ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1158 ประติมากรรมหินลึกลับ
บทที่ 1158 ประติมากรรมหินลึกลับ
“เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ดื้อรั้นแต่เด็กแล้ว อาศัยความโปรดปรานที่ข้ามีต่อมารดาของเขา ทำตัวเหลวไหลไม่เหมาะสม เจ้าช่วยจัดการเขาให้ข้าทีเถิด”
หานอวิ๋นจิ่นถอนหายใจพลางเอ่ยด้วยสีหน้าวิตก เขาเคยกังวลว่าหานเหลียงจะกลายเป็นภัยร้าย ไม่คิดเลยว่าหานเหลียงจะไม่มีอะไรทั้งสิ้น กลับเป็นบุตรชายอีกคนที่มีคุณสมบัติธรรมดาสามัญที่กลายเป็นหายนะต่อมรรคาสวรรค์
หานอวี้ส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ไม่สะดวกจะจัดการ อีกทั้งหากข้าออกโรงเขาต้องเดาได้แน่ว่าเป็นเจ้า”
หานอวิ๋นจิ่นถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
หานอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หาไม่แล้วก็ส่งเขาไปอยู่ในการดูแลของท่านบรรพชนทั้งสามเถิด พวกเขาต้องมีหนทางอบรมสั่งสอนแน่นอน”
สามบรรพชนที่กล่าวถึงย่อมเป็นหานทั่ว หานฮวงและหานหลิง พวกเขาเป็นผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้าแล้ว เป็นกลุ่มตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับที่รองกว่าผู้สร้างมรรคาลงมา ต่างมีกลุ่มอิทธิพลเป็นของตน ล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่ามรรคาสวรรค์
หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยด้วยความเศร้าหมอง “ข้ากลัวว่าหากเจ้าเด็กคนนี้ไปได้เรียนรู้ทักษะความสามารถอย่างแท้จริงมาแล้วภายหน้าจะยิ่งกู่ไม่กลับขึ้นไปอีก”
หานอวี้ส่ายหน้า ไม่เอ่ยเกลี้ยกล่อมต่อแล้ว
เรื่องในครอบครัวของหานอวิ๋นจิ่นเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง
ตอนนี้อยู่ในช่วงสงบสุข หานอวี้เพียงอยากทำความเข้าใจในมหามรรคแห่งตนเท่านั้น ไม่อยากวุ่นวาย
หานอวิ๋นจิ่นไม่ได้อยู่นานนัก ในไม่ช้าก็ลุกขึ้นจากไป
หานอวี้ยิ้มออกมา ในเวลานี้เองเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายเขา
เป็นฉินหลิง ศิษย์หลานของหานอวี้
คนผู้นี้คืออดีตดวงจิตมรรคาสวรรค์ กายาอหังการบุพกาล ดวงชะตาบรรพชนมังกร บุตรแห่งมหาเคราะห์ บุตรแห่งฟ้าดินและในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นผู้ทรงพลังที่อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง แต่หากเทียบกับพวกหานฮวงแล้วก็ยังห่างชั้นอยู่มาก
ฉินหลิงนั่งลงตรงหน้าหานอวี้ เอ่ยว่า “สถานการณ์ไม่สู้ดีแล้วขอรับ อาจารย์หายตัวไปในฟ้าบุพกาล มีโอกาสสูงที่จะดับสูญไปแล้ว มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อร์ส่งคนไปตรวจสอบแล้วขอรับ”
เทียนยงอาจารย์ของฉินหลิงคือศิษย์ของหานอวี้และโอรสของมหาจักรพรรดิเทียนเอ้อร์ มหาจักรพรรดิเคยนำเผ่าหายนะเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์ แต่ถูกหานเจวี๋ยใช้คุกสวรรค์อนธการสยบทาส
เทียนยงและฉินหลิงเป็นศิษย์อาจารย์กันเพียงในนามเท่านั้น ฉินหลิงอยู่ภายใต้การดูแลสั่งสอนจากหานอวี้มาโดยตลอด
หานอวี้ขมวดคิ้ว “ไอ้ศิษย์อกตัญญูคนนั้นตายแล้วอย่างนั้นหรือ”
เขานับนิ้วทำนายดู สีหน้ามืดมนยิ่งขึ้น
ถึงแม้สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทียนยงจะตื้นเขินนัก แต่ดีร้ายอย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์อาจารย์กัน
เขาลุกขึ้นมา เอ่ยว่า “ไปเถอะ ไปเยือนฟ้าบุพกาลด้วยกัน ได้ยินว่าเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์เผด็จการอย่างยิ่ง ข้าก็อยากเห็นนักว่าพวกเขาจะทรงพลังเพียงใด”
ฉินหลิงพยักหน้ารับ ลุกตามขึ้นมา ดวงตาฉายแววเย็นชา
เขากำลังเบื่อๆ อยู่พอดี มีโอกาสให้ลงมือทั้งทีจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร
….
ห้วงกาลดั่งภาพฝัน ผู้ล่วงลับทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น ราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาก่อน
ห้าสิบล้านปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขายืดเส้นเล็กน้อย ทอดสายตาสอดส่องดินแดนเวิ้งว้าง
สิ่งแรกที่เขาให้ความสนใจก็คือฟ้าบุพกาลของบรรพชนเต๋า เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ล่มสลายไปแล้ว
ห้าสิบล้านปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องใหญ่โตอย่างถึงที่สุดเรื่องหนึ่งขึ้นก็คือเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ถูกกวาดล้าง เนื่องจากเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งมากเกินไป ล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลต่างๆ มากเกินไป ก่อให้เกิดการปิดล้อมโจมตี ช่วงแรกเริ่มยังพอคงความได้เปรียบในการตั้งรับเอาไว้ได้ ภายหลังถูกบรรพชนเต๋าตัดขาดบ่วงกรรม เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์จึงก้าวเข้าสู่ทางตัน
เรื่องที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ ในช่วงสุดท้ายเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ได้ทำการสังเวยทั้งเผ่าพันธุ์สรรค์สร้างมนุษย์มรรคาสวรรค์คนหนึ่งที่มีคุณสมบัติสุดแกร่งกล้าขึ้น จากนั้นก็ส่งเข้าสู่สังสารวัฏ แม้แต่บรรพชนเต๋าก็ไม่สามารถขัดขวางได้
ถึงแม้เผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์จะล่มสลายลง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อาจหวนก่อระลอกคลื่นได้อีก
มีผู้ทรงพลังมากมายเอ่ยถากถางบรรพชนเต๋า บอกว่าบรรพชนเต๋าทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่ตนสร้างขึ้น ซ้ำยังเหลือปมแค้นเส้นหนึ่งไว้ด้วย ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
แต่ก็มีเสียงอีกฝ่ายแตกไปว่า ขอเพียงบรรพชนเต๋าสามารถพิสูจน์ผู้สร้างสำเร็จ ปมแค้นนั้นจะนับเป็นอันใดกันเล่า
หานเจวี๋ยสังเกตพบว่าเทียนยงศิษย์ของหานอวี้ก็ตายด้วยน้ำมือเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์เช่นกัน ในกลุ่มอิทธิพลที่เข้าปิดล้อมทำลายล้างเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ก็มีเผ่าหายนะ หานอวี้และฉินหลิงอยู่ด้วย
สาเหตุการตายของเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์นอกจากถูกบรรพชนเต๋าทอดทิ้งแล้วยังเป็นเพราะเดิมทีก็ทะนงตนโอหังด้วย มีคุณสมบัติเลิศล้ำโดดเด่นทำให้พวกเขาดูแคลนเผ่าพันธุ์อื่นๆ เมื่อเวลาสั่งสมไปนานวันเข้าก็ก่อเกิดเป็นความแค้นชิงชังนับไม่ถ้วน
สำหรับเทียนยง หานเจวี๋ยไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษอีกทั้งคร้านจะคืนชีพให้เขา
สำนักซ่อนเร้นมีศิษย์นับไม่ถ้วน ลูกหลานเองก็เช่นกัน ต้องมีคนตายอยู่แล้ว
หลังจากกวาดล้างเผ่ามนุษย์มรรคาสวรรค์ไป ฟ้าบุพกาลเริ่มมีเผ่าพันธุ์ใหม่ปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย เรียกได้ว่ามีหลากหลายสารพัด กฎเกณฑ์ของฟ้าบุพกาลก็สมบูรณ์พร้อมยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บรรพชนเต๋าจะก่อกฎเกณฑ์สูงสุดสายที่สองขึ้นมาได้ในอีกไม่ช้าก็เร็ว
นอกจากบรรพชนเต๋าแล้ว ด้านข้างยังมีฟ้าบุพาลอีกแห่งหนึ่ง ผานกู่ก็ก่อกฎเกณฑ์สูงสุดสายแรกของตนขึ้นแล้วเช่นกัน
หานเจวี๋ยกวาดตามองครู่หนึ่ง พบว่าทั่วทั้งดินแดนเวิ้งว้างมียอดมหามรรคที่ก่อกฎเกณฑ์สูงสุดขึ้นมาได้ห้ารายแล้ว ได้แก่หานฮวง บรรพชนเต๋า ผานกู่ บรรพชนเทพปฐมกาลและเทวีตราวินัย
เทวีตราวินัยคือคนที่สร้างความแปลกใจให้เขาได้
เทวีตราวินัยมีชีวิตอยู่มานับยุคสมัยไม่ถ้วน เป็นตัวตนบรรพกาลเช่นเดียวกับบรรพชนเทพปฐมกาล นับเป็นหนึ่งในกลุ่มสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกที่เจ้านวฟ้าบุพกาลสร้างขึ้นมา คุณสมบัติอาจจะไม่ถึงขึ้นเลิศล้ำเหนือชั้น แต่มีประสบการณ์โชกโชนแน่นอน
นี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน ถึงอย่างไรเทวีตราวินัยก็เป็นทาสของหานเจวี๋ยแล้ว ระดับความประทับใจเต็มขั้นดาว ไม่ต้องกลัวจะถูกหักหลัง
มองเผินๆ คล้ายว่าหานเจวี๋ยมิได้ครอบครองอำนาจเป็นหนึ่งเดียว แต่ในความเป็นจริงกลับยึดครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของดินแดนเวิ้งว้างแล้ว หานเจวี๋ยก็ต้องคอยดูแลจัดการสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไว้เหมือนกัน
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หานเจวี๋ยให้ความสนใจ นั้นคือสวินเซิ่งจุนผู้สร้างมรรคาจากอนาคตที่ในอดีตเคยปรากฏตัวในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ชักนำก่อหายนะมาให้แก่มรรคาสวรรค์ไม่น้อยเลยด้วย ตอนนี้ติดตามฝึกฝนประสบการณ์อยู่กับหานทั่วและอี๋เทียน
ยังอีกนานโขนักกว่าเด็กคนนี้จะเติบโตจนสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาได้ ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นภัยคุกคาม
หานเจวี๋ยถอนสายตากลับมา เริ่มตรวจดูกล่องจดหมาย
จดหมายก็นับว่ามีสีสันเช่นกัน เขาอ่านอย่างได้อรรถรสอยู่เงียบๆ
หลังจากตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อในทันที แต่ทอดสายตาสอดส่องอำนาจระบบ
อำนาจระบบมีเจ้าของใหม่แล้ว เจ้าของในปัจจุบันนี้เป็นเซียนทองต้าหลัว เผยตัวขึ้นในมุมหนึ่งของโลกสามัญขนาดเล็กใบหนึ่งในแดนลับเชื่อมวิถี
ต้องกล่าวเลยว่าเป็นวาสนาชักนำจริงๆ อำนาจระบบมาปรากฏขึ้นในแดนลับเชื่อมวิถีผ่านช่องทางสังสารวัฏ
ในอนาคตข้างหน้าเจ้าของใหม่ของอำนาจระบบอาจจะได้พบกับฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยเข้าก็ได้
หานเจวี๋ยตั้งใจจะไม่สอดส่องดูอนาคตของเซียนทองต้าหลัวคนนี้ เลี่ยงไม่ให้ทราบถึงอนาคตของเขาแล้วจะหมดสนุกไป
เขาหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
….
ณ โลกปฐมยุค
ตู๋กูอู๋เดินทางอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศ พลังแห่งกฎเกณฑ์หลากสีสันพร่างพราวโอบล้อมอยู่รอบกาย สายตาของเขาทอดมองไปยังเบื้องหน้า
หลังจากได้รับการยอมรับจากโลกปฐมยุค ตู๋กูอู๋ได้รับชีวิตที่ผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ตนได้พบกับหานเจวี๋ย มิเช่นนั้นตอนนี้เขาอาจจะยังหลงทางอยู่ เสียเวลาต่อสู้กับเหล่าเทพมารมหามรรค ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อาจสงบใจฝึกบำเพ็ญได้
“อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่ในโลกปฐมยุคด้วย”
ตู๋กูอู๋พึมพำกับตัวเอง เมื่อทอดมองตามสายตาเขาไป มีเงาร่างใหญ่มโหฬารร่างหนึ่งอยู่ที่สุดปลายห้วงอวกาศ สลัวเลือนราง ยากจะแยกแยะร่างจริงของมันได้
ตู๋กูอู๋เข้าไปใกล้ได้เห็นร่างมโหฬารนี้ชัดเจนแล้ว
มิใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นประติมากรรมหินชิ้นหนึ่ง ดูเต็มไปด้วยไอพิฆาต ท่าทางคล้ายคำรามกร้าวใส่สรวงสวรรค์อยู่
ต่อให้เป็นตู๋กูอู๋ที่มีความรู้กว้างขวางก็ยังอดตกใจไม่ได้ นี่มันเผ่าพันธุ์ใดกัน
เขายื่นมือขวาออกไป แตะลงบนชั้นผิวของประติมากรรมหิน ไอพิฆาตแรงกล้าสายหนึ่งแผ่ปะทะใบหน้าเขา เข้าท่วมทับเขา
ผ่านไปนานพักใหญ่
ตู๋กูอู๋พลันได้สติกลับมา อ้าปากหอบหายใจ เขารีบถอยห่างทันที หลีกห่างจากประติมากรรมหิน
เมื่อครู่เขารู้สึกว่าวิญญาณตนกำลังจะถูกสูบกลืนไปจนหมด
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
เขาเป็นยอดมหามรรคเชียวนะ!
หรือว่าประติมากรรมหินนี้จะเป็นผู้สร้างมรรคาในตำนาน
ไม่สิ ภายในโลกปฐมยุคจะมีผู้สร้างมรรคาได้อย่างไร หรือจะเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์ของเขา
………………………………………………………………