ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1137 ทางเลือกของฟางเหลียง
บทที่ 1137 ทางเลือกของฟางเหลียง
หานเจวี๋ยมองสีหน้าของฉู่เสี่ยวชีแล้วพอใจนัก ไม่เสียทีที่เขาเลี้ยงดูมาด้วยตัวเอง เป็นหลานที่ดีจริงๆ
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ ครั้งนี้ต้องการให้เจ้าไปจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยพูดไว้ว่าทุกคนล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าเป็นเพียงคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้าเท่านั้น”
ฉู่เสี่ยวชีเงียบไป ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหักใจไม่ลง
หานเจวี๋ยยื่นมือออกไปลูบหัวเขา เอ่ยว่า “เสี่ยวชี เส้นทางบำเพ็ญทอดยาวไร้สิ้นสุด สักวันหนึ่งช่วงเวลานับพันปีจะกลายเป็นเพียงวันเดียวสำหรับเจ้า พอถึงเวลานั้น เมื่อเจ้ามองย้อนกลับมาแนวคิดจะต่างไปจากเดิม”
ฉู่เสี่ยวชีอดถามไม่ได้ “ตัวท่านในตอนนี้ก็มีแนวคิดเช่นนี้อย่างนั้นหรือขอรับ”
“ถูกต้อง”
“ท่านมีอายุเท่าใดกันแน่ ท่านปู่ ท่านคงมิใช่ว่าท่านเป็นเทพเซียนผู้เก่งกาจเป็นพิเศษของแดนเซียนหรอกกระมัง”
“ข้าไม่เกี่ยวข้องกับแดนเซียน อันที่จริงข้ามิใช่เทพเซียนด้วย ส่วนที่ว่าอายุข้ามากขนาดไหน ความจริงก็ไม่ได้มากขนาดนั้น”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน วาจานี้ทำให้ฉู่เสี่ยวชีคิดว่าเขาเป็นเทพเซียนพสุธาที่ออกท่องไปในแดนมนุษย์
สองปู่หลานคุยกันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายหานเจวี๋ยโบกมือคราหนึ่ง ฉู่เสี่ยวชีพลันถูกกฎเกณฑ์ในโลกมนุษย์สามัญขับไล่ออกไป โบยบินสู่เบื้องบน
ขณะที่ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เขาก้มมองลงไปด้านล่าง แต่ไม่เห็นท่านปู่แล้ว ท่านปู่ไม่ได้ออกมาส่งเขา
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ฉู่เสี่ยวชีก็รู้สึกเศร้าหมองและสับสนขึ้นมา
ครอบครัวของเขาจากโลกไปนานนมแล้ว ตอนนี้มาแยกจากท่านปู่อีก นับว่าโดดเดี่ยวในโลกหล้าอย่างแท้จริงแล้ว
ชีวิตต่อจากนี้ต้องดำเนินไปในทิศทางใด ต้องมุ่งหน้าไปที่ไหนกันเล่า
จู่ๆ เขาก็นึกถึงหานทั่วขึ้นมา เงาร่างองอาจทรงอำนาจนั้น บางทีนั่นอาจจะเป็นเป้าหมายให้เขาได้ นั่นคือบุรุษในแบบที่ตัวเขาอยากจะเป็น!
ฉู่เสี่ยวชีไม่คิดจะทำตัวเหมือนเด็กๆ อีกต่อไปแล้ว เขาเงยหน้ามองขอบฟ้า ดวงตาฉายแววคาดหวังตั้งตารอ
แดนเซียน ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีสีสันมาเพียงใดกันแน่!
หลังจากเขาโบยบินขึ้นไปแล้ว หานเจวี๋ยก็ไปจากคฤหาสน์บนเขาอย่างเงียบๆ คฤหาสน์บนเขาแห่งนี้กลับสู่สภาพมืดมนภูติผีชุมนุมอีกครั้ง
ผ่านวันเวลามานานนับพันปี ปราณภูตผีของคฤหาสน์เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ปล่อยทิ้งไว้ในแดนมนุษย์จะกลายสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งแน่นอน
….
หานเจวี๋ยกลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
ภายในอาณาเขตเต๋า ยังคงมีเหล่าศิษย์จำนวนไม่น้อยกระจายตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ในละแวกอารามเต๋า ปัจจุบันนี้สามอาณาเขตเต๋าเชื่อมต่อกันแล้ว แต่ศิษย์ที่สามารถเข้ามาในเขตรัศมีร้อยล้านลี้ได้ล้วนเป็นผู้ที่ลำดับศักดิ์หรือตำแหน่งสูงในสำนักซ่อนเร้นทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยกลับเข้าสู่อารามเต๋าของตนอย่างเงียบเชียบ หลังจากซั่นเอ้อร์ออกไปแล้วก็ยังไม่กลับมาอีกเลย เห็นทีว่าที่ผ่านมาคงจะอัดอั้นเหลือคณา
เฮ้อ ศิษย์เหล่านี้ก็เหมือนบุตรธิดาของเขา ออกไปแล้วน้อยครั้งนักที่จะหวนกลับมา
หานเจวี๋ยนั่งอยู่พักหนึ่งก็เรียกฟางเหลียงเข้ามา
ฟางเหลียงมาที่อาณาเขตเต๋าได้หลายร้อยปีแล้ว เฝ้ารอหานเจวี๋ยมาตลอด
ฟางเหลียงเข้าอารามมาก็ทำความเคารพหานเจวี๋ย หลังจากนั่งลงเขาก็เอ่ยถาม “อาจารย์ปู่ ข้ารู้สึกว่ามิติเวลาเกิดความเปลี่ยนแปลงขอรับ”
หานเจวี๋ยถามกลับ “อย่างไร”
“ปกติแล้วข้าจะศึกษาวิเคราะห์มิติเวลาตลอด ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของมิติเวลา ระยะนี้ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองหลงลืมบางสิ่งไป ยังมีความผันผวนของกฎเกณฑ์แห่งมิติเวลาด้วย จะต้องมีคนเข้าไปยุ่งกับมิติเวลาแน่นอนขอรับ ข้ากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อพวกเรา”
ฟางเหลียงเอ่ยอย่างหวั่นวิตก แต่วาจาของเขาทำให้หานเจวี๋ยประเมินเขาสูงขึ้นกว่าเดิม
พอลองคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ฟางเหลียงเดินทางข้ามมิติกาลเวลาอย่างบ้าคลั่งมาก่อนจี้เซียนเสินเสียอีก
แต่ในเมื่อฟางเหลียงสามารถรับรู้ได้ถึงห้วงเวลาต้นกำเนิด เช่นนั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขาว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะเป็นอริยะมหามรรค ก็ยังรับรู้ถึงห้วงเวลาต้นกำเนิดไม่ได้ มีเพียงผู้สร้างมรรคาเท่านั้นที่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของห้วงเวลาต้นกำเนิดได้
จะว่าไป ในอดีตฟางเหลียงก็เคยเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดของจี้เซียนเสินมาก่อน ภายหลังได้แตกหักกันไปเนื่องจากข้อพิพาทในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตของมรรคาสวรรค์ หลายร้อยล้านปีมานี้ทั้งสองจึงห่างเหินกันไป
ไม่คิดเลยว่าหลังจากจี้เซียนเสินหายตัวไป คนเดียวที่ยังคอยใส่ใจเขากลับมีเพียงพี่น้องที่กลายเป็นบาดหมางกันไปแล้วคนนี้
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ถูกต้อง เกิดขึ้นจริงๆ มีศิษย์คนหนึ่งเข้าไปข้องเกี่ยวกับห้วงเวลาต้นกำเนิด ถูกกลืนกินบ่วงกรรม ดังนั้นทุกคนล้วนลืมเลือนเขาไปหมดสิ้น”
ฟางเหลียงขมวดคิ้ว
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้รบกวนความคิดเขา
ผ่านไปนานพักใหญ่ ฟางเหลียงเอ่ยถาม “คนผู้นั้นสำคัญต่อข้าหรือไม่ขอรับ”
“สำคัญด้วยหรือ”
“ข้ารู้สึกไม่สบายใจ หากว่ามีความสำคัญข้าจะต้องช่วยเขาให้ได้ ถูกตัดแยกบ่วงกรรมออกไปเช่นนี้ เขาน่าจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขออาจารย์ปู่โปรดชี้แนะด้วยเถิดขอรับ”
หานเจวี๋ยมองเขาอย่างมีนัยลุ่มลึก เอ่ยไปว่า “มีแต่ต้องมุ่งหน้าไปยังห้วงเวลาต้นกำเนิดถึงจะสามารถสืบหาได้ แต่จะต้องช่วยเหลืออย่างไร ข้าก็ยังไม่ทราบเช่นกัน พวกเจ้าเคยเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันดีที่สุด แต่ภายหลังพวกเจ้าแตกหักกันไป จนกระทั่งก่อนที่เขาจะหายตัวไปพวกเจ้าก็ยังไม่เคยปรับความเข้าใจกัน”
เขาบอกเล่าไปตามจริง ส่วนจะเลือกอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวฟางเหลียงเอง
ฟางเหลียงขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม
อารามเต๋าตกอยู่ในความเงียบสงัด
หานเจวี๋ยทอดสายตามองทะลุอาณาเขตเต๋าออกไป สอดส่องไปในดินแดนเวิ้งว้าง
หลังจากฟ้าบุพกาลพังทลาย โลกขนาดใหญ่ในฟ้าบุพกาลต่างกระจายตัวออกไป ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าโลกขนาดใหญ่ในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ณ ปัจจุบันนี้ ล้วนวิวัฒนาการมาจากโลกในฟ้าบุพกาล
พลันพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าบุตรธิดาของตนเหินห่างกันไป พวกเขาไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานมากแล้ว
จะว่าไป คนที่มีความกตัญญูที่สุดกลับเป็นบุตรชายคนเล็กที่เขาไม่ให้ความสำคัญที่สุด หานอวิ๋นจิ่น
คุณสมบัติของหานอวิ๋นจิ่นอ่อนด้อยที่สุด แต่เขามักจะกลับมาเยี่ยมผู้อาวุโสเป็นระยะๆ เสมอ กับเหล่าพี่ชายพี่สาวเองก็ทำเช่นนี้ แต่นอกจากหานหลิงแล้ว หานทั่ว หานฮวง หานชิงเอ๋อร์ล้วนไม่ใส่ใจเขาสักเท่าไร
ตอนนี้หานอวิ๋นจิ่นยังคงปีนป่ายมุ่งสู่อริยะมหามรรคอยู่ เรื่องนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากสำนักซ่อนเร้นเท่านั้นถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ ด้วยคุณสมบัติของเขาอาจจะไม่มีโอกาสบรรลุถึงยอดมหามรรคได้ตลอดกาล
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คิดขึ้นมาว่า ตนควรจะให้ความใส่ใจบุตรชายคนนี้หน่อยดีหรือไม่
ฟางเหลียงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเลือกที่จะช่วยเหลือเขาขอรับ ขออาจารย์ปู่โปรดชี้แนะทิศทางของห้วงเวลาต้นกำเนิดแก่ข้าด้วย”
“เริ่มตอนนี้ได้เลยขอรับ ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว!”
หานเจวี๋ยชี้มือออกไปเล็กน้อย ส่งฟางเหลียงเข้าสู่ห้วงเวลาต้นกำเนิด
ไม่ว่าฟางเหลียงจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะนั่นคือทางเลือกของเขาเอง
ห้วงเวลาต้นกำเนิดจะลบเลือนบ่วงกรรมทั้งหมดไป เสี้ยววิญญาณของจี้เซียนเสินที่หานเจวี๋ยแบ่งไว้ก่อนหน้านี้ก็หายไปด้วย แปลว่าฟางเหลียงอาจจะตายได้
หานเจวี๋ยเฉยชาต่อความเป็นความตายแล้ว เขาไม่สามารถปกป้องเหล่าศิษย์ทั้งหมดไปตลอดกาลได้ ตัวเขาไร้พ่ายแล้ว หากยังลำเอียงเช่นนี้อีก สำนักซ่อนเร้นจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลหนึ่งเดียวในยุคสมัยไร้สิ้นสุด พอนานวันเข้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกย้อนสนองเอาได้
ไม่ว่ากลุ่มอำนาจยิ่งใหญ่ใดๆ ล้วนมีช่วงเวลาที่ต้องปิดฉากลงทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยแยกตัวจากสำนักซ่อนเร้นแล้ว ไม่มีทางลำเอียงเป็นพิเศษ
สำนักซ่อนเร้นในปัจจุบันนี้โดยพื้นฐานนับว่าแยกย้ายกระจัดกระจายแล้ว มีเพียงจิตวิญญาณที่ยังคงอยู่ เหล่าศิษย์สืบทอดทั้งหมดล้วนมีกองกำลังเป็นของตัวเอง ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดการต่อสู้แก่งแย่งขึ้น
หานเจวี๋ยลุกขึ้นแล้วเลือนหายไปจากภายในอารามเต๋า
ณ มรรคาสวรรค์
นับตั้งแต่ยุคสมัยไร้สิ้นสุดเริ่มต้นขึ้น มรรคาสวรรค์ลอยลำอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีดวงจิตมหามรรคคอยควบคุมอีกมรรคาสวรรค์สามารถพัฒนาตัวไปได้อย่างไร้ความกังวล ตอนนี้ยังคงมีจอมอริยะเสวียนตูเป็นผู้ดูแลหลัก แต่อำนาจควบคุมยังคงอยู่ในมือของหานเจวี๋ย ผู้อาวุโสหลายคนในมรรคาสวรรค์ล้วนแต่เป็นทาสรับใช้ของเขา
ตอนนี้หานอวิ๋นจิ่นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในอริยะมรรคาสวรรค์ที่มีอำนาจสูงสุดแล้ว
ในเวลานี้ เขาอยู่ในอารามเต๋าของตนกำลังเล่นกระจกบานหนึ่งอยู่ ในกระจกปรากฏฉากภาพมากมาย สะท้อนอยู่ในสองเนตรของเขา
หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา ยื่นหัวโผล่มาจากทางด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ภาพที่ฉายชัดอยู่ในกระจกคือสถานการณ์ของเหล่าลูกหลานเชื้อสายตระกูลหาน
ที่แท้ ปกติแล้วเรื่องที่หานอวิ๋นจิ่นชมชอบกระทำเป็นที่สุดก็คือคัดกรองผู้สืบสายเลือดในตระกูลหาน คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหนือชั้นเข้ามาชุบเลี้ยง ก่อนหน้านี้เฉินเจวี๋ยที่ได้รับสวรรค์ประทานโชคก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขาอย่างลับๆ เช่นกัน จึงได้นึกเหยียดหยันเทพเซียน
หานอวิ๋นจิ่นพยักหน้าเป็นครั้งคราว เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
หานเจวี๋ยสะท้อนใจนัก เด็กคนนี้ไม่มีมาดของผู้แข็งแกร่งเลยสักนิด แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเหล่าบุตรธิดาล้วนคิดจะเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง ภายหน้าจะไม่กลายเป็นศัตรูของตัวเขาหานเจวี๋ยไปหมดหรือ
………………………………………………………………