็กคนนี้ที่กล้าทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นหานฮวง หานทั่ว หานอวิ๋นจิ่น เขาคงสะบัดมือผลักออกไปแล้ว
“ตอนนี้ยังบอกตบะของข้าให้เจ้ารู้ไม่ได้ เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รู้ ตั้งใจฝึกบำเพ็ญดีๆ เถอะ”
หานเจวี๋ยตัดบทฉู่เสี่ยวชีที่พูดจ้อไม่หยุด ไล่ฉู่เสี่ยวชีออกไป
ฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านเริ่มเก็บกวาดเรือน ทั้งสองเก็บกวาดไปพลางพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่พบเห็นเมื่อครู่ด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้พวกเขาเชื่ออย่างไม่คลางแคลงเลยว่าหานเจวี๋ยคือเซียน
ได้ติดตามฝึกบำเพ็ญใต้การอบรมของเซียนผู้วิเศษ วันหน้าพวกเขาอาจจะเป็นเซียนได้กระมัง
ถังหว่านเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “คงไม่ใช่ว่าท่านเป็นหลานชายของเขาจริงๆ กระมัง เทพเซียนไหนเลยจะเมตตาปรานีมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้”
ฉู่เสี่ยวชีส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ตอนที่ท่านปู่ของข้าถูกฝัง ข้าได้เห็นมากับตา ไม่มีทางเป็นเรื่องโกหกไปได้”
“เช่นนั้นหรือจะเป็นบรรพบุรุษกัน”
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ ถึงอย่างไรพวกเราก็หล่อเหลากันทั้งคู่ สืบทอดกันมาตามสายเลือด”
“หลงตัวเอง ท่านก็กล้าพูดออกมาได้!”
ถังหว่านกลอกตาใส่ นางคิดว่าหานเจวี๋ยคือบุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่ฉู่เสี่ยวชีคือบุรุษหน้าหนาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา ล้วนขึ้นอยู่กับหน้าทั้งคู่
ฉู่เสี่ยวชีหัวเราะแหะๆ เอ่ยไปว่า “ถึงอย่างไรเขาก็คือท่านปู่ของข้า ข้านับถือเขาเป็นท่านปู่แล้ว!”
ที่พึ่งยิ่งใหญ่ขนาดนี้ต้องเกาะให้แน่น วันหน้าในใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดกล้าคุกคามเขาอีก
ฉู่เสี่ยวชีฝันหวานอยู่ในใจ จินตนาการถึงอนาคตอันงดงาม
หลังจากนักพรตเต๋าเฉินซวี่ตายไปก็ไม่มีคนจากสำนักมาไล่ล่าฉู่เสี่ยวชีอีก ชีวิตการฝึกบำเพ็ญในคฤหาสน์บนเขาสงบราบรื่นขึ้นมา
หานเจวี๋ยคอยชี้แนะให้ฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านบ้างเป็นครั้งคราว ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ทุกครั้งล้วนยกระดับความเข้าใจของทั้งสองอย่างมหาศาล
ทั้งสองไม่ทราบเลยว่าตนได้พบพานวาสนาเช่นไรอยู่ แต่พวกเขาตระหนักถึงความก้าวหน้าของตนได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่พวกเขายอมรับได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเทพเซียนเชียวนะ
คฤหาสน์บนเขาตั้งตระหง่านผ่านวันเวลา ยี่สิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่เสี่ยวชีพิสูจน์ระดับก่อกำเนิด ถังหว่านพิสูจน์รวมแก่นปราณ อยู่ไม่ไกลจากระดับก่อกำเนิดแล้ว
ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญระดับนี้ในโลกมนุษย์นับว่าเลิศล้ำแน่นอน ถึงขั้นที่เร็วกว่าบุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศในแดนมนุษย์สามัญแห่งนี้ด้วย แต่ทั้งสองไม่ได้รับรู้ถึงจุดนี้เลย
วันนี้เอง
ถังหว่านมาหาหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยมองนางเป็นหลานสะใภ้ไปแล้ว บางครั้งก็จะคุยเล่นด้วย ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงไม่ได้ห่างเหินกันอีก
ถังหว่านนั่งลงข้างกายหานเจวี๋ย เอ่ยด้วยความหดหู่คับข้อง “พี่เสี่ยวชีดูไม่มีพัฒนาการเลย กล่าวก็คือเขาไม่มีความรู้สึกต่อข้าเลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าทั้งสองมีวาสนาต่อกัน เหตุผลที่เขายังไม่สารภาพกับเจ้าเพราะเขากำลังรอคอยอยู่”
“รอสิ่งใด”
“รอให้มีสตรีมากกว่านี้”
“ฮึ่ม ดูสมเป็นเขามากจริงๆ เมื่อก่อนตอนอยู่ในสำนักเขามักจะไปแอบมองศิษย์หญิงคนอื่นๆ เสมอ”
“เช่นนั้นเจ้าจะต้องจับเขาไว้ให้อยู่หมัด อีกทั้งข้าไม่อาจบังคับให้พวกเจ้าครองคู่กันได้ แม้จะมีวาสนาแต่เรื่องวาสนาก็ยากจะกำหนดกันได้ เนื่องจากไม่อาจคาดการณ์ถึงยามที่วาสนามาเยือนได้”
“แม้แต่ท่านก็คาดการณ์ไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ข้าทำได้ แต่ไม่อาจแพร่งพรายความลับสวรรค์ได้”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
ถังหว่านถอนหายใจ สองคนเสมือนปู่หลานแท้ๆ พูดคุยกันมากมาย
หลังจากถูกหานเจวี๋ยชี้นำ ถังหว่านถึงได้กำจัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้ง กลับไปฝึกบำเพ็ญอย่างอารมณ์ดี
หานเจวี๋ยมองแผ่นหลังของนาง ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ กระสับกระส่ายเพราะรักนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ น่าสนใจจริงๆ
เขาสูญเสียความรู้สึกในด้านนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงยังคงคะนึงหานัก
คฤหาสน์กลางเขาจรรโลงคน เขาเขียวธารใส ราวกับแดนเซียนในโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้สบายกว่าในอาณาเขตเต๋า บางทีนี่อาจเป็นความสงบจากวันเวลา แต่ตอนอยู่ในอาณาเขตเต๋าเขาเพียงแต่นั่งทื่อเท่านั้น
บางครั้งในป่าเขาแถบนี้ก็มีสภาพอากาศแบบใหม่ๆ หรือสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ปรากฏขึ้น หนึ่งปีมีสี่ฤดูกาล เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยพลันรับรู้ได้ว่าโลกกำลังถูกเคลื่อนย้าย
เวลานี้เอง ท่ามกลางจักรวาลนอกโลกมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เขายกโลกมนุษย์แห่งนี้ขึ้นด้วยมือเดียว มุ่งหน้าออกไปนอกจักรวาล
ในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ณ ปัจจุบันนี้แบ่งโลกออกเป็น โลกมหามรรค โลกขนาดใหญ่ โลกขนาดเล็ก
ภายในโลกมหามรรคมีโลกขนาดใหญ่ผสานรวมอยู่นับไม่ถ้วนและในโลกขนาดใหญ่ทุกแห่งก็เปรียบเสมือนจักรวาล รวบรวมปวงสวรรค์หมื่นโลกาเอาไว้
หานเจวี๋ยจับสัมผัสได้ว่าเงาร่างนี้คืออริยะมหามรรค อริยะมหามรรคเดินทางมาด้วยตัวเอง เห็นทีว่าจะมิใช่เรื่องเล็ก เขาเริ่มทำนายดู
ที่แท้ก็เป็นความคิดของอู๋เซียงเทียนเซี่ย เขาอยากจะเชื่อมต่อโลกมหามรรคทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก่อตั้งพื้นที่ส่วนกลางขึ้น ทำเช่นนี้นอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสให้ชนรุ่นหลัง ชักจูงกลุ่มอิทธิพลต่างๆ มาเข้าร่วมแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างบารมีให้ตัวเองด้วย
เพียงส่งมอบโลกสามัญใบหนึ่งออกไป ในมุมมองของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ แล้วไม่นับว่าเสียหายอันใดนัก ซ้ำยังได้ผูกมิตรกับอู๋เซียงเทียนเซี่ยอีก อู๋เซียงเทียนเซี่ยก็มิใช่จะเอาเปรียบเปล่าๆ เขาจำเป็นต้องทุ่มทรัพยากรทั้งหมดเพื่อพัฒนาแดนลับเชื่อมวิถีขึ้น ควบคุมผ่านโลกสามัญต่างๆ ถึงจะมีอิทธิพลต่อโลกมหามรรคต่างๆ ได้
คิดจะชุบเลี้ยงโลกสามัญมากมายปานนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างยาวนานและทรัพยากรนับไม่ถ้วน
แต่ก็ประจวบเหมาะนัก โลกใบนี้ถูกเลือกเข้าพอดี
นับว่าเป็นเวทีให้ฉู่เสี่ยวชีได้โลดแล่นพอดี
เขาคาดคะเนดูเล็กน้อย รอจนโลกใบนี้เข้าสู่แดนลับเชื่อมวิถีแล้ว ต้องใช้เวลาอีกห้าพันปีกว่าจะถึงแดนลับเชื่อมวิถี ยังคงต้องรอคอยไปอีกระยะหนึ่ง
ห้าพันปีเพียงพอให้ฉู่เสี่ยวชีสะสมกำลังได้พอสมควรแล้ว
หานเจวี๋ยคิดว่าอุปนิสัยของฉู่เสี่ยวชียังขาดความเป็นผู้กล้าไป เขาใคร่ครวญเล็กน้อย เริ่มเข้าฝันใครบางคน
หลายวันต่อมา
บุรุษคนหนึ่งดั้นผ่านเมฆหมอกเข้ามา มาเยือนคฤหาสน์บนเขาหลังนี้
ฉู่เสี่ยวชีและถังหว่านรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น พากันเดินออกมาจากเรือน เงยหน้ามองขึ้นไป
เห็นเพียงว่ามีบุรุษองอาจเลิศล้ำคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะวิเศษสีม่วงยืนอยู่กลางอากาศ เขามองซ้ายมองขวา ทันทีที่เห็นหานเจวี๋ยก็คุกเข่าคารวะทันที
พวกฉู่เสี่ยวชีตะลึงงัน
ชายในชุดเกราะวิเศษคล้ายจะฟังอะไรอยู่ จากนั้นก็ร่อนลงมาตรงหน้าฉู่เสี่ยวชี เอ่ยขึ้นว่า “นับจากวันนี้ไป ข้าจะมาสอนการบำเพ็ญเจ้า”
คนผู้นี้คือหานทั่ว
หานทั่วมองพินิจฉู่เสี่ยวชี สีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจเขาค่อนข้างปลื้มใจนัก ไม่คิดเลยว่าน้องรองจะมีบุตรชายด้วย
ฉู่เสี่ยวชีถามด้วยความประหม่า “ท่านคือผู้ใด”
ถังหว่านกระซิบบอก “ท่านไม่คิดว่าเขาดูคล้ายกับท่านปู่มากหรือ”
หานทั่วกล่าว “ถูกต้อง ท่านปู่ที่พวกเจ้าเอ่ยถึงคือบิดาของข้า เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด”
ดวงตาฉู่เสี่ยวชีเปล่งประกาย เดินเข้ามาหาทันที ถูมือพลางเอ่ยฉอเลาะ “เช่นนั้นท่านก็คือท่านน้าของข้า!”
เขาบังคับนับญาติ แต่ไม่คิดเลยว่าจะนับผิดลำดับไป
หานทั่วเอ่ยว่า “ข้าจะดูแลสั่งสอนเจ้าหนึ่งร้อยปี มิใช่แค่เรื่องฝึกบำเพ็ญเท่านั้น ยังมีเรื่องการต่อสู้ด้วย”
“ดีเลย! ดีเลย!”
“จะยากลำบากยิ่งนัก”
“ข้าไม่กลัวลำบากขอรับ!”
หานทั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ฉู่เสี่ยวชีเอ่ยต่อว่า “เพิ่มนางเข้าไปอีกคนสิขอรับ”
เขาชี้ไปที่ถังหว่าน
หานทั่วส่ายหน้ากล่าวไปว่า “แนวทางการฝึกของข้าไม่เหมาะกับสตรี”
………………………………………………………………